ตอนที่ 145-1 เฉลิมฉลองให้กับการเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่

ลำนำสตรียอดเซียน

ณ ช่วงเวลานี้ ในที่สุดเรื่องราวดอกท้อเน่าก็จบลง ในภายหลังโม่เทียนเกอได้ยินว่าประมุขเต๋าเจิ้นหยางเรียกศิษย์น้องไป๋กลับไปด้วยความโมโหและกักบริเวณเขา จากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ดูเหมือนจะหายไปจากสายตาของนาง แม้กระทั่งตอนที่นางไปที่ยอดเขาอาทิตย์รุ่งอรุณเพื่อจัดการเรื่องบางอย่าง นางก็ไม่เห็นศิษย์น้องไป๋อีกเลย วันของนางกลับมาสุขสงบอีกครั้ง

 

 

เมื่อเวลาผ่านไป นางค่อยๆ คุ้นชินกับที่โรงเรียนและเป็นที่เคารพจากศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณ ประมุขเต๋าจิ้งเหอในที่สุดก็ตกลงว่านางไม่จำเป็นต้องไปที่โถงเหมิงเสวียทุกวันอีกต่อไป มันเพียงพอสำหรับนางแล้วที่จะไปแค่ครั้งคราวตามที่โถงคนงานจัดการให้

 

 

นอกเหนือไปจากนั้น ภารกิจทั้งหมดที่ตำหนักซ่างชิงถูกส่งกลับคืนไปให้พวกสาวใช้ แต่โม่เทียนเกอต้องคอยควบคุมดูแลพวกนาง ถ้าเกิดสิ่งผิดพลาดนางจะต้องเป็นคนที่รับผิดชอบ

 

 

ด้วยวันเวลาที่ผ่านไปเช่นนี้ โม่เทียนเกอพบว่าสถานะของนางที่โรงเรียนเสวียนชิงนั้นเติบโตขึ้นโดยไม่รู้ตัว โดยไม่จำเป็นต้องบอก ศิษย์ระดับต่ำเรียกนางว่าท่านปรมาจารย์ แต่ในตอนนี้แม้กระทั่งผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังก็ยังเรียกนางว่าท่านอาจารย์ลุงด้วยความจริงใจ

 

 

ดังนั้นนางฝังคำที่นางได้ยินจากไป๋เยี่ยนเฟยที่พบเมื่อครั้งล่าสุดทิ้งไปทั้งหมด

 

 

ไม่ว่าจะด้วยเจตนาอันใดที่มีต่อนางตั้งแต่ต้น นางมองเห็นได้อย่างชัดเจนในตอนนี้แล้วว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอปฏิบัติต่อนางดีแค่ไหน ถ้าเขารับนางเข้ามาในฐานะ… มนุษย์ร่างเตาหลอมพร้อมใช้งาน แล้วทำไมเขาจะต้องพยายามเพื่อนางมากมายขนาดนั้น เพราะฉะนั้นตราบใดที่เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ นางก็จะยังคงแสร้งทำเหมือนกับว่านางไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน

 

 

แต่ละปีผ่านไป เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ถึงแม้ว่านางจะมีโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน แต่ระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกอก็ไม่ได้พัฒนาเร็วเกินไป ในตอนแรก นางจงใจชะลอการฝึกตนเพื่อคงความแข็งแกร่งของฐานแห่งพลังของนางและเพื่อหลีกเลี่ยงสภาวะจิตใจที่ไม่มั่นคงซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการก่อแก่นขุมพลังของนางในอนาคตได้ อย่างที่สอง ถึงแม้ว่าจะมีพืชวิญญาณมากมายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน พืชทั้งหมดส่วนมากนั้นอยู่ในระดับคุณภาพที่ดี นางเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังในตอนนี้ ดังนั้นนางยังไม่สามารถใช้พวกมันได้มากนัก

 

 

สามปีผ่านไป โม่เทียนเกออายุสามสิบสองแล้วในตอนนี้ อย่างไรก็ตามนางยังคงดูเหมือนกับช่วงวัยสิบแปด สิบเก้าอยู่ มันมีหลายสาเหตุเกี่ยวกับเรื่องนี้ สาเหตุแรก ศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ของนาง ตอนนี้มันควรจะถูกเรียกว่าศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิด ส่งผลในการคงไว้ซึ่งรูปร่างหน้าตาที่อ่อนเยาว์ สาเหตุที่สอง นางได้ทานยาคงรูปก่อนหน้านี้ นอกไปจากว่านางได้พบกับปัจจัยบางอย่าง รูปลักษณ์ของนางจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปตลอดช่วงชีวิตนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีทั้งสองสาเหตุ นางเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง เมื่อเทียบกับช่วงอายุขัยของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่คาดว่าจะอยู่ได้สามร้อยถึงสี่ร้อยปีนั้น นางถือว่ายังอ่อนเยาว์มาก

 

 

ในทางกลับกัน เยี่ยเจินจีโตขึ้น ตอนนี้เขาเป็นวัยรุ่นอายุสิบห้าปีแล้ว เขาสูงขึ้นและใบหน้าของเขาเริ่มดูโตมากขึ้น แม้กระทั่งเสียงของเขาก็เริ่มแหบต่ำเช่นกัน โม่เทียนเกอไม่ใช่คนที่สูงมาตั้งแต่แรก ดังนั้นเยี่ยเจินจีจึงสูงเทียบเท่ากันกับนางแล้ว คาดว่าอีกไม่นานนางต้องเงยหน้ามองเขาอย่างแน่นอน

 

 

อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นว่าเยี่ยเจินจีปฏิบัติต่อนางอย่างไร เขายังคงพึ่งพานาง ชื่นชมและยังคงมองนางเป็นผู้อาวุโสที่เคารพเช่นเดิม ในขณะที่เขาไม่สามารถจำอาจารย์ในนามของเขาได้แม้แต่น้อย

 

 

การฝึกตนของเยี่ยเจินจีพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว โม่เทียนเกอใจดีที่จะมอบยาวิเศษที่เหมาะกับระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณและสมบัติต่างๆ แก่เขา ระดับการฝึกตนของเขาอยู่ในระดับเจ็ดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ดังนั้นเขาสามารถไล่ทันหวาหลิงได้แล้ว ด้วยการโน้มน้าวของโม่เทียนเกอ เด็กคนนี้ขยันขันแข็งในการฝึกตนอย่างมาก และเขามีทั้งต้นทุนธรรมชาติและมุมมองความคิดที่ดี หากมีเวลาเพิ่มเขาจะต้องบรรลุผลสำเร็จอย่างมากแน่นอน

 

 

คนจากตระกูลเยี่ยยังคงติดต่อกับเขาอยู่เสมอ บ่อยครั้งที่พวกเขามักจะส่งของต่างๆ มาให้ พวกเขาไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับการมีอยู่ของโม่เทียนเกอ พวกเขารู้เพียงแค่ว่าเยี่ยเจินจีได้รับการยอมรับเป็นศิษย์จากผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง พวกเขาดีใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากดังนั้นพวกเขาจึงส่งของมามากมายเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการตอบแทน ของเหล่านี้ได้ส่งมอบให้อาจารย์เต๋าโส่วจิ้งอย่างพอเป็นพิธี แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันก็ตกเป็นของโม่เทียนเกอในท้ายสุด เมื่อเห็นเครื่องบรรณาการตอบแทนซึ่งเป็นของที่ประเมินค่าไม่ได้ในโลกมนุษย์เหล่านั้น โม่เทียนเกอก็มั่นใจขึ้นมาเพราะนางรู้ว่าตระกูลเยี่ยนั้นจัดการได้ดีมากในโลกมนุษย์

 

 

ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้มีความชอบใดต่อตระกูลเยี่ย แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นตระกูลของนาง ควบคู่ไปกับความจริงที่ท่านอาที่สองมอบความรับผิดชอบนั้นไว้กับนาง มันก็เป็นเรื่องปกติที่นางจะทำให้ดีที่สุดเพื่อพวกเขาภายใต้อำนาจของนาง

 

 

หลังจากผ่านไปสามปี เหตุการณ์น่ายินดีอย่างยิ่งก็เกิดขึ้นที่โรงเรียนเสวียนชิงอีกครั้ง ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ เขาได้เป็นประมุขเต๋าเสวียนอินแล้วในตอนนี้!

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอรับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ นางส่งข้อความแสดงความยินดีและเปลี่ยนการเรียกเขาให้ถูกต้องในตอนที่ส่งไปให้เขา ต่อไปนี้นางจะต้องเรียกเขาท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินอีกครั้ง หลัวเฟิงเสวี่ยและคนอื่นก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของระดับชั้นเดียวกันกับนาง

 

 

ในการที่ผู้หนึ่งได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ การจัดลำดับผู้อาวุโสของพวกเขาจะเลื่อนขั้นขึ้น และพวกเขาจะกลายเป็นผู้ฝึกตนที่อาวุโสที่สุด ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขากับท่านอาจารย์จะยังคงอยู่ แต่พวกเขาก็จะตั้งอีกหนึ่งฝ่ายแยกเดี่ยวออกมา แทนที่จะเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายท่านอาจารย์ของพวกเขาอย่างเช่นที่ผ่านมา

 

 

โรงเรียนเสวียนชิงมีทั้งหมดหกยอดเขารวมกัน มีห้าผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ถือครองอยู่ในแต่ละยอด ในตอนนี้เมื่อประมุขเต๋าเสวียนอินได้เลื่อนขึ้นมาในตำแหน่งผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนที่หก ยอดเขาที่ยังคงว่างอยู่จึงถูกแบ่งให้เขา ตั้งแต่นี้ไป ประมุขเต๋าเสวียนอินและศิษย์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขาจะถูกย้ายไปที่ยอดเขาหยาดน้ำค้างหวาน

 

 

จากการเข้าสู่ระดับดินแดนขั้นต่อไปของประมุขเต๋าเสวียนอิน ประมุขเต๋าจิ้งเหอตั้งใจที่จะเรียกโม่เทียนเกอและสั่งสอนนาง

 

 

ต้นทุนของประมุขเต๋าเสวียนอินนั้นเยี่ยมยอด เขาเป็นศิษย์เพียงไม่กี่คนที่มีรากวิญญาณเดี่ยวซึ่งโรงเรียนเสวียนชิงจะพบเจอแค่ครั้งหนึ่งในรอบหลายร้อยปี อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยที่จะกระหายถึงตำแหน่งอัจฉริยะต่างๆ และมุ่งมั่นแต่เพียงแค่การฝึกตนอย่างเหมาะสมเท่านั้น วางรากฐานอย่างมั่นคงทีละขั้นตอน ในตอนนี้เขาอายุมากกว่าสี่ร้อยปีแล้ว และเป็นเพียงแค่ตอนนี้หลังจากที่เขาสร้างฐานได้มั่นคงจนสามารถสร้างจิตวิญญาณใหม่ได้ ดังนั้นเขาจึงสามารถประสบความสำเร็จในความพยายามครั้งแรกนี้

 

 

เรื่องนี้เป็นจังหวะที่เหมาะสมที่สุดในการสอนโม่เทียนเกอ ขณะที่ถือครองศาสตร์แห่งต้นกำเนิด โม่เทียนเกอสามารถพาตัวเองออกจากการเป็นคนที่มีรากวิญญาณที่แย่และสามารถนับได้ว่าเป็นคนอัจฉริยะด้วยต้นทุนของนาง ประมุขเต๋าจิ้งเหอรู้ว่าการฝึกตนของนางนั้นคืบหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเขาจึงย้ำเตือนกับนาง ไม่ว่าต้นทุนของนางจะดีเพียงใด ด้วยฐานที่มั่นคงเท่านั้นที่จะช่วยให้นางสามารถได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าด้วยความพยายามเพียงแค่เล็กน้อย

 

 

โม่เทียนเกอเข้าใจได้เป็นอย่างดีเพราะนางเองก็ระมัดระวังถึงปัญหานี้ การเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังในอายุยี่สิบสามนั้นถือว่าเร็วมากแล้ว แต่นางก็ก้าวจากขั้นต้นสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้ในทันที หากนางนำพืชวิญญาณในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนออกมาขาย นางก็จะสามารถจัดหายารวมวิญญาณไว้ให้กับตัวเองได้มากพอ ผลที่ได้คือนางก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้ภายในสิบถึงยี่สิบปีอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ระดับการฝึกตนที่ข้ามผ่านได้สำเร็จโดยการทานยาวิเศษจำนวนมากนั้นไม่ปลอดภัยไปด้วยอันตรายที่มองไม่เห็น สภาพจิตใจของนางจะไม่สามารถไล่ตามระดับการฝึกตนของตัวเองทันได้ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหาระหว่างที่นางกำลังจะข้ามผ่านดินแดน

 

 

ประมุขเต๋าจิ้งเหอรู้สึกพึงพอใจที่นางเข้าใจในความหมายนั้น แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็บ่นพึมพำอย่างเบาๆ “มันจะดีแค่ไหนกันถ้าไอ้เจ้าตัวเหม็นเหลือขอนั้นเข้าใจบ้างเช่นกัน…”

 

 

เรื่องการเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ของประมุขเต๋าเสวียนอินนั้นไม่เพียงแต่เป็นแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่ให้กับโรงเรียนเสวียนชิงเท่านั้น แต่ยังคงส่งผลกระทบต่อโครงสร้างลำดับกลุ่มผู้ฝึกตนใหญ่ในขั้วแห่งท้องฟ้าและความสับสนวุ่นวายในทุกกลุ่ม