ตอนที่ 668 ปฏิบัติการค้นหาขุมทรัพย์ ( 1 )

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 668 ปฏิบัติการค้นหาขุมทรัพย์ ( 1 )

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เพราะฝ่าบาทได้รับปากแล้วว่าจะแบ่งทรัพย์สมบัติจำนวน 20 ส่วนให้ว่อเฟิงเต้า !

เมื่อมีทรัพย์สมบัติเหล่านั้นมาเกื้อหนุน เรื่องการสร้างถนนที่ว่อเฟิงเต้าก็จะได้รับการแก้ไขได้โดยง่ายดาย

ฟู่เสี่ยวกวนเฝ้ารอคอยสิ่งนี้เป็นอย่างมาก

“ไปเถิด พวกเราเข้าวังไปพร้อมกันเถอะ เพราะฝ่าบาทก็ทรงรอคอยข่าวนี้อยู่เช่นกัน”

ณ ท้องพระโรงเฉิงเทียน

บัดนี้เวลาล่วงเลยเข้ายามอู่แล้ว แต่ทว่าการประชุมประจำราชสำนักยังมิสิ้นสุดลง

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้ฮ่องเต้ทรงพิโรธเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทรงทราบว่าเหล่าผู้อาวุโสจากยุทธภพทั้งหลายได้นำฐานะที่ซ่อนเร้นของฮองเฮาซั่งออกมาเผยแพร่ในวงกว้าง ยิ่งทำให้พระองค์เกิดความพิโรธเป็นทวีคูณ !

“ข้าจะมีราชโองการให้ก่อตั้งกรมใหม่ขึ้นมาเพื่อควบคุมยุทธภพซึ่งกรมนี้ให้อยู่ภายใต้การดูแลของกรมราชทัณฑ์และให้ตั้งชื่อว่าสำนักมือปราบหกประตู ! ”

“ส่วนที่ทำการของสำนักมือปราบหกประตูให้จัดตั้งขึ้นในจวนของผู้ว่าเมืองจินหลิง โดยมีหัวหน้ากรม 1 คนและมีผู้จดบันทึกอีก 2 คน โอกาสเดียวกันนี้ให้แต่งตั้งกองกำลังหงอีอีก 300 นาย”

“ทุกคนที่ทำงานอยู่ในสำนักมือปราบหกประตูรวมทั้งคนจดบันทึกจะต้องเป็นคนจากยุทธภพทั้งสิ้น ข้าประสงค์ให้ชาวยุทธ์ได้ประจันหน้ากับชาวยุทธ์ด้วยกัน และหัวหน้ากรมคนแรก…เหตุใดติ้งอันป๋อมิเข้าร่วมการประชุม ? ”

ฮ่องเต้ทรงกวาดสายพระเนตรไปยังเหล่าขุนนางที่นั่งอยู่เบื้องหน้า เจ้าหมอนั่นหายหัวไปที่ใดอีกแล้ว ?

เป็นเขาที่เสนอความคิดเรื่องสำนักมือปราบหกประตูนี้ขึ้นมา แต่ทว่าจะเลือกผู้ใดมารับหน้าที่นั้นเขามิได้เอ่ยเอาไว้ แล้วจะให้ผู้ใดมารับตำแหน่งหัวหน้ากรมกัน ?

ในขณะที่ฝ่าบาททรงกริ้วอยู่นั้น ฟู่เสี่ยวกวนและฮั่วหวยจิ่นก็ได้เดินทางมาถึงพอดี

“ฟู่เสี่ยวกวน ! ” ฮ่องเต้แผดสุรเสียงเรียกชื่อจนทำให้ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจ

เขารีบเบียดกายเข้าไป แล้วโค้งคำนับฮ่องเต้ทันที “กระหม่อมอยู่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”

เจ้าหมอนี่มาได้ทันเวลาพอดี หืม…ฮั่วหวยจิ่นก็มาด้วย เห็นทีเรื่องที่วัดฟูจื่อคงจะเข้าร่องเข้ารอยแล้ว

โทสะของฝ่าบาทได้อันตรธานหายไปในบันดล พระราชดำริได้ล่องลอยหายไปยังวัดฟูจื่อ ไปยังขุมทรัพย์ของราชวงศ์เฉินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว !

ราชวงศ์หยูก่อตั้งมานานกว่าสองร้อยปี ตลอดเวลาที่ผ่านมาในทุกรัชสมัย ล้วนลำบากตรากตรำในการค้นหาขุมทรัพย์เหล่านั้น ทว่าวันนี้เห็นทีจะถูกปลดปล่อยเสียแล้ว !

ท้องพระคลังของข้าจะอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาอีกคราและทรัพย์ส่วนพระองค์ของข้า… จริงสิ ! สมบัติของราชวงศ์เฉินจะต้องแบ่งไว้ 20 ส่วนเพื่อเข้าไปเติมเต็มคลังของข้า เห็นทีครานี้เงินส่วนตัวของข้าก็จะอู้ฟู่ขึ้นมาและตำหนักต่าง ๆ ในวังหลังก็ถึงคราได้รับการบูรณะเสียที

ฮ่องเต้ทรงเหม่อลอยไปชั่วขณะ ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองด้วยความงงงวย ตอนนี้เองที่เหล่าเสนาบดีล้วนมองหน้ากันด้วยความมิเข้าใจในสถานการณ์

เหตุใดฝ่าบาทถึงต้องเรียกติ้งอันป๋อ ?

แล้วเหตุใดพระองค์ถึงมิตรัสสิ่งใดออกมา ?

“เอ่อ…” ผ่านไปชั่วขณะหนึ่งฝ่าบาทถึงได้รวบรวมสติกลับคืนมา เรื่องสำนักมือปราบหกประตูไว้ค่อยหารือกันต่อในห้องทรงพระอักษร ส่วนตอนนี้มีเรื่องที่เร่งด่วนมากกว่าซึ่งก็คือเรื่องขุมทรัพย์

“ติ้งอันป๋อ เรื่องทางวัดฟูจื่อเรียบร้อยดีหรือไม่ ? ”

“ทูลฝ่าบาท ที่กระหม่อมและฮั่วหวยจิ่นมาเข้าเฝ้าในครานี้ก็เพื่อการนี้ ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ขอฝ่าบาทมีพระราชโองการออกไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

เหล่าเสนาบดีทั้งหลายต่างตกตะลึง มีเรื่องใดเกี่ยวกับวัดฟูจื่อเยี่ยงนั้นหรือ ?

วัดนั่นมีสภาพซอมซ่อมาช้านานแล้ว หรือว่าฝ่าบาทจะมีพระราชโองการให้บูรณะซ่อมแซมกัน ?

ฮ่องเต้ทรงแย้มพระสรวลแล้วยืดพระวรกายขึ้นด้วยความภาคภูมิพระทัย พระองค์ดำเนินอยู่บนบัลลังก์มังกรสองก้าวแล้วตรัสออกมาท่ามกลางความโกลาหลว่า

“บัดนี้ ข้าประสงค์จะแจ้งข่าวดีให้พวกเจ้าทั้งหลายได้รับทราบ ! ”

เหล่าเสนาบดีทั้งหลายตั้งใจฟังด้วยความตื่นตัวในทันใด

แต่ละคนหูตั้งเพื่อรอฟังว่ามีข่าวดีอันใดมาเยือนกัน ?

สายตาของพวกเขาตกไปอยู่ที่แผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวน ในใจบังเกิดความระแวงขึ้นมาว่า ติ้งอันป๋อผู้นี้จะทำคุณงามความดีอันใดอีก มิเช่นนั้นแล้วเหตุใดฝ่าบาทถึงได้ขจัดหมอกแห่งความตึงเครียดได้ในชั่วพริบตา ?

“ฮองเฮาซั่งของข้าได้เข้าร่วมกับลัทธิจันทราเมื่อปีไท่เหอที่ห้าสิบ และได้รับตำแหน่งรองอาวุโสเช่อเหมิน ! ”

ดูเหมือนว่าข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั้งยุทธภพจะยังมามิถึงหูของเหล่าเสนาบดีที่ร่วมประชุมอยู่นี้ แต่แน่นอนว่าเป็นแผนการที่ฟู่เสี่ยวกวนวางเอาไว้เมื่อคืนก่อน เพื่อขจัดมลทินของฮองเฮาซั่งออกไปให้สิ้น

แต่ทว่าเมื่อเหล่าเสนาบดีได้ยินข่าวนี้ก็รู้สึกตื่นตกใจจนขวัญผวา !

ว่าเยี่ยงไรนะ ?

ฮองเฮาซั่งเป็นรองอาวุโสลัทธิจันทรา ?

เข้าร่วมกับลัทธิจันทรา ?

ฮองเฮาซั่งเป็นสายลับเยี่ยงนั้นหรือ ?

ฮ่องเต้มิได้ปล่อยให้เหล่าเสนาบดีคิดเป็นตุเป็นตะจึงตรัสต่อว่า “เวลาล่วงเลยมาแล้วกว่าสามสิบปี ตอนนี้ข้าได้ค้นพบตำแหน่งขุมทรัพย์ของราชวงศ์เฉินที่ถูกฝังเอาไว้แล้ว ที่แห่งนั้นก็คือวัดฟูจื่อ ! ”

เมื่อพระองค์ตรัสสิ่งนี้ออกไปก็ทำให้เหล่าเสนาบดีส่งเสียงร้องฮือฮาออกมา !

“ขุมทรัพย์ของราชวงศ์เฉิน ? ”

“สวรรค์ ! แท้ที่จริงก็อยู่ที่วัดฟูจื่อนี่เอง ! ”

“ว่ากันว่าในปีนั้นทรัพย์สมบัติของราชวงศ์เฉินมีจำนวนมหาศาล นี่จะมีมากมายเพียงใดกันนะ ? ”

ต่งคังผิงรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เพราะสมบัติเหล่านั้น !

นี่คงเป็นทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาล ถ้าหากว่าในพระราชพงศาวดารบันทึกไว้มิผิดเพี้ยน การนำทรัพย์สมบัติของราชวงศ์เฉินมาตีเป็นหน่วยเงินตราก็น่าจะมีมากกว่า 180 ล้านตำลึงที่ฟู่เสี่ยวกวนไปแย่งชิงมาจากแคว้นอี๋เป็นสิบเท่า !

หมายความว่าเยี่ยงไรน่ะหรือ ?

ก็หมายความว่าพระราชวังแห่งนี้ สามารถกลายเป็นพระราชวังทองคำได้เลยน่ะสิ !

ท้องพระคลังของราชวงศ์หยูคงต้องสร้างเพิ่มอีก 2 แห่ง !

เยี่ยนเป่ยซีเองก็รู้สึกตื่นเต้นมิแพ้ผู้ใด เมื่อมีเงินก็ย่อมมีทุกสิ่ง สามารถนำเงินออกมากระตุ้นให้ราษฎรกำเนิดทายาทได้โดยมิต้องเกรงกลัวต่อสิ่งใด !

เมื่อมีการเพิ่มประชากรให้ 1 คนรับเงินสนับสนุนมูลค่า 100 ตำลึงไปทันที หากเป็นเช่นนี้จะให้กำเนิดได้มากเพียงใดกัน ?

ปัญหาเรื่องการขาดแคลนประชากรของราชวงศ์หยูจะถูกขจัดจนหมดสิ้น เมื่อมีจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น จำนวนแรงงานก็ย่อมมีมากขึ้น เช่นนี้แล้วย่อมเพิ่มพูนความร่ำรวยได้มากขึ้นอย่างแน่นอน หากดำรงเป็นวัฏจักรเช่นนี้สืบไป ยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หยูคงอยู่มิไกลเกินเอื้อม !

บัดนี้ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตรฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาแสนโปรดปราน ช่างเป็นลูกเขยชั้นยอดอย่างแท้จริง !

คุณงานความดีใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ ฟู่เสี่ยวกวนได้อุทิศให้แก่ฮองเฮาซั่งและยังได้ทุ่มเทระเบิดจำนวนมากมายอีกด้วย

อืม… รอให้ได้สมบัติมาเมื่อใดก็จะแบ่งให้เขาเป็นการส่วนตัวอีกสักหน่อยด้วย เจ้าหนุ่มคนนี้คลั่งไคล้ในสมบัติมิใช่หรือ ? ในเมื่อมิอาจพระราชทานตำแหน่งใดให้ได้อีก ก็พระราชทานสิ่งของล้ำค่าให้แทนก็แล้วกัน ?

“จงเงียบ…พวกเจ้าแต่ละคนเป็นขุนนางเก่าแก่ของราชสำนัก นี่ก็แค่ขุมทรัพย์ของราชวงศ์เฉินเองมิใช่หรือ ? พวกเจ้ามีท่าทีตื่นเต้นมากเพียงนี้ช่างเสื่อมเสียอย่างแท้จริง”

ฮ่องเต้รู้สึกปลื้มปีติจึงฉวยโอกาสนี้ตรัสเพิ่มเติม “เรื่องนี้ถือเป็นคุณงามความดีของฮองเฮาซั่งด้วยเช่นกัน แต่ทว่าในทุกวันนี้พวกชาวยุทธเหล่านั้นได้นำฐานะของฮองเฮาซั่งป่าวประกาศไปทั่ว จนข้ามีความกังวลว่าจะมีคนที่มิเข้าใจในเบื้องลึกเบื้องหลังแล้วนำเรื่องนี้มาก่อความโกลาหล จึงเป็นเหตุให้สายลับทั่วราชวงศ์ไปค้นหาตัวคนที่กระจายข่าวลือนี้ แล้วจับมันผู้นั้นมาให้ข้า”

“ข้าจำเป็นต้องหาต้นตอของข่าวลือ และนำต้นเหตุของความผิดนี้มาตัดศีรษะต่อหน้าสาธารณชน ! ”

เหล่าเสนาบดีพากันลุกขึ้นโค้งคำนับแล้วเปล่งวาจาขึ้นพร้อมกัน “ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถมากยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ ! ”

เพียงครู่เดียวก็สามารถล้างมลทินให้ฮองเฮาซั่งได้จนหมดสิ้น และยังรู้สึกสบายพระทัยมากขึ้น “วันนี้ถือเป็นวันมงคล สืบเนื่องจากการเปิดขุมทรัพย์เหล่านั้นจึงทำให้การประชุมสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ข้าจำต้องไปเยือนวัดฟูจื่อด้วยตนเองเพื่อมองสมบัติเหล่านั้นปรากฏขึ้นมา… เสนาบดีทุกท่าน ถ้าหากท่านใดประสงค์จะชมภาพนี้ก็จงตามข้าแล้วเดินทางออกไปพร้อมกัน”

ต้องไปดูให้เห็นกับตาอยู่แล้ว !

เหล่าเสนาบดีโห่ร้องด้วยความดีใจ ส่วนฝ่าบาททรงพระราชดำเนินลงจากบัลลังมังกรแล้วรับสั่งออกมาทันใดว่า “ติ้งอันป๋อนั่งราชรถมังกรไปกับข้า”

เหล่าเสนาบดีรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย ติ้งอันป๋อผู้นี้ช่างมีบุญล้นฟ้าอย่างแท้จริง !

แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับยิ้มเจื่อนออกมา หากต้องนั่งไปกับพ่อตาก็คงรู้สึกมิเป็นตัวของตัวเอง

ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ขบวนเสด็จขององค์ฮ่องเต้ก็ได้เตรียมการแล้วเสร็จ ฮั่วหวยจิ่นเตรียมทหารรักษาพระองค์คอยคุ้มภัยกว่าหนึ่งพันนาย เมื่อทางจวนผู้ว่าเมืองจินหลิงได้ทราบข่าวนี้ ก็ได้ส่งเหล่าสายลับจากทั่วทุกสารทิศไปจัดการถนนเส้นทางให้ง่ายต่อการเคลื่อนขบวน

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนขึ้นไปนั่งในราชรถมังกร เขาได้นั่งฝั่งตรงข้ามของฝ่าบาท

“คุณงามความดีในครานี้ข้าจะจดจำเอาไว้ หากเวิ่นหวินคลอดเมื่อใด ข้าจะมอบทองคำให้เจ้า 10,000 ตำลึง ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนเผยรอยยิ้มเห็นฟันเรียงสวย “ทูลฝ่าบาท เงินทองเหล่านั้น…ช่างมันเถิด กระหม่อมเห็นว่าเปลืองที่ทางเสียเปล่าพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ทรงถลึงดวงเนตรใส่ฟู่เสี่ยวกวน “เช่นนั้นข้าจะให้สมบัติล้ำค่าแก่เจ้าเป็นการตอบแทน ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนกระหยิ่มยิ้มย่องขึ้นมาทันที “เช่นนั้นก็ดียิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”

ทันใดนั้นฮ่องเต้ก็ได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เดิมทีข้าวางแผนให้ขันทีเจี่ยเป็นใหญ่ในสำนักมือปราบหกประตู แต่ทว่าเมื่อเช้าเขาได้มาบอกลาแล้วให้เหตุผลที่มิสามารถปฏิเสธได้ แล้วตำแหน่งนี้ควรแต่งตั้งผู้ใดจึงจะเหมาะสม ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “หากฝ่าบาททรงไร้ข้อกังขาก็ให้ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยมารับหน้าที่นี้เถิด กระหม่อมมีความเห็นว่าเหมาะสมมากยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”