ตอนที่ 9 โดย ProjectZyphon
ในตอนนั้น แพคกอนอุงก็หยุดพูดไปครู่หนึ่ง เพราะผมขยับออกมายืนอยู่ข้างหน้านั่นเอง และในชั่วพริบตาเดียวระหว่างที่ทุกคนกำลังจดจ่ออยู่นั้นเอง ผมก็ค่อยๆ เดินไปหาแคลนลอร์ดโครยอช้าๆ
“หืม? แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่? คุณมีอะไรอยากจะพูดหรือครับ”
“ครับ แคลนลอร์ดโครยอ ไม่ทราบว่าคุณจำตอนที่เราจัดการกับพวกสายลับได้อยู่หรือเปล่าครับ”
“อ้า เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้วล่ะครับ ต้องขอขอบคุณความสามารถของราชินีแห่งเงามืดเป็นพิเศษเลยที่ทำให้เราสามารถถอนรากถอนโคนสายลับทั้งหมดที่ไม่ได้ออกมาจากปากของแพคซอยอนได้ ว่าแต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะครับ”
“ผมมีความคิดหนึ่งที่คาดว่าคุณน่าจะคาดไม่ถึงอยู่น่ะครับ ไม่ทราบว่าจะเป็นอะไรไหมหากผมจะขอถามคำถามพวกเขาสักหน่อย”
ผมไม่ใช่ลูกไก่ในกำมือเขาอีกต่อไป ในเมื่อผมคือผู้เล่นที่สร้างผลงานได้ยอดเยี่ยมที่สุดในการเตรียมพร้อมในสงครามครั้งนี้ และยังเป็นแคลนลอร์ดแห่งเมอร์เซนต์นารี่ที่ก้าวสูงขึ้นมาอีกขั้นแล้วในตอนนี้ เป็นการกระทำที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงมีคำว่าอวดดีดังมาให้ผมได้ยินแล้ว แต่ตอนนี้ผมอยู่ในฐานะที่ต้องพูดออกมาบ้าง
แคลนลอร์ดโครยอดูสงสัยอยู่บ้าง แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าเป็นการอนุญาตให้ผมรีบๆ ถามให้เสร็จเสียที
ผมเริ่มถามในทันที และดังเช่นที่ผมเป็นมาเสมอ หากจะเริ่มต้องเริ่มให้ตรงประเด็น
“ก่อนอื่นผมต้องขอบอกก่อนนะครับ ว่าผมสงสัยคุณ”
“ครับ?”
“จากที่นี่ไปจนถึงบาร์บาร่า ถ้าอย่างเร็วใช้เวลาประมาณห้าวัน แต่ถ้าช้าก็ประมาณเจ็ดวัน คำพูดของคุณไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด…แต่ก็อย่างที่ผมพูดครับ ผมไม่สามารถกำจัดความคิดเรื่องไทม์มิ่งที่ถูกต้องออกไปได้เลยน่ะครับ”
“ผมไม่รู้ว่าคุณตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่”
“คุณบอกว่าคุณออกจากเมืองมาตั้งแต่ก่อนที่มันจะถูกบุกรุก แต่นั่นล่ะครับสิ่งที่คุณไม่รู้ เมืองอาจจะถูกบุกรุกไปตั้งแต่ก่อนอาทิตย์ที่แล้วมานานมากแล้วก็ได้ ไม่สิ บางทีอาจจะล่มสลายไปแล้วก็ได้เหมือนกัน ทีนี้คุณเข้าใจที่ผมพูดหรือยังล่ะครับ”
ทันทีที่ผมพูดจบ ก็เกิดเสียงของความวุ่นวายเล็กๆ ขึ้นในหมู่ผู้เล่นรอบๆ ตัวผม ส่วนใหญ่จะเป็นไปในแนวว่าทำไมจู่ๆ จึงมาถามอะไรไร้สาระเพราะพวกเขาตกใจกับการพูดเสนออย่างกะทันหันของผม แต่ผมก็คาดไว้แล้วว่าจะต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้ออกมา และเพราะผมมีความมั่นใจและความลับเป็นอาวุธ ผมจึงกล้าที่จะพูดออกมา เพราะผมอยากทำให้มันจบในตู้มเดียวแบบไม่ต้องมาอ้อยอิ่งอะไรกันอีก
“ตายจริง แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่?”
ตอนนั้นเองก็มีเสียงสุภาพเรียบร้อยแบบกุลสตรีเรียกชื่อผมมาจากด้านข้าง เจ้าของเสียงนั้นก็คือซอนยูลนั่นเอง หล่อนยกแขนกอดอกก่อนจะพูดต่ออย่างนุ่มนวล
“ที่คุณพูดไปเมื่อสักครู่นี้ นี่คุณกำลังสงสัยว่าพวกเขาเป็นพวกเร่ร่อนอย่างนั้นหรือคะ”
“ใช่ครับ ตอนนี้สายลับทุกคนถูกจับหมดแล้ว ผมจึงคิดว่าพวกเขาคงไม่สามารถติดต่อกับสายลับได้จึงสงสัยสถานการณ์ในตอนนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะใช้ผู้เล่นที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้ ไม่สิ ต้องเป็นพวกเร่ร่อนปลอมตัวเป็นผู้เล่นแล้วมาหลอกเอาข้อมูลจากเราอย่างไรล่ะครับ”
“หืม นั่นเป็นการคาดเดาที่ยอดเยี่ยมจริงๆ นะคะ ไม่มีหลักฐานมีแค่ความมั่นใจ…แบบนี้ไม่เรียกว่าดันทุรังหรือคะ”
ซอนยูลเผยรอยยิ้มบางเบาก่อนจะพูดแดกดันผมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ทันใดนั้นเองแพคกอนอุงที่ที่ทำหน้าปั้นไม่ถูกอยู่ก็เปลี่ยนกลับมายิ้มได้อีกครั้งเพราะคิดว่ามีคนเข้าข้างตนก่อนจะตอบออกมา
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจดี ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ก็คงมีความสงสัยกันบ้างล่ะครับ ในส่วนนั้น ผมขอชี้แจง…”
“ไม่ต้อง ความจริงแล้ว แม้ฉันจะคิดว่ามันดันทุรังแต่ฉันคิดเช่นเดียวกับแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ค่ะ เพราะแบบนั้นล่ะค่ะ”
ในตอนนั้นเอง นักมายากลไพ่ทาโร่ต์ที่ปฏิเสธความคิดของผมในทีแรก ก็ปรับสีหน้าและเปลี่ยนท่าทีของหล่อนอย่างรวดเร็ว
“คะ ครับ? นี่หมายความว่า…”
“พวกเราไม่ได้โง่นะคะ ถึงแม้มันจะฟังดูสมเหตุสมผลในตอนแรก แต่พอมาคิดดูดีๆ แล้ว ยังมีจุดที่ยังคลุมเครืออยู่อีกเยอะเลยเหมือนกันค่ะ ยกตัวอย่างก็เช่น ลูกแก้วสื่อสาร ภายในเมืองมันอาจจะใช้ไม่ได้ แต่ถ้าออกจากเมืองมาแล้วก็สามารถใช้ลูกแก้วได้นะคะ เมื่อกี้พวกเราเองก็ยังใช้สื่อสารกันอยู่เลยค่ะ ไม่ทราบว่าได้ลองใช้ดูหรือยังคะ”
อ้อ นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจจะพูดอยู่เหมือนกัน
ตอนนี้ผมเองก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน ที่เมื่อกี้เอาแต่พยายามจะพูดขยายความให้ละเอียดทั้งที่รู้ว่ามันดูออกจะดื้อดึงดันทุรังไปมากก็ตามที
“เอ่อ ไม่สิครับ พอดีพวกผมไม่มีลูกแก้วคริสตัลน่ะครับ”
“อ๋อ เป็นแบบนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นเรามาค้นตัวกันแบบง่ายๆ กันหน่อยเถอะค่ะ เพราะฉันคิดว่าถ้าเป็นสายลับล่ะก็จะต้องเอาลูกแก้วที่จะใช้ติดต่อสื่อสารกันอย่างลับๆ มาด้วยอยู่แล้ว ไม่ใช่หรือคะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่?”
เพราะคนที่คิดว่าเป็นพวกเดียวกันกับตัวเองจู่ๆ ก็เปลี่ยนท่าทีและหันมาโจมตีเขา ทำให้สีหน้าที่เรียบเสมอต้นเสมอปลายของแพคกอนอุงหายไป ก่อนจะแทนที่ด้วยสีหน้าที่แสดงความตื่นตระหนก
หืม ต้องยกนิ้วให้แล้วมั้งเนี่ย
ผมมองไปที่ซอนยูลที่กำลังเลิกคิ้วมาทางผมพร้อมนึกยกย่องหล่อนในใจ แน่นอนว่าความคิดที่ว่าหล่อนเป็นผู้หญิงที่คาดเดาอะไรไม่ได้นั้นยังคงอยู่
“นี่ทำกันเกินไปแล้วนะคะ!”
ในตอนนั้นเองหญิงคนหนึ่งที่ฟังเงียบๆ อยู่ด้านหลังก็หวีดร้องออกมาอย่างโกรธเคือง
“รู้กันบ้างไหมคะว่าพวกเราออกจากเมืองกันมาด้วยความรู้สึกแบบไหน ทั้งตื่นเต้นและกังวลตลอดทางที่มาถึงที่นี่ อยากเจอคนที่เป็นพวกเดียวกันมาก แต่พวกคุณกลับมองว่าเราเป็นพวกเร่ร่อน…”
สีหน้าของหญิงสาวแสดงถึงการไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างแท้จริง แต่กับผมที่มั่นใจในดวงตาที่สามของตนเองนั้น มองไม่เห็นอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากว่าเธอคนนี้ต้องการหนีออกไปจากวิกฤตนี้โดยการอุทธรณ์ขอความเห็นใจ
“ทำ…ทำแบบนี้…ได้อย่างไรกันคะ ทั้งที่ฉันรอดมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ทำแบบนี้ได้อย่างไร…ฮึก”
ทำแบบนี้ได้อย่างไรน่ะเหรอ
ฉันเห็นข้อมูลผู้เล่นของพวกเธอหมดแล้ว ก็เลยรู้น่ะสิ
“อะแฮ่ม ผมเข้าใจที่แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่พูดดีนะครับ แต่ผมคิดว่าการต้อนพวกเขาจนจนมุมเช่นนี้เพียงเพราะความคิดของคุณเพียงอย่างเดียวก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเช่นกัน เรื่องระยะเวลาก็อาจจะถูกก็ได้ และพวกเขาก็อาจจะไม่ได้นึกถึงลูกแก้วสื่อสารก็ได้อีกเช่นกัน อย่างไรก็ตามพวกเขาก็อาจจะเป็นผู้เล่นที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจริงๆ ก็ได้นะครับ”
ถึงแม้ผมจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่คำพูดของแคลนลอร์ดโครยอก็ดูจะเป็นคำพูดที่เหมาะสมที่สุดแล้วในสถานการณ์แบบนี้
เมื่อแคลนลอร์ดโครยอพูดปกป้องตนขึ้นมา สีหน้าของแพคกอนอุงก็ดูมีประกายขึ้น จากนั้นเขาก็พูดต่อ
“โอ้! เดี๋ยวก่อนนะครับ! ที่นี่มีคนอยู่มากมายเลย ผมคิดว่าในนี้ก็น่าจะมีใครที่รู้จักหนึ่งในพวกเราเจ็ดคนอยู่นะครับ อ้า ไม่สิ! ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย ในบรรดาพวกคุณที่ผมได้เจอเป็นครั้งแรกนั้นมีคนที่ผมคุ้นหน้าอยู่ด้วยครับ! ถ้าผมได้ไปหาเขา ผมจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้นะครับ”
“อืม พอมาคิดดูแล้วก็มีวิธีนั้นอยู่ด้วยนะครับ แต่เพื่อเป็นการเผื่อไว้ก่อน เราคงต้องขอตรวจค้นตัวและริบลูกแก้ว…”
หรือนี่จะเป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้ายกันนะ แน่นอนว่านี่อาจจะเป็นวิธีที่แน่นอนที่สุดแล้วก็ได้ แต่ก็ยังมีช่องว่างใหญ่อยู่ช่องหนึ่ง เพราะเหล่าสายลับทั้งในฝั่งตะวันออก, ฝั่งใต้ และฝั่งเหนือต่างถูกกวาดล้างอย่างลับๆ ไปหมดแล้ว แต่สายลับของทางภาคกลางยังคงมีเหลืออยู่
กล่าวคือ มีความเป็นไปได้สูงมากที่แพคกอนอุงกับพวกที่อยู่ข้างหลังเขานั้นจะเป็นพวกเร่ร่อนที่สวมหน้ากากเป็นผู้เล่นอยู่
ผมส่ายหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะพูดออกมาเรียบๆ
“ไม่ครับ ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกนะ เพราะมีหลักฐานอยู่แล้วล่ะครับ”
“ครับ? หลักฐานหรือครับ”
ผมได้ยินที่แคลนลอร์ดโครยอถามมาด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่รอช้าที่จะเรียกชื่อชื่อหนึ่งออกมา
“ผู้เล่นโกยอนจู”
“ค่ะแคลนลอร์ด เรียกฉันเหรอคะ”
ทันทีหลังจากที่ผมเรียก โกยอนจูก็ตอบรับและก้าวออกมาข้างหน้าเหมือนเป็นการบอกว่าหล่อนรอให้ผมเรียกตั้งแต่ที่ผมก้าวออกมาแล้ว
“อ้า”
ตอนนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของแคลนลอร์ดโครยอ ผมส่งโกยอนจูไปทำงานนอกสถานที่อยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นหล่อนคงจะรู้ดีว่าผมตั้งใจจะทำอย่างไรต่อไป
“ผมไม่คิดว่าพวกเขาทั้งเจ็ดคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้จะสามารถต้านทานความสามารถของคุณได้หรอกนะครับ”
“อืมมม~”
ผมหันมาหาโกยอนจูก่อนจะชี้ไปที่พวกเขาที่กำลังยืนทำหน้าเป็นกังวลอยู่อย่างนั้น หล่อนครางในลำคออย่างสบายๆ ก่อนจะพูดต่อ
“หึๆ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ”
โกยอนจูตอบออกมาด้วยเสียงเนือยๆ อันเป็นเอกลักษณ์ก่อนที่ดวงตาของหล่อนจะเปลี่ยนเป็นสีเทา