มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 574
อายุยังน้อยแต่กลับสามารถฝึกตนถึงแดนจักรพรรดิยุทธิ์ ทั้งยังเกิดในแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกคนหนุ่มสาวพวกนี้ มีใครบ้างล่ะที่จะไม่ใช่คนเย่อหยิ่ง?

กลุ่มอัจฉริยะรุ่นเยาว์รวมตัวกัน เยินยอกันไปมา วาทศิลป์ที่เกินจริง นั่นต่างก็เป็นเรื่องที่เป็นปกติไม่มีอะไรผิดแปลกแม้แต่น้อย

ในสายตาของหลัวซิว เหล่าพวกคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดมีเจตนาหาเรื่องอย่างชัดเจน

ยังจำได้ในตอนนั้นที่อยู่ในแดนแต่งตั้งราชาก็เป็นเช่นนี้ กลุ่มคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดรวมตัวกันปิดทางเพื่อฆ่าคนจากกองกำลังอื่น ๆ วิธีการนั้นโหดร้ายและเต็มไปด้วยการนองเลือด

“ได้ยินมาว่ากลุ่มอัจฉริยะรุ่นเยาว์แดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภาในรุ่นนี้ก็มีเพียงแค่คนที่ชื่อตวนมู่เท่านั้น ดูท่าแล้วคงจะเป็นเจ้าสินะ” ทางฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ชายหนุ่มที่มีใบหน้าร้ายกาจยืนขึ้นและพูดอย่างเย้ยหยัน

“ข้าคือตวนมู่หยาง แล้วอย่างไร?” ตวนมู่หยางก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน สถานการณ์ค่อนข้างตึงเครียด

“อย่างไร?” ชายหนุ่มใบหน้าชั่วร้ายยิ้ม “ไม่อย่างไร เพียงแค่ต้องการชื่นชมวิชาพื้นนภาของแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภาก็เท่านั้น”

เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มใบหน้าร้ายกาจยื่นนิ้วออกมาแล้วกระดิกเบา ๆ เต็มไปด้วยเจตนายียวนอีกฝ่าย

ตวนมู่หยางเมื่อเห็นแววตาหยามเหยียดของอีกฝ่าย สีหน้าก็พลันหม่นลงด้วยความโกรธ กระบี่ยุทธ์ถูกดึงออกจากฝักเกิดเป็นเสียงดังเหล็กกระทบ ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งตรงไปหาอีกฝ่ายโดยทันที

“ไม่สำเหนียกกำลังตัวเอง!” ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจยิ้มอย่างดูถูกเหยียดหยาม เมื่อพลิกมือ กริชสีเลือดก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา และที่น่าประทับใจคือมันเป็นดาบรบชั้นดินชั้นสูง

ภายใต้การปะทุของพลังจิตแท้ กริชห่อหุ้มไปด้วยรัศมีสีแดงเลือด จิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่าน บรรยากาศในภัตตาคารก็พลันลดลงอย่างมากในทันใด

“ชิ้งเช้ง!”

ดาบและมีดปะทะเข้าหากัน ผลพวงของพลังจิตแท้กวาดออกไป ทันใดนั้นโต๊ะและเก้าอี้หลายตัวก็ถูกทุบจนกลายเป็นผุยผง

ตวนมู่หยางรู้สึกได้ถึงเจตนาฆ่าที่น่าสะพรึงกลัวพุ่งตรงเข้าที่หัวใจ กระบี่ยุทธ์ปากเสือที่อยู่ในมือระเบิดออก เลือดกระอักปาก ฝีเท้าก้าวถอยหลังหลายก้าว สีหน้าซีดเผือด

แต่ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจกลับยังคงมีใบหน้ายิ้มเยือกเย็น ไม่มีการเคลื่อนไหวใดใดแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าใครแพ้ใครชนะ

“ศิษย์พี่ตวนมู่!”

กลุ่มคนเยาว์วัยหลายคนที่มากับตวนมู่หยางก็รีบลุกขึ้น พยุงตัวเขาไว้ แต่ทันทีที่ฝ่ามือสัมผัสเขา ก็สัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าที่เย็นยะเยือกเจาะเข้าไปถึงกระดูก ทำเอาอดไม่ได้ที่จะสั่นเทา

หลัวซิวมองดูอยู่ข้าง ๆ อย่างชัดเจน ตามผลการฝึกตน ตวนมู่หยางกับชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจนั้นต่างก็เป็นแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9 แต่ความเข้าใจในโลกยุทธ์ของแต่ละคน กลับเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาร้ายกาจแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดที่เข้าใจได้ถ่องแท้มากเสียกว่า

การรับรู้ของคนคนนี้ในวิชาแดนพิฆาต เพียงพอที่จะเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ มีต้นทุนที่น่าภาคภูมิใจ

ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจเอาชนะได้หนึ่งครั้ง ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง “วิชาพื้นนภาแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภาดูแล้วก็ไม่เท่าไร”

“เจ้ากล้าดีอย่างไรมาดูถูกแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภาของพวกข้า?”

ตวนมู่หยางตระโกนเสียงดัง พลังจิตแท้ปะทุขึ้นรอบกาย ลงมืออีกครั้งด้วยความโกรธเคือง บนกระบี่ยุทธ์มีสีดำและสีทองตัดกัน เส้นหนึ่งเป็นหยินเส้นหนึ่งเป็นหยาง

วิชาพื้นนภาของแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภา เป็นวรยุทธ์วิชายิ่งเลิศที่มหาจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งในสมัยโบราณสร้างขึ้น เต็มไปด้วยความลึกลับของหยินและหยาง

เพียงแค่ตวนมู่หยางยังไม่สามารถควบคุมพลังหยินหยางได้อย่างเสถียรและสมบูรณ์

เวลาที่สำแดงพลังหยินหยางนั้น ส่วนที่สำคัญมากที่สุดคือการควบคุมสมดุลแห่งพลังหยินหยาง

ถึงอย่างนั้น พลังของดาบเล่มนี้ก็ยังคงแข็งแกร่งอย่างมาก เพราะพลังหยินหยาง แข็งแกร่งกว่าพลังของคุณสมบัติธรรมดาทั่วไปมากนัก

ตวนมู่หยางภายใต้การถูกยั่วยวน ได้ใช้สัญชาตญาณที่กดเอาไว้ ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดก็หุบยิ้มในทันที พลันเปลี่ยนเป็นสีหน้างุนงงสงสัย

ปัง!

รัศมีอาฆาตสีแดงเลือดที่ปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา กริชที่แต่เดิมมีสีแดงเข้มกลับยิ่งดูประหลาดและดุร้ายยิ่งขึ้นไปอีก ราวกับเพิ่งดึงออกมาจากกองเลือดสด ๆ ก็มิปาน

เสียงปังดังขึ้น ยังโชคดีที่ภัตตาคารเทียนอีแห่งนี้มีค่ายคุ้มกันสร้างไว้ มิเช่นนั้นภายใต้การประมือของยอดฝีมือแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9ทั้งสอง เกรงว่าจะกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าไปในชั่วพริบตา

พลังของตวนมู่หยางท้ายที่สุดแล้วก็ยังอ่อนกว่าชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจอยู่บ้าง เงานั้นพุ่งออกไปอีกครั้ง ไม่เอียงซ้ายขวา มันบังเอิญไปตกที่ฝั่งของหลัวซิวและฉีฝ่าเทียนพอดิบพอดี

ฉีฝ่าเทียนขมวดคิ้วเข้าหากัน ด้านหนึ่งคือแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภา ด้านหนึ่งคือแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด เขาก็ยังมีผลการฝึกตนแดนมกุฎยุทธ์และเป็นถึงผู้ลาดตระเวน ย่อมไม่ยินดีหากจะถูกดึงเข้าไปพัวพันท่ามกลางแดนศักดิ์สิทธิ์