เจ้ามิใช่สวามีข้าสักหน่อย
หากไม่ใช่เพราะกงอิ้นที่อยู่ด้านหลังคว้านางเอาไว้ได้ทันเวลา ตอนนี้นางก็คงจะอยู่ใต้หน้าผาแล้ว
“เหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ หา? เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้?” จิ่งเหิงปัวตกตะลึงเหลียวมองรอบด้าน เมื่อมองข้ามหัวไหล่ของกงอิ้นไปก็เห็นว่าหินก้อนใหญ่หลังพุ่มไม้ที่นางนอนหลับอยู่เมื่อครู่ห่างออกไปไกลเสียแล้ว
ละเมอเดินเหรอ? นางก็ป่วยเป็นโรคนี้ตั้งแต่ตอนไหนกัน
กงอิ้นมองไปด้านบนด้วยสายตาเย็นชาเล็กน้อย ตอนนี้จิ่งเหิงปัวจึงมองเห็นว่าบนต้นไม้มีแสงรุ่งโรจน์สีม่วงเข้มกะพริบวูบวาบเข้ามาอย่างเชื่องช้า แสงนั่นก็คือเฝยเฝยที่กำลังกะพริบตาอย่างน่ารักน่าชัง
“เจ้าหมายถึง…” นางกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันทีกล่าวว่า “เฟยเฟยหลอกล่อให้ข้ากระโดดหน้าผาหรือ?”
กงอิ้นไม่ได้เอ่ยวาจา แต่สีหน้าดูไม่ดีเท่าไร เขาไม่ได้เข้าใจเจ้าสัตว์ชนิดนี้มากนัก นึกไม่ถึงว่ามันไม่เพียงมอมเมาสัตว์ป่าได้ ซ้ำยังมอมเมาผู้คนได้อีกด้วย มันหลอกให้จิ่งเหิงปัวไปที่ริมหน้าผาทั้งเช่นนั้น หากไม่ใช่เพราะเขารู้สึกว่าผิดปกติจึงรีบเร่งตามมา ยามนี้อาจจะต้องไปควานหาซากศพซากกระดูกของจิ่งเหิงปัวที่ใต้หน้าผาแล้ว
แสงจันทราโผล่พ้นม่านเมฆา สาดส่องหน้าผาสีเขียวเข้มมืดครึ้ม ตอนนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งจะพบว่าวัตถุสีขาวใต้หน้าผานั้นคือโครงกระดูกของสัตว์หลากหลายชนิด
นางขนลุกชันไปทั่วทั้งร่าง เหงื่อเย็นเยียบซึมแทรกทั่วรูขุมขน ได้ยินเสียงที่เย็นเยือกกว่าดวงเดือนของกงอิ้นเอ่ยว่า “ที่นี่คงเป็นคลังเก็บสะสมอาหารของเฝยเฝย”
“มันกินเนื้อมนุษย์หรือ” เสียงของจิ่งเหิงปัวเปลี่ยนไป
“นั่นยังไม่แน่ชัด” กงอิ้นเอ่ยว่า “มันอาจจะหวังเพียงหลอกเจ้าลงไปเบื้องล่างให้ขาหักบาดเจ็บสาหัสกลายเป็นเหยื่อล่อ ล่อให้สัตว์ดุร้ายมุ่งหน้ามากินเจ้า มันจะได้ฉวยโอกาสลอบโจมตีสัตว์ดุร้าย อาหารโอชะหนึ่งมื้อย่อมกลายเป็นเนื้อแดดเดียวที่สะสมเอาไว้” เขาชะโงกหน้ามองไปยังเบื้องล่างแล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “เลือกสถานที่ได้ไม่เลว เบื้องล่างระบายลมได้ดียิ่ง”
จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองเศษกระดูกกระจัดกระจายเหล่านั้น มั่นใจว่ากงอิ้นคาดการณ์ได้ถูกต้องแน่นอน
จากนั้นนางก็โกรธแค้นเดือดดาลขึ้นมา
“อะ…อะ…ไอ้เจ้าบัดซบนี่!” นางกระโดดขึ้นไปบนหน้าผา ชี้นิ้วด่าเฝยเฝยบัดซบตัวนั้นเสียงดังว่า “ไอ้สัตว์เนรคุณ จิตใจเ**้ยมโหดเยี่ยงหมาป่า! พี่ช่วยแกไว้ ป้อนอาหารให้แกกิน อักทั้งโอบแกอุ้มแก แกยังกล้าหลอกให้พี่ไปตายอัก! ทำไมแกไม่ตายไปซะล่ะ! ทำไมแกไม่ตายไปซะ!”
ดวงตากลมโตของเฝยเฝยกะพริบอย่างเชื่องช้าอีกครั้ง จิ่งเหิงปัวรู้สึกได้ทันทีว่ามันมีความรู้สึกนึกคิด อีกทั้งความรู้สึกนึกคิดนี้แปลกประหลาดเอาการ
นางยังไม่ทันได้ครุ่นคิดอะไร ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง “ฟ่อ” แผ่วเบาเสียงหนึ่ง คล้ายดังอยู่เหนือศีรษะ เฝยเฝยบนต้นไม้ตัวนั้นเมื่อได้ยินเสียงนี้ ขนทั่วร่างก็สยายออกมาฉับพลัน หันกายเพียงครั้งกระโดดไปถึงข้างหลังต้นไม้ เงยหน้ากำมือคารวะมุ่งไปทางเหนือศีรษะสุดชีวิต คล้ายกำลังวิงวอนอะไรสักอย่าง
จิ่งเหิงปัวมองดูอย่างงงวยด้วยไม่เข้าใจว่าความเปลี่ยนแปลงนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร กงอิ้นพลันเอ่ยว่า “เฝยเฝยอีกหนึ่งตัว!”
เมื่อจิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้น ตอนนี้จึงพบว่าบนยอดต้นไม้ยังมีเฝยเฝยอีกตัวหนึ่ง รูปร่างใหญ่กว่าตัวเมื่อครู่นั้นมาก มันกำลังขมวดคิ้วตาขวางถลึงตาใส่ตัวเล็กตัวนั้นที่อยู่ข้างล่างด้วยความโกรธ
“เจ้าตัวนี้มีสองตัวเลย…” จิ่งเหิงปัวถอนหายใจด้วยความตกตะลึง กงอิ้นมีสีหน้าท่าทางประหลาดใจยิ่งนักเช่นกัน
ดูท่าว่าตอนนี้ ตัวข้างล่างที่ทำร้ายจิ่งเหิงปัวคล้ายกำลังหวาดกลัวตัวที่อยู่เหนือศีรษะนั้นมาก ซ้ำยังคล้ายถูกมันควบคุมไว้ ทั่วร่างสั่นสะท้านขอโทษขอโพยตลอดเวลา ตัวที่อยู่เหนือศีรษะนั้นคำรามเสียงทุ้มต่ำ สีหน้าท่าทางดุร้ายคล้ายกำลังต่อว่าต่อขาน
ผ่านไปชั่วครู่ เฝยเฝยเหนือศีรษะก็คล้ายสูญสิ้นความอดทน ร่างกายพรวดพราดกะพริบวูบเพียงครั้งดั่งสายฟ้าฟาด พุ่งไปข้างตัวของเฝยเฝยข้างล่าง ยกแขนได้ก็ตบไปฉาดหนึ่ง
ท่ามกลางเสียงอุทานตกใจของจิ่งเหิงปัว เฝยเฝยน้อยตัวนั้นร่วงเท้าชี้ฟ้าลงมาจากต้นไม้ครั้งหนึ่งแล้วล้มลงข้างเท้านาง ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่ลุกขึ้นมา
จิ่งเหิงปัวก้มหน้ามองดูสัตว์ตัวน้อยที่เมื่อครู่ยังกำเริบเสิบสานมาก แต่ตอนนี้กลับน่าสงสารเป็นอย่างยิ่งด้วยสีหน้าท่าทางลังเล
เฝยเฝยตัวใหญ่เหนือศีรษะตัวนั้นคล้ายหยิ่งยโสนัก มันไม่ได้ใส่ใจมนุษย์คนสองแม้แต่น้อย ปีนป่ายกิ่งไม้ลงมาดังซู่ๆ เปล่งเสียงทุ้มต่ำแปลกประหลาดระลอกหนึ่งออกมาใส่เฝยเฝยน้อย
เฝยเฝยน้อยตัวนั้นชะงักงัน จากนั้นค่อยๆ ดิ้นรนขึ้นมาแล้วปีนไปริมหน้าผาเชื่องช้า
จิ่งเหิงปัวมองเห็นนัยน์ตาแสนรู้สีม่วงเข้มของมันเหม่อลอยไม่รับรู้ไม่เคลื่อนไหว
แสงจันทร์แผ่วบางเย็นยะเยือก ไร้หนทางสาดส่องยอดเขาสีคล้ำเช่นเหล็กให้สว่างไสว ได้เพียงแต่งแต้มน้ำค้างขาวผืนหนึ่งบนพื้นดิน เฝยเฝยน้อยนั้นปีนออกมาจากเงามืดด้วยท่าทีเชื่องช้า ขนสีเงินเหลือบม่วงบนร่างกลายเป็นสีขาวหิมะผืนหนึ่งอีกครั้งโดยพลัน
มันไปยังหน้าผา
สายตาของเฝยเฝยตัวใหญ่ผุดเผยแสงอำมหิต
ในใจของจิ่งเหิงปัวเย็นยะเยือก รู้สึกเพียงว่าทั้งหวาดกลัวทั้งอึดอัดใจ นี่คงเป็นวิชามอมเมาของเฝยเฝย เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเฝยเฝยเมื่อครู่ที่ยังมอมเมานางไปกระโดดหน้าผา ในช่วงเวลาเค่อสุดท้ายกลับกลายว่าถูกเฝยเฝยอีกหนึ่งตัวมอมเมาให้ไปกระโดดหน้าผาเช่นกัน
นางขยับฝีเท้า
กงอิ้นเอ่ยอย่างเย็นชาอยู่ด้านหลังนางว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะช่วยสัตว์ป่าที่เป็นศัตรู?”
นางอยากหัวเราะทว่าหัวเราะไม่ออก
นางรู้ว่าที่เขาพูดมานั้นถูกต้อง นี่คือสัตว์ป่าไม่ใช่มนุษย์ ไม่มีคุณธรรมจริยธรรม และไม่แน่ว่ามันจะรู้จักซาบซึ้งบุญคุณ
เฝยเฝยน้อยตัวนั้นอาจจะอยากฆ่านางเองหรืออาจจะถูกเฝยเฝยตัวใหญ่บังคับให้ไปหาเหยื่อจึงอยากฆ่านาง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สัตว์ป่าพวกนี้เจ้าเล่ห์เ**้ยมโหดและเป็นสัตว์กินเนื้อ นี่อันตรายเกินไป
แม้ว่ากงอิ้นจะไม่เคยเอ่ยวาจาไพเราะกับนาง แต่เมื่อเอ่ยถึงมโนธรรมในใจเขายังไม่เคยทำร้ายนางเลย ตั้งแต่รู้จักกันจนถึงตอนนี้เขาช่วยชีวิตนางเอาไว้หลายครั้ง อย่างเมื่อครู่นี้เขาก็ยังยับยั้งฝีเท้าที่กำลังกระโดดหน้าผาของนางเอาไว้
เฝยเฝยปีนไปยังริมหน้าผา ชะตาชีวิตที่มันจัดสรรให้จิ่งเหิงปัวเมื่อเค่อก่อน ชั่วครู่ต่อมาก็สับเปลี่ยนหมุนเวียนเป็นตัวมันเอง
จิ่งเหิงปัวหลับตาลง หันหน้ากลับมา กงอิ้นจ้องนางเขม็ง สีหน้าท่าทางใต้แสงจันทร์ดูอ่อนโยนอยู่บ้าง
เฝยเฝยห่างจากริมหน้าผาไม่ถึงนิ้ว
จิ่งเหิงปัวถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่ง
เฝยเฝยพลันเปล่งเสียงโหยหวนโศรกเศร้ารันทดออกมา เสียงนั้นไม่คล้ายสัตว์ป่า ทว่าคล้ายมนุษย์และคล้ายคนกำลังโหยไห้ยามสิ้นหวัง ผืนป่ารอบกายเลือนรางโดดเดี่ยวสุดหนทาง ฟังแล้วสะท้านใจคน
เฝยเฝยตัวใหญ่ใต้ต้นไม้ยืนนิ่งอย่างหยิ่งผยอง แววตาดุร้ายเลวทราม
เสียงโหยไห้ของเฝยเฝยตัวน้อยยังไม่ทันสิ้น มันก็ก้าวเท้าก้าวสุดท้ายแล้วร่วงหล่นลงไป
ทันใดนั้นเอง มือข้างหนึ่งก็คล้ายโผล่ออกมาจากกลางอากาศคว้าเฝยเฝยเอาไว้เพียงครั้งในชั่วพริบตา
จากนั้นเสียงแหบแห้งเดซิเบลสูงของจิ่งเหิงปัวดังขึ้นว่า “กรี๊ดๆๆ ข้าพุ่งไปเร็วเกิน! ข้ายืนไม่อยู่แล้ว! ช่วยด้วย! คว้าข้าไว้เร็ว!”
เงาสีขาวกะพริบวูบ กงอิ้นปรากฎกายเบื้องหน้าหน้าผา ฉุดรั้งเรือนร่างสั่นไหวสะเปะสะปะของโฉมงามวีรสตรีที่ใจอ่อนยวบผู้ช่วยสัตว์ป่าเอาไว้
เขาคล้ายถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ทั้งคล้ายไม่ได้ถอนหายใจ ในแววตาไม่ได้มีความประหลาดใจยวดยิ่งแต่อย่างใด
รู้ว่านางจะเป็นเช่นนี้ตั้้งแต่แรกเริ่ม
เด็กสาวนางนี้ดูท่าทีคล้ายไม่ได้ใส่ใจ แต่แท้จริงแล้วยังคงใจอ่อน
เสียงหนึ่งดังฟ่อแหลม แสงสีเงินกะพริบวูบ เฝยเฝยตัวใหญ่พุ่งมาทางกงอิ้น ฟันสีขาวหิมะสว่างดุจมีดด้ามน้อยพุ่งไปยังท้ายทอยของกงอิ้นหวังทำร้าย
ฉึบ!
คล้ายดาวตกสายหนึ่งพ้นผ่าน ท่ามกลางความมืดมิด แสงสีขาวเงาโหดร้ายยังหลงเหลือแช่มช้าในใจกลางม่านตา เลือดสีแดงฉานพุ่งออกมาจากแผงอกของเฝยเฝยตัวใหญ่นั้น ซ้ำยังมีเส้นเรียวบางเส้นหนึ่งพุ่งเป็น ‘เลขหนึ่ง[1]’ ตรงดิ่งสายเดียวบนหน้าผา
เฝยเฝยตัวใหญ่ร้องออกมาอย่างน่าเวทนา ไม่สนใจว่าบาดเจ็บหนัก มันกลิ้งพลิกกลับมาเพียงครั้งโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แล้วกะพริบหายวับไป
หน้าผากว้างโล่งเงียบสงัด หากไม่ใช่สีเลือด ‘เลขหนึ่ง’ บนหน้าผานั้นกำลังค่อยๆ ทอดยาวซ้อนกลีบลาดเอียงหยดย้อยไหลมา ฉากหนึ่งเมื่อครู่ก็คล้ายว่าไม่เคยเกิดขึ้น
จิ่งเหิงปัวรู้สึกได้ทันทีว่าทั่วทั้งร่างของเฝยเฝยน้อยในฝ่ามือคล้ายผ่อนคลายขึ้นมา แม้แต่ขนยังสยายเรียบลื่นลงมา ขนสีขาวหิมะค่อยๆ กลายเป็นสีม่วงเจือจางอีกครั้ง
สีขนของเจ้าตัวนี้คล้ายมีความสัมพันธ์กับความรู้สึก เมื่อตึงเครียด เศร้าโศกหรือตื่นเต้น สีขนจะเปลี่ยนเป็นสีขาว
“พอแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้ว” จิ่งเหิงปัวฉวยมือโยนมันออกไป “ภายหลังระวังตัวให้ดีละกัน”
นางไม่อยากหยุดอยู่ที่เดิมอีกจึงเตรียมหาที่พักแห่งใหม่อีกครั้ง เดินได้ไม่ถึงสองก้าวก็รู้สึกว่าเท้าสะดุด เมื่อก้มหน้ามองก็เห็นเฝยเฝยน้อยกัดชายกระโปรงนางไว้ พลางลากตัวตามมาด้วยในแต่ละก้าว
“เป็นบ้าหรืออย่างไร” นางหิ้วเจ้าตัวนี้ขึ้นมาโยนออกไปพลางกล่าวว่า “ข้าไม่กล้าพาเจ้าไปด้วยอีกแน่ กลางดึกถูกพากระโดดหน้าผาน่าสนุกนักหรือ? ถึงกระแทกลงไปตัวเองไม่ตาย แต่ทับดอกไม้ใบหญ้าก็ไม่ดีนะที่รัก!”
กงอิ้นคล้ายยิ้มออกมา
จิ่งเหิงปัวรู้สึกเองว่าทำเรื่องนี้ได้ใสสะอาดงดงาม ก็เชิดหน้าเดินต่อไปยังเบื้องหน้า แต่เดินไปไม่ถึงสองก้าว ก็หยุดฝีเท้าก้มหน้าทันที
“กระโปรงพี่ไม่ใช่รถลากน้อยของแกนะ!” นางตะคอกอย่างโกรธเคือง
เฝยเฝยตัวน้อยนั้นดึงกระโปรงนางเอาไว้ แล้วนั่งเอาก้นทับชายกระโปรงลากยาวของนางเสียเลย ทั้งขยับทั้งเขยื้อนตามฝีเท้าของนาง เมื่อได้ยินเสียงนางคำราม เฝยเฝยก็เงยหน้าขึ้นมา นัยน์ตางดงามกลมโตสีม่วงเข้มค่อยๆ กะพริบแล้วกะพริบอีก…
อารมณ์อิ่มอกอิ่มใจสายหนึ่งแผ่ขยายในใจของจิ่งเหิงปัว ใจของนางอ่อนยวบทันที
“เอ่อ นี่…” นางพูดคุยกับแผ่นหลังของกงอิ้น
กงอิ้นไม่ได้หันหน้ามา
“จะว่าไปมันก็น่าสงสารออกนะ…”
กงอิ้นไม่ได้สนใจนาง
“มันต้องไม่ได้คิดอยากทำร้ายข้าเองแน่ๆ คงจะเป็นเพราะถูกเฝยเฝยตัวใหญ่บังคับให้ทำร้ายมนุษย์เป็นเหยื่อล่อ…”
กงอิ้นไม่ได้ตอบโต้
“ตัวใหญ่เมื่อครู่ก็ไม่รู้ว่าตายไปหรือยัง เราไปแล้วมันคงทั้งกลัวทั้งแย่แน่เลย…”
กงอิ้นฉวยมือเด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งมาเคี้ยวอย่างแช่มช้า
จิ่งเหิงปัวมองดูแผ่นหลังตั้งตรงงามสง่าของเขาแล้ว เพลิงโทสะก็ลุกโชนขึ้นมา
“ฉิบ! ประหลาดเสียจริง! ทำไมพี่ต้องทำเสียงอ่อนเสียงหวานให้นายเห็นใจด้วยนะ?” นางหิ้วเฝยเฝยขึ้นมาด้วยความโกรธเคือง วางไว้บนไหล่ตนเองพลางเอ่ยว่า “เจ้าไม่ใช่สวามีข้าสักหน่อย!”
นางวางเฝยเฝยไว้บนไหล่ แล้วเดินก้าวใหญ่ผ่านกงอิ้นไป ตอนที่เดินผ่านข้างกายกงอิ้นนั้น นางก็จงใจชนไหล่ของเขา
ตอนที่ไหล่เฉียดผ่านกันนั้น นางก็ได้ยินมหาเทพกงเอ่ยอย่างสบายๆ ว่า “นั่นสิ ผู้ใดจะไปรู้กับเจ้าเล่า”
“…”
จิ่งเหิงปัวร่างกายแข็งทื่อไปหนึ่งวินาที คล้ายว่าถูกสายฟ้าสายหนึ่งฟาดผ่านดวงใจกะทันหัน
นั่นสิ ใครจะไปรู้กับฉันล่ะ
เป็นเรื่องที่ตนเองสามารถตัดสินใจได้เองแท้ๆ แต่ทำไมถึงต้องให้เขาเห็นชอบก่อนล่ะ? ทำไมในน้ำเสียงของตนเองถึงเจือด้วยความปรารถนาจะสอบถาม ร้องขอ ประจบและได้รับอนุญาตอย่างอดไม่ได้…เหมือนกับ…เหมือนกับว่าภรรยาคนหนึ่งที่ทำความผิด แล้วคาดหวังอย่างขี้ขลาดตาขาวนิดหน่อยว่าจะได้รับความเห็นชอบของสามี…
ถุย! ถุยๆๆ! ไม่ใช่สักหน่อย!
เขาเป็นอะไรกับนางเหรอ?
จิ่งเหิงปัวคงถูกมอมเมาแล้วกระมัง คงถูกประโยคชั่วร้ายประโยคเดียวมอมเมาเข้าแล้ว!
เพราะว่านางกลัวเขาจะลงมือทำร้ายเฝยเฝย ถึงต้องร้องขอให้เขาเห็นด้วยแน่ๆ!
เป็นแบบนี้แน่ๆ!
“ฮะๆๆ” นางไม่สนใจกงอิ้น อุ้มเฝยเฝยไว้กล่าวเสียงออดอ้อนว่า “เฟยเฟย เฟยเฟย จากนี้เรียกเจ้าว่าเฟยเฟยละกัน ข้าช่วยเจ้าไว้สองครั้งแล้วนะ ต่อไปเจ้าต้องจงรักภักดีกับข้านะ…”
กงอิ้นชำเลืองมองท่าทางเสแสร้งที่ไร้ค่าให้มองของนางปราดเดียว ก็คร้านจะสืบสาวราวเรื่องกับนาง
เขาคงไม่มีทางบอกนางเป็นแน่ว่า เฝยเฝยที่มีนามว่าเฟยเฟยเช่นตัวเมียตัวนี้เป็นตัวผู้
ดวงตางามกลมโตสีม่วงเข้มของเฟยเฟยกะพริบไปมาเชื่องช้าคล้ายจะเป็นลมอยู่บ้าง อับอายจนมันอดจะสั่นสะท้านไปทั่วร่างไม่ได้ จิ่งเหิงปัวยังนึกว่ามันชอบชื่อที่อ่อนโยนเฉลียวฉลาดแอ๊บแบ๊ว ท่าทางอ่อนหวานน่ารักน่าชังน่าเอ็นดูชื่อนี้เข้าแล้ว ยิ่งอุ้มมันไว้พลางเรียกไม่ยอมหยุด พอเรียกครั้งหนึ่งมันก็สั่นครั้งหนึ่ง เรียกอีกครั้งหนึ่งมันก็สั่นอีกครั้งหนึ่ง
กงอิ้นรู้สึกว่าเขาไม่ต้องเพิ่มโทษทัณฑ์ใหม่ใดๆ ให้เฝยเฝยตัวนี้แล้ว แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
วันเวลาที่เดินทางในป่ารกชัฏแลดูผ่อนคลายมากยิ่งขึ้นเพราะว่ามีเฟยเฟยนำทาง มันรู้ว่าตรงไหนมีสัตว์ดุร้าย รู้ว่าตรงไหนมีผลไม้ป่ารสอร่อยและน้ำพุภูเขา รู้ว่าเส้นทางไหนเดินทางสะดวกกว่าและเส้นทางไหนไม่เหมาะกับการสัญจร ที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นคือสถานที่ที่มันเดินผ่านนั้นงูและแมลงหลีกลี้ ตั้งแต่นั้นมาจิ่งเหิงปัวหลุดพ้นจากฝันร้ายที่ถูกยุงภูเขาขนาดมหึมาไล่ฆ่า ตุ่มบนร่างกายที่ถูกยุงกัดค่อยๆ หายไป เรื่องนี้พาให้นางจิตใจเบิกบานมีความสุข กิริยาท่าทางเดิมทีที่ลังเลอยู่บ้างตอนจะรับเลี้ยงเฟยเฟย ตอนนี้รู้สึกว่าห่างจากเจ้าตัวนี้ไม่ได้เสียแล้ว
ในภูเขาไม่รู้วันรู้เดือนรู้เพียงว่าแสงอาทิตย์ไม่หยุดขึ้นจากขอบฟ้า เทือกเขาโค้งเว้าค่อยๆ ทอดยาวขึ้นมา ต้นไม้ใบไม้ใบหญ้าแปรเปลี่ยนเรียวยาว ค่อยๆ ปรากฏลำธารมากมายหลายสาขา แม้ว่าไม่ได้พบเจอองครักษ์ที่มุ่งหน้ามาตามหาเลย แต่จิ่งเหิงปัวก็มองจากสีหน้าท่าทางค่อยสบายใจขึ้นในแต่ละวันบนใบหน้าของกงอิ้นรู้ว่าใกล้จะเดินทางออกมาได้แล้ว