ตอนที่ 1792

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,792 : พบเจอ หากแต่ไม่คุ้นเคย!

 

“แล้วเจ้าได้ยินเขากล่าวถึงเรื่องพื้นที่มรดกเวทย์พลังที่ยากจะผ่าน กระทั่งหลบหนีมาได้อย่างไรหรือไม่?”

 

จ้าววังเหลือง เฉียนผิงเชิงมองถามหวางเฟยเซวียนด้วยความสงสัย

 

พื้นที่มรดกเวทย์พลังที่ยากจะผ่าน?

 

หลบหนี?

 

หวางเฟยเซวียนได้ยินก็ขมวดคิ้วส่ายหน้า “ข้ามิเคยได้ยินเขากล่าวถึงเลย”

 

“ดูเหมือนว่าเขาจักมิได้บอกเจ้า…เช่นนั้นพวกเราได้แต่รอฟังจากปากเขาวันพรุ่งนี้”

 

เฉียนผิงเฉิงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ กล่าวออก

 

หลังผ่านไปอีกครึ่งวัน ก็มีผู้คนที่ถูกขับออกมา

 

คนผู้นี้ยังเป็นคนของวังนภาเช่นกัน และเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดารุ่นเยาว์ของวังนภา หากไม่นับต้วนหลิงเทียนหวางเฟยเซวียนและจ้าวจี้…เกาเผิง

 

เกาเผิงนั้นเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตามสีหน้าของมันหลังถูกขับออกมามิค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่

 

จะให้ดูดีได้อย่างไร?

 

เพราะมันเกือบจะผ่านบททดสอบสุดท้ายและรับสืบทอดมรดกเวทย์พลังระดับกลางอยู่แล้ว! หากแต่ในช่วงเวลาสำคัญมันกลับพลาดพลั้งจนถูกผู้พิทักษ์ด่านคนสุดท้ายใช้เวทย์พลังจู่โจมฆ่าตาย!!

 

ด้วยเหตุนี้มันจึงอดได้รับเวทย์พลังจู่โจมระดับกลาง ทั้งๆที่โอกาสมาถึงตรงหน้าแล้วแท้ๆ!!

 

หลังจากที่เกาเผิงถูกขับออกมา ก็ไม่มีใครถูกขับออกจากแดนลับเซียนอีก จนกระทั่งวันต่อมาพอถึงกำหนดเวลาก็มี 3 ร่างปรากฏตัวขึ้นหน้าทางเข้าแดนลับเซียน

 

“ออกมาแล้ว…”

 

หนึ่งใน 3 ร่างที่ปรากฏย่อมมีต้วนหลิงเทียนรวมอยู่ด้วย เขาถอนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเล็กน้อย ก่อนที่จะลองยืดเส้นยืดสายดู ผิดจากคนอื่นๆ

 

ขณะเดียวกันตอนนี้เองเขาก็สังเกต 2 คนที่อยู่ข้างๆเขาด้วย

 

ทั้ง 2 ไม่ใช่คนของวังนภา หากแต่ภายใต้ความสามารถของเนตรเทวะ ต้วนหลิงเทียนก็ทราบได้ทันทีว่าพลังฝึกปรือของทั้งคู่คือเซียนขัดเกลาขั้นกลาง

 

‘ดูเหมือนจะเป็นยอดฝีมือเซียนขัดเกลา 2 คนที่เหลือของตำหนักฟ้าลี้ลับ’

 

ต้วนหลิงเทียนเคยได้ยินมาก่อนหน้าแล้ว ว่าตำหนักฟ้าลี้ลับนั้น นอกจากเกาเผิง กับจ้าวจี้ของวังนภาแล้ว ยังมีอีก 2 คนที่บรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลาง คนหนึ่งมาจากวังปฐพี ส่วนอีกคนมาจากวังลี้ลับ

 

สำหรับรุ่นเยาว์ของวังเหลืองนั้น ไม่มีใครบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางเลย

 

“หืม?”

 

ออกมาได้ไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าทุกสายตาของผู้คนกลับหันมาจับจ้องมองที่เขา

 

“มีเรื่องอะไรกันเหรอ?”

 

ต้วนหลิงเทียนมองถามหวางเฟยเซวียนที่อยู่ด้านหลังจ้าววังนภาด้วยการส่งเสียงผ่านปราณ

 

“ทุกคนอยากรู้ว่าเจ้าสามารถหลบหนีออกมาจาก พื้นที่มรดกเวทย์พลังอันดับ 1 ในแดนลับเซียนได้อย่างไร?”

 

หวางเฟยเซวียนตอบด้วยการส่งเสียงเช่นกัน “อะไร หรือเจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องพื้นที่มรดกเวทย์พลังต้องห้ามอันดับ 1 ในแดนลับเซียนมาก่อน?”

 

“พื้นที่มรดกเวทย์พลังต้องห้าม?”

 

ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปวูบหนึ่งค่อยถาม “มันคืออะไร?

 

“ว่ากันว่าเป็นพื้นที่มรดกเวทย์พลังที่มีความยากสูงล้ำเกินที่ผู้ใดจะผ่านได้ ตลอดทั้งประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ยังไม่มีผู้ใดที่ผ่านได้กระทั่งบททดสอบแรกด้วยซ้ำ…”

 

หวางเฟยเซวียนกล่าวตอบ

 

ตลอดทั้งประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ กลับไม่มีผู้ใดผ่านการทดสอบแรกของมรดกพื้นที่เวทย์พลังนั่น?

 

ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้จากหวางเฟยเซวียน ใจต้วนหลิงเทียนนึกถึง บึงไร้ก้นบึ้ง ขึ้นมาทันที!

 

บททดสอบแรกของบึงไร้ก้นบึ้งนั้น เป็นอะไรที่บ้าที่สุดในบททดสอบแรกของพื้นที่มรดกเวทย์พลังทั้งมวลที่เขาพบเจอ!

 

เว้นแต่ว่าจะเป็นตัวตนที่มีพลังฝีมือทัดเทียมอริยะเซียนขั้นต้น หาไม่แล้วส่วนมากคงยากจะผ่าน!

 

ฝูงสัตว์ร้ายนั่นอันตรายมาก!

 

ต้วนหลิงเทียนสอบถามเรื่องราวจากปากหวางเฟยเซวียนต่ออีกไม่กี่คำ ในที่สุดก็ยืนยันพื้นที่มรดกเวทย์พลังนั่นได้…มันเป็นบึงไร้ก้นบึ้งจริงๆ…

 

‘พวกมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวทย์พลังที่อยู่ในพื้นที่มรดกเวทย์พลังบึงไร้ก้นบึ้งคืออะไร แต่ทุกคนกลับยอมรับว่ามันเป็นเวทย์พลังอันดับ 1 ในแดนลับเซียนของตำหนักฟ้าลี้ลับ’

 

ต้วนหลิงเทียนไม่คิดเลยว่า ปฐมเวทย์กลืนกิน ที่เขาได้รับสืบทอดมาจะถูกขนานนามแบบนี้

 

‘ว่าแต่…ทำไมทุกคนถึงอยากรู้ว่าข้าเอาตัวรอดจากบททดสอบแรกได้ยังไง? นี่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนคิดว่าข้าไม่มีทางผ่านบททดสอบนั่นจนได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังได้แน่ๆงั้นเหรอ?’

 

ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ

 

‘ถ้าหากข้าบอกพวกมันไปว่าข้าได้รับปฐมเวทย์กลืนกินจากบึงไร้ก้นบึ้งนั่นมาแล้ว…ตำหนักฟ้าลี้ลับคงไม่ใช้กำลังบีบคั้นเพื่อให้ข้าอยู่ที่นี่และไม่จากไปไหนหรอกนะ?’

 

ก่อนที่จะออกมาต้วนหลิงเทียนลืมฉุกคิดถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท

 

ทว่าพอออกมาได้แล้วเจอกับท่าทีของทุกคน เขาจึงตระหนักได้ว่าปฐมเวทย์กลืนกินมีความสำคัญต่อตำหนักฟ้าลี้ลับขนาดไหน

 

ถึงแม้ว่าเขาเองจะซาบซึ้งตำหนักฟ้าลี้ลับไม่น้อย ที่ทำให้เขามีโอกาสได้รับฐมเวทย์กลืนกิน

 

ทว่าทันทีที่เขาบรรลุขอบเขตอริยะเซียน เขามีความจำเป็นที่ต้องออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ เพื่อไปยังภูมิภาคเบื้องบน…ไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่ตลอดไป!

 

คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจไม่พูดเรื่องปฐมเวทย์กลืนกิน

 

พอทราบคำถามที่เฉียนผิงเชิงถามหวางเฟยเซวียนและเห็นสายตาสงสัยของทุกคน สีหน้าของต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นจริงจัง “หลังจากฆ่าสัตว์ร้าย 4 ตัวนั่นไปได้ไม่ทันไร ข้าก็พบว่าภายในบึงน้ำคล้ายมีฟองกากาศผุดขึ้นมาไม่หยุดราวกับน้ำเดือด…เห็นเรื่องไม่ชอบมาพากลเช่นนั้นสังหรณ์อันตรายของข้าร้องเตือนลั่นในใจ ข้าก็เลยเลือกจะหนีออกมาทันที…คิดดูแล้วหากตอนนั้นข้าไม่เชื่อสัญชาตญาณตัวเอง รอให้ฝูงสัตว์ร้ายปรากฏตัวขึ้น เกรงว่าข้าคงไม่อาจรอดมาได้…”

 

ขณะที่กล่าว ใบหน้าต้วนหลิงเทียนก็เผยความหวาดกลัวออกมา แววตายังสั่นไหวไปอย่างเห็นได้ชัด

 

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง…เจ้านับว่าโชคดีนัก!”

 

เฉียนผิงเชิงย่อมไม่คิดสงสัยในคำตอบนี้ของต้วนหลิงเทียน

 

คนอื่นก็ไม่ต่างกัน เพราะทั้งหมดคิดว่าต้วนหลิงเทียนไม่น่าจะมีพลังสามารถพอจะผ่านบททดสอบนั่นได้

 

“ช่างขี้ขลาดรักตัวกลัวตายจริงๆ! สัตว์ร้ายยังมิทันปรากฏตัวด้วยซ้ำกลับเลือกที่จะแจ้นหนีก่อนแล้ว!!”

 

ตอนนี้เองเสียงค่อนแคะแดกดันหนึ่งพลันดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ ขัดกับคนอื่นอย่างสิ้นเชิง…เป็นจ้าวจี้!

 

“กลัวตายแล้วไง ก็ดีกว่าใครบางคนที่ถูกกำจัดออกมาหลังผ่านไปได้แค่ 3 วันไม่ใช่รึ?”

 

“หลิงเทียน!” เจอวาจาแดกดันค่อนแคะของจ้าวจี้ ต้วนหลิงเทียนเพียงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม

 

และวาจานี้ของต้วนหลิงเทียนก็อดทำให้มุมปากของผู้คนมากมายอดไม่ได้ที่จะขมุบขมิบ

 

หลิงเทียนผู้นี้…ที่ไม่ควรเปิดเผยกลับเปิดเผยออกมาเสียอย่างนั้น

 

อย่างไรก็ตามทุกคนไม่แปลกใจกับวาจานี้ของหลิงเทียน

 

หากจะโทษก็ต้องโทษจ้าวจี้ที่ไปกล่าววาจาแดกดันผู้อื่นเขาก่อน หาไม่แล้วหลิงเทียนจะเปิดแผลของมัน เป็นการหักหน้ามันท่ามกลางผู้คนหรอ?

 

“เจ้า…”

 

ได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน สีหน้าจ้าวจี้เปลี่ยนไปอย่างมาก มันอ้าปากคล้ายจะกล่าวอะไรบางอย่าง หากแต่บิดาของมันอย่างจ้าวเติงก็เร่งส่งเสียงไปหยุดปากของมันทันที หลังจากนั้นมันค่อยหันไปส่งเสียงกล่าวกับต้วนหลิงเทียนแทน “หลิงเทียน เจ้ากับสกุลจ้าวของข้ามิมีวันอยู่ใต้ฟ้าเดียวกันได้! ในตำหนักฟ้าลี้ลับแห่งนี้หากมีสกุลจ้าว…”

 

“ถ้าให้เดา ก็ต้องไม่มีข้างั้นสิ”

 

ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงกล่าวแทรกอย่างเฉยเมยก่อนที่จ้าวจี้จะกล่าวจบ คล้ายไม่ได้กลัวอะไรจ้าวจี้เลย

 

“ฮึ่ม! คอยดูกันไปเถอะ!!”

 

จ้าวจี้ส่งเสียงสบทไปเย็นเยียบ หากแต่มันก็ไม่ได้กล่าวอะไรสืบต่อ เพียงถลึงตามองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดุร้ายปานจะยิงลำแสงความร้อนออกมาทำร้ายผู้คน

 

ถึงแม้จ้าวเติงที่อยู่ข้างๆจ้าวจี้จะไม่ได้พูดอะไร แต่มันก็มองต้วนหลิงเทียนตาเขม็ง ลึกลงไปในแววตายังมีแต่ความเย็นชาหนาวเหน็บ

 

และหากสายตาฆ่าคนได้ ต้วนหลิงเทียนคงตายไปแล้วหลายครั้ง!

 

ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงสายตาอาฆาตจากจ้าวเติงพ่อจ้าวจี้เช่นกัน หากแต่เขาไม่ได้สนใจ

 

ตั้งแต่เขาเลือกจะตบหน้าจ้าวจี้ซ้ายทีขวาทีวันนั้นที่ยอดเขาวังนภา เขาเองก็เตรียมใจยืนฝั่งตรงข้ามกับตระกูลจี้แล้ว

 

ด้วยเหตุนี้พอเจอจ้าวจี้ในแดนลับเซียน เขาจึงเลือกที่จะฆ่ามันทันที รวมถึงคนสกุลจ้าวด้วย

 

ในเมื่อมีเรื่องไปแล้ว จะมีเพิ่มก็ไม่เห็นเป็นอะไร!

 

‘หืม นั่นใครกัน?’

 

ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองจ้องมาที่เขาไม่วางอย่างเงียบงัน ทว่าผู้มองกลับเป็นคนแปลกหน้าร่างผ่ายผอมที่ลอยร่างแยกตัวออกจากผู้คน

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ต้วนหลิงเทียนเห็นชายชราร่างผอมผู้นี้ อีกฝ่ายไม่น่าจะใช่คนของตำหนักฟ้าลี้ลับ!

 

“อาวุโสกู่…ตอนนี้ก็ได้เห็นคนแล้วสมใจแล้ว คิดกลับเลยหรือไม่เล่า?”

 

จ้าววังนภา จูลู่ฉีมองถามกู่มี่เสียงเรียบ

 

‘อาวุโสกู่?’

 

แววตาต้วนหลิงเทียนฉายความประหลาดใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าชายชราร่างผอมคนนี้จะไม่ใช่คนของตำหนักฟ้าลี้ลับจริงๆ ไม่งั้นจ้าววังนภาคงไม่เรียกหาอีกฝ่ายเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงแบบนี้

 

และในขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนยังพบว่าชายชราที่มองจ้องมาทางเขา ไม่นานในแววตาก็ฉายความผิดหวังออกมา

 

‘ทำไมเห็นข้าแล้วแลดูผิดหวังล่ะ?’

 

ต้วนหลิงเทียนที่เห็นเรื่องนี้ก็ยิ่งงงไปกันใหญ่ เขาแน่ใจว่าพึ่งเห็นอีกฝ่ายเป็นครั้งแรกแน่ๆ แล้วไฉนแววตาที่อีกฝ่ายมองเขากลับแลดูผิดหวังขนาดนั้น

 

เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้ว่าชายชราที่กำลังมองเขาอยู่คนนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก กู่มี่ หนึ่งในมือขวาของต้วนหรูเฟิงบิดาเขา

 

เหตุผลที่กู่มี่เผยสายตาผิดหวังนั้น เพราะพบว่าหน้าตาเขาไม่ใช่หน้าตาของต้วนหลิงเทียน

 

‘มิใช่จ้าวตำหนักน้อย’

 

กู่มี่เคยเห็นรูปเหมือนต้วนหลิงเทียนมาแล้ว และคนตรงหน้าไม่เหมือนกับจ้าวตำหนักน้อยที่มันตามหาเลย

 

อย่างไรก็ตาม กู่มี่เองก็คาดไม่ถึงจริงๆว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าจะเป็นจ้าวตำหนักน้อยที่มันกำลังตามหา!

 

ทั้งหมดเพราะจ้าวตำหนักน้อยของมันใช้เคล็ดวิชาแปลงโฉมอันเลิศล้ำเกินไป จนไร้ซึ่งพิรุธร่องรอยใดๆให้สืบสาว จึงยากที่มันจะมองออก!

 

“จ้าวตำหนักเมิ่ง ข้าขอลา”

 

เผชิญหน้ากับเสียงห้วนๆของจูลี่ฉี กู่มี่ก็ไม่ได้แยแสอะไร เลือกจะหันไปมองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ เมิ่งฉิง ที่อยู่ไม่ไกลพร้อมกล่าวคำลา

 

การจากไปของกู่มี่ก็รวดเร็วนัก! ยังเสมือนอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยต่อหน้าต่อตาคนส่วนใหญ่!!

 

มีเพียงเมิ่งฉิงคนเดียวที่เห็นความเคลื่อนไหวขณะจากไปของกู่มี่

 

“ความเร็วนี่มัน…!”

 

คนตำหนักฟ้าลี้ลับที่อยู่ในที่เกิดเหตุได้แต่ชักสีหน้าเคร่งขรึม พวกมันถึงกับต้องประเมินพลังรบของตำหนักเมฆาครามครั้งใหม่แล้วจริงๆ หลังได้เห็นความเคลื่อนไหวของกู่มี่!

 

กู่มี่ร้ายกาจกว่าพวกมันมาก!!

 

หลังจากนั้นเมื่อสถานการณ์สงบลง ก็หันมาสนใจการเก็บเกี่ยวของรุ่นเยาว์กันต่อ

 

นอกจากต้วนหลิงเทียนที่จงใจเก็บซ่อนเรื่องราว คนอื่นๆก็กล่าวรายงานออกมาว่าได้อะไรดีๆมาบ้าง

 

การที่พวกมันได้รับเวทย์พลังดีๆมา ย่อมทำให้พวกมันได้สิทธิประโยชน์มากมาย และส่งผลอันดีต่ออนาคตในตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกมัน

 

ผู้ที่ได้รับเวทย์พลังดีๆ จะได้รับการสนับสนุนจากตำหนักฟ้าลี้ลับเป็นพิเศษ

 

“เวทย์พลังระดับสูง!!”

 

พอถึงตาที่หวางเฟยเซวียนกล่าวรายงานสิ่งที่นางได้นับมาจากพื้นที่มรดกเวทย์พลัง และทันทีที่นางกล่าวถึงเวทย์พลังเสริมท่าร่าง ภูตมายาพันเงา ออกมา อาวุโสทุกคนอดไม่ได้ที่จะเผยอาการตกใจ!

 

ทุกคนยังหันไปจ้องหวางเฟยเซวียนเป็นสายตาเดียวกันทันที