TB:บทที่ 149 ทุบมันเลย

ในตอนนี้ พายุได้ก่อตัวขึ้นภายในใจของเหลยเฟิงซิงเป็นที่เรียบร้อย เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเฉินหลงจะเก่งมากถึงขนาดนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาก็อยากรู้ว่าเมื่อกี้เฉินหลงทำอะไรกับเขากันแน่

“เห้ย นาย นายทำอะไรฉันเนี่ย”

ความแข็งแรงของเหลยเฟิงซิงก็คือขาทั้งสองข้าง ถ้าขาของเขาเป็นอะไรขึ้นมา ทุกอย่างที่เขามีในตอนนี้ก็จะไม่มีอีกต่อไป เขารู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ

เฉินหลงส่งยิ้มให้เหลยเฟิงซิงที่กำลังกังวลเกี่ยวกับขาตัวเอง “ไม่ต้องเครียด ฉันไม่ได้ทำให้ขาของนายใช้การไม่ได้สักหน่อย เอาล่ะ ไหนบอกฉันมาสิ ใครกันที่ส่งนายมา เป็นหมอนี่หรือว่าหมอนั่นล่ะ?”

เฉินชี้ไปทางลู่เฟิงสลับกับฟางเต๋าหลิน

 

เมื่อเห็นว่าเฉินหลงกำลังชี้นิ้วมาทางตัวเองแล้ว ลู่เฟิงก็ก้มศีรษะลง ด้วยความร้อนตัวจึงบอกอีกฝ่ายว่าเขากลัวเฉินหลงจริงๆ

ส่วนฟางเต๋าหลินไม่ได้กลัวเขาเลยสักนิด เพราะเขาไม่ได้เป็นคนเรียกหมอนั่นมาที่นี่ เขาจึงไม่จำเป็นต้องร้อนตัว

ส่วนใบหน้าของเหลยเฟิงซิงในตอนนี้ดูน่าเกลียดมาก ถ้าไม่มีลู่เฟิงกับพรรคพวกอยู่ใกล้ๆ เขาก็คงจะขอร้องอีกฝ่ายไปแล้ว แต่เพราะตอนนี้ เขากำลังอยู่ต่อหน้าลู่เฟิงกับเตหลี ทำเอาเขาพูดไม่ออกเลยจริงๆ

 

ในเมื่อไม่ได้ยินคำตอบจากเหลยเฟิงซิง เฉินหลงจึงเดินเข้าไปกระซิบข้างหูเขาเบาๆว่า “ถ้านายไม่พูดมันออกมา ฉันก็จะไม่รับปากว่าขานายจะกลับมาเป็นปกติได้นะ”

ในตอนที่เขาเห็นลู่เฟิงกับฟางเต๋าหลินเมื่อกี้นี้ เฉินหลงรู้ตัวในทันทีว่าใครเป็นคนส่งเหลยเฟิงซิงมา แต่เขาอยากให้เหลยเฟิงซิงเป็นคนสารภาพมันออกมาด้วยตัวเอง เพราะความสะใจล้วนๆ

คำตอบของเฉินหลงทำเอาเหลยเฟิงซิงที่ก่อนหน้านี้หน้าตาดูไม่ได้อยู่แล้วยิ่งมีสีซีดมากกว่าเดิม

ในตอนนี้ ความคิดของเหลยเฟิงซิงกำลังตีกันระหว่างสวรรค์และมนุษย์ ถ้าต้องเลือกระหว่างจะเป็นฮีโร่หรือว่าจะเป็นไอ้โง่ แน่นอนว่าทุกคนจะต้องอยากเป็นฮีโร่มากกว่า แต่ว่าราคาของการเป็นฮีโร่ทำให้เขาต้องจ่ายมันด้วยขาทั้งสองข้าง แต่ถ้าเขาเลือกเป็นไอ้โง่ก็คงจะดูน่าเกลียดไปหน่อย แต่อย่างน้อยเขาก็จะได้รักษาขาที่แสนจะสำคัญทั้งสองข้างนี้เอาไว้ได้

เมื่อคิดเรื่องนี้อยู่ซักพัก เหลยเฟิงซิงก็ตัดสินใจแล้วว่าตัวเองเลือกที่จะเป็นไอ้โง่ดีกว่า เอาวะ อย่างน้อยแค่เสียหน้า ก็ไม่ถึงตายหรอก

 

“ลู่-ลู่เฟิงส่งฉันมา” เหลยเฟิงซิงกระซิบตอบข้างหูเฉินหลง

เฉินหลงก้าวถอยหลังไปสองก้าว จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “หืม นายว่าอะไรนะ ฉันได้ยินเลย ฉันขออีกรอบดังๆ ช้าๆ ชัดๆ เอาให้คนอื่นได้ยินด้วยสิ”

ในเมื่อนายอยากมาลักไก่ ฉันจะไม่เปิดประตูให้หรอกนะ

เหลยเฟิงซิงรู้ดีว่าไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะไม่ได้ที่เขาพูด ถึงเขาจะพูดไม่ดัง แต่ใกล้ขนาดนี้ทำไมมันจะไม่ได้ยินล่ะ เออ ก็ได้ นายไม่ได้ยินนักใช่ไหม ฉันจะตะโกนออกไปให้นายได้ยินเดี๋ยวนี้แหละ “ฉันบอกว่า ลู่-เฟิง เป็นคนส่งฉันมายังไงละว้อย!”

 

เมื่อได้ยินคำตอบของเหลยเฟิงซิง ทันใดนั้นหน้าตาของลู่เฟิงก็บูดเบี้ยวจนดูไม่ได้ถึงขั้นที่ว่าเขาอยากมุดหัวลงดินหนีอีกฝ่ายไปให้ไกลที่สุด

“เฮ้ รถของนายคันไหน?” เฉินหลงเดินตรงไปหาลู่เฟิง จ้องหน้าเขาและเอ่ยถาม

ลู่เฟิงไม่ตอบ เขาจะไม่ตอบเด็ดขาดว่ารถสุดรักสุดหวงของเขาคืออเวนทาดอร์ แต่ก็อย่างว่า สำหรับเฉินหลงแล้ว การที่อีกฝ่ายไม่ปริปากพูดก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เอาเถอะถ้าไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ ยังไงเขาก็อ่านใจได้อยู่ดี อย่าคิดว่าไม่พูดแล้วฉันจะไม่รู้นะ ฮ่าฮ่าฮ่า

ด้วยเหตุนี้ ถึงลู่เฟิงไม่ตอบ เขาก็รู้คำตอบอยู่แล้ว เขากวาดสายตามองหาว่าอีกฝ่ายจอดรถเอาไว้ตรงไหน

 

จู่ๆเฉินหลงก็กระตุกยิ้ม จากนั้นสายตาของเขาก็ได้มาหยุดอยู่ที่ลู่เฟิงอีกครั้ง รถของเขาคือ แลมโบกินี่ อเวนทาดอร์สีน้ำเงิน โอ้โห รถของนายโคตรเท่ห์

“ว้าว รถนายเจ๋งดีนี่”

“เห้ย! อย่ามาแตะรถฉันนะเว้ย!” พอรู้ว่าเฉินหลงเห็นรถของเขาแล้ว ลู่เฟิงถึงกับตกใจจนทำตัวไม่ถูก

ลู่เฟิงตกใจมากจนลืมไปเลยว่าเมื่อกี้เขายังกลัวอีกฝ่ายอยู่ เขากำหมัดหมายจะชกเข้าไปที่หน้าของเฉินหลง

แต่ทันใดนั้น ในมือของเฉินหลงก็มีเข็มสีเงินปรากฏขึ้น เขาใช้เข็มทิ่มไปที่ข้อต่อตรงมือของลูเฟิง ใต้ตำแหน่งสามนิ้วด้านหลัง และตำแหน่งนั้นมีชื่อเรียกว่าจุดฝังเข็มภายนอก

บางครั้งการที่เราพุ่งออกไปซึ่งๆหน้าโดยที่ไม่ทันคิดให้มันรอบคอบก่อน ก็อาจทำให้เราเป็นอัมพาตไปชั่วคราวได้

 

ในตอนที่เข็มเงินสองเล่มถูกจิ้มเข้าไปที่แขนของลู่เฟิงสองจุด ทันใดนั้นแขนของเขาก็ใช้การไม่ได้ทันที

ในทำนองเดียวกัน เฉินหลงก็เดินไปทางรถของเขา

“เห้ย โทรหาตำรวจสิ โทรหาตำรวจเดี๋ยวนี้เลย อย่าให้มันทำอะไรรถฉันได้นะเว้ย” ในตอนที่ลู่เฟิงเห็นเฉินหลงเดินไปที่รถของเขา เขาก็รีบพูดขึ้น

ในเวลาเดียวกัน จู่ๆเฉินหลงก็ได้หยุดยืนอยู่ข้างๆเหลยเฟิงซิง เขาใช้เข็มเงินทิ่มลงไปที่จุดเทียนจง*ตรงไหล่ของเขาแล้วพูดกับเขาว่า “ฉันจะปลดจุดที่ขาของนายให้ แต่มีข้อแม้ว่านายต้องไปทุบรถของเขาก่อน ถึงจะไปได้ ไม่อย่างนั้น แขนของนายก็จะใช้การไม่ได้ตลอดชีวิต นายเตรียมใจเอาไว้ได้เลย”

หลังจากนั้น เฉินหลงได้นำเข็มที่อยู่บนขาของเหลยเฟิงซิงออก

 

เขาก็เดินไปอยู่ข้างๆฮัวหมิงเหริน เตรียมชมการแสดงที่นี่ตื่นตาตื่นใจ

ในตอนที่เฉินหลงกำลังจะทุบรถเขา เขาก็คิดว่าเขากำลังถูกรายล้อมไปด้วยคนที่เหมือนกับลิง ถ้าอย่างนั้นเขาก็ขอเรียกคนพวกนี้ว่า ‘กุ๊ยขี้ขลาด’ ก็แล้วกัน

เขาเชื่อสนิทใจเลยว่าเหลยเฟิงซิงต้องมาทุบรถเขาตามคำสั่งของมันแน่นอน

เมื่อเข็มที่ฝังอยู่ถูกนำออกไป อาการชาที่ขาของเหลยฟิงซิงก็ได้หายไปในทันที เขาหันไปมองเฉินหลงและพบว่า เฉินหลงไม่สนใจท่าทางของเขาเลยสักนิด ส่วนเขาก็ทำได้แค่กล่าวคำว่า ‘ขอโทษ’ ต่อลู่เฟิงในใจ จากนั้นก็เดินไปทางรถของเขา

 

“เห้ย! ไอ้ลูกพี่ลูกน้อง นายอย่าทำอย่างนั้นสิ เรามีสายเลือดเดียวกันนะเว้ย อย่าทุบรถฉันนะเว้ย อย่าทำอะไรรถฉันนะ หยุดเดี๋ยวนี้!” เมื่อเห็นเหลยเฟิงซิงเดินเข้าไปใกล้รถตัวเองล้ว ลู่เฟิงถึงกับร้องไห้หาพ่อหาแม่ต่อหน้าเหลยเฟิงซิง

ใจจริงเหลยเฟิงซิงก็ไม่อยากทุบรถของลู่เฟิงเลย แต่ถ้าจะให้เลือกระหว่างแขนกับรถ เขาก็ต้องเลือกแขนของตัวเองอยู่แล้ว รอบนี้เขาขอให้รถของลู่เฟิงเป็นผู้เสียสละแทนก็แล้วกัน

เมื่อเดินไปถึงแลมโบกินี่ อเวนทาดอร์สีน้ำเงิน ขาของเหลยเฟิงซิงก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว

ถึงต่อหน้าเฉินหลง เหลยเฟิงซิงอาจจะดูเป็นคนอ่อนแอ แต่เมื่อเขาได้อยู่ตรงหน้ารถสปอร์ตที่จอดสนิท พลังขาของเขาก็ได้เป็นที่ประจักษ์

 

อย่างแรก เหลยเฟิงซิงส่งตัวขึ้นไปอยู่ข้างบนรถ จากนั้นก็กระโดดเข้าใส่ด้วยแรงมหาศาล ทันใดนั้นรถคันนี้เหมือนกับถูกก้อนหินก้อนโตที่อยู่บนฟ้ากระแทกเข้ากับหลังคารถอย่างจังทำให้กระจกทุกบานแตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ

ในตอนนี้ เหลยเฟิงซิงได้โชว์พลังขาของตนออกมาให้ทุกคนได้เห็น ขาของเขาเป็นเหมือนกับค้อนที่สามารถทุบรถให้แหลกเป็นชิ้น ๆ

ในตอนที่เหลยเฟิงซิงกำลังทุบรถอยู่นั้น เฉินหลงได้หันไปพูดกับฮัวหมิงเหรินว่า “ศิษย์เอ๋ย นายเห็นแล้วใช่ไหม? การจัดการคนซื่อบื้อย่างเขาให้อยู่หมัดนั้นง่ายนิดเดียว เอาล่ะ จำเอาไว้ให้ดีแล้วก็นำไปใช้ด้วยล่ะ”

“เข้าใจแล้วครับ ผมจะจำที่คุณสอนทั้งหมดให้ได้” ฮัวหมิงเหรินพยักหน้าตอบเขาถี่ๆ

 

“อาจารย์ เขาคนนี้คือหลานชายของผมชื่อ ฮัวเทียน ฮัวเทียนโข้วโถวให้กับผุ้อาวุโสสิ”

ในตอนนั้นเองฮัวหมิงเหรินก็ได้แนะนำฮัวเทียนให้เฉินหลงรู้จัก

ถึงฮัวเทียนจะยินดีที่จะนับถือเฉินหลงในนามอาจารย์ แต่เขาก็ยังรู้สึกลังเลที่จะคุกเข่าและโข้วโถวให้กับเฉินหลงต่อหน้าคนหลายคนอยู่ดี

แต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยอมจำนนและคุกเข่าให้เฉินหลงแต่โดยดี

การที่อีกฝ่ายยอมทำแบบนั้นให้เฉินหลง เพราะเฉินหลงเป็นคนที่ช่วยเหลือพวกเขา แต่การที่ครั้งหนึ่งเฉินหลงได้ช่วยเหลือใครสักคน แล้วเขาคนนั้นต้องมาคุกเข่าขอบคุณเขาแบบนี้ เขาละไม่ชอบมันเลยจริงๆ น่าเบื่อชะมัด ทำไมต้องมาคุกเข่าขอบคุณเขาด้วยละ ทั้งๆที่แค่กล่าวคำว่าขอบคุณก็เพียงพอสำหรับเขาแล้วแท้ๆ เฮ้อ เขาละไม่เข้าใจความคิดแบบนี้เลยจริงๆ

 

“เอ่อ ตอนนี้พวกเราอยู่ในที่สารธารณะ พวกเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้นก็ได้” เฉินหลงหันไปพูดกับฮัวหมิงเหริน

“ให้ตายสิ เป็นเพราะปู่ของนายเลอะเลือนจนพูดไม่คิด นายลืมเรื่องคุกเข่าไปเถอะ ไม่ต้องทำแล้ว” เนื่องจากว่าฮัวหมิงเหรินเป็นคนที่นับถืออาจารย์ของตัวเองมาก ในเมื่อเฉินหลงไม่อยากให้ฮัวเทียนคุกเข่า เขาก็คงต้องปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน แล้วค่อยชดเชยให้ครั้งหน้าก็แล้วกัน

“ขอบคุณครับ อาจารย์” ฮัวเทียนรีบกล่าวคำขอบคุณ

การที่เฉินหลงไม่ปล่อยให้เขาต้องคุกเข่าต่อหน้าผู้คนมากมายแบบนี้ มันทำให้ฮัวเทียนรู้สึกขอบคุณเฉินหลงจากใจ ในตอนนี้คนอย่างเขาก็จะไม่เสียหน้าแล้ว รอดไปนะเรา

 

ในตอนที่ฮัวเทียนรักษาหน้าตัวเองเอาไว้ได้ ด้านลู่เฟิงกลับใจสลายเพราะ รถของตัวเองถูกเหลยเฟิงซิงทุบจนมีสภาพเหมือนกับเศษเหล็กไปแล้ว ไอ้เหลยเฟิงซิง ไอ้บ้าเอ้ย

“เยี่ยมมาก!” เฉินหลงพยักหน้าอย่างพอใจ ในตอนที่เห็นอเวนทาดอร์คันสวยกลายเป็นเศษเหล็กไปเรียบร้อยแล้ว

หลังจากนั้น เขาก็เดินไปหยิบเข็มเงินทั้งสองเล่มที่ฝังอยู่ตรงไหล่ของเหลยเฟิงซิงออก

เมื่อเข็มเงินถูกนำออกไปแล้ว เหลยเฟิงซิงก็ไม่กล้าสู้หน้าลู่เฟิงกับพวกพ้องอีกต่อไป เขารีบวิ่งออกไปจากลานจอดรถในทันที

“ว่าแต่ นายมีอะไรจะพูดกับฉันอีกป่ะ?” เฉินหลงหันไปถามลู่เฟิงด้วยความภาคภูมิใจ

ในตอนนี้ต้วนหนานกับคนอื่นๆก็ไม่กล้าพูดออกมาสักคำ ถ้าพวกเขากล้าพูดอวดดีกับเขาอีก มีหวังโดนเขาจัดการแบบลู่เฟิงแหงๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วใครหน้าไหนจะไปสู้กับคนอย่างเฉินหลงได้เล่า

 

 

 

 

*天宗 (tiān zōng)จุดเทียนจง (เทียนจง) The meaning is “จุดฝังเข็มบริเวณแอ่งสะบักล่าง ตรงจุดแบ่งระหว่าง 1/3 บนกับ 2/3 ล่างของเส้นที่เชื่อมระหว่างจุดกึ่งกลางของ spine กับมุมล่างของกระดูกสะบัก ข้อบ่งใช้: ปวดไหล่และยกแขนไม่ขึ้น”