คิดจะไปนำโชคชะตาบุ๋นส่วนหนึ่งมาจากศาลบุ๋นในเมืองหลวงต้าสุย นี่เกี่ยวพันกับรากฐานการฝึกตนบนมหามรรคาของเฉินผิงอัน แต่เหมาเสี่ยวตงกลับไม่ได้รีบร้อนพาเฉินผิงอันตรงดิ่งไปที่ศาลบุ๋น เขาพาเฉินผิงอันเดินไปอย่างเชื่องช้าพลางพูดคุยกันไปตลอดทาง
เหมาเสี่ยวตงถามเฉินผิงอันถึงเรื่องราวน่าสนใจที่เขาพบเจอระหว่างการเดินทาง เฉินผิงอันออกเดินทางไกลอยู่สองครั้ง แต่ส่วนใหญ่ล้วนเดินทางอยู่ในภูเขาสูงป่าลึก ริมน้ำริมทะเลสาบ ขึ้นเขาลงห้วย ศาลบุ๋นที่พบเจอมาไม่ถือว่ามากนัก เฉินผิงอันจึงถือโอกาสพูดถึงเพื่อนรักที่มองดูเหมือนเป็นคนหยาบกระด้าง แต่แท้จริงแล้วกลับมีความสามารถไม่ธรรมดาอย่างจอมยุทธเคราดก สวีหย่วนเสีย
ชายฉกรรจ์ที่ปีนั้นออกจากกองทัพ นอกจากจะบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับภูเขาและแม่น้ำของสถานที่ต่างๆ แล้ว ยังใช้พู่กันวาดสิ่งปลูกสร้างไม้เก่าแก่โบราณของแต่ละแคว้นเอาไว้ เหมาเสี่ยวตงจึงบอกว่าจอมยุทธแซ่สวีผู้นี้สามารถมาเป็นอาจารย์ที่ได้รับการแขวนชื่อในสำนักศึกษาได้ ให้เขามาบรรยายให้เหล่าลูกศิษย์ของสำนักศึกษาฟังถึงความงดงามและยิ่งใหญ่ของภูเขาแม่น้ำ ความน่าสนใจของผู้คนและขนบธรรมเนียมประเพณี ทางสำนักศึกษายังสามารถสร้างเรือนให้เขาหนึ่งหลังเพื่อเอาไว้แขวนภาพวาดฝีมือของเขาโดยเฉพาะด้วย
เฉินผิงอันจึงตอบรับเหมาเสี่ยวตง บอกว่าจะส่งจดหมายไปให้สวีหย่วนเสียที่เดินทางกลับบ้านเกิดแล้ว เชื้อเชิญให้เขาเดินทางไกลมาเยือนสำนักศึกษาซานหยาของต้าสุยดูสักเที่ยว
ศาลบุ๋นในเมืองหลวงที่ขนาดใหญ่สุดและมีระบบพิธีการสูงสุดของต้าสุยแห่งนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ดังนั้นคนทั้งสองที่เดินทางออกมาจากภูเขาตงหัวจึงต้องเดินผ่านพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของเมืองหลวง ระหว่างนั้นเหมาเสี่ยวตงยังเลี้ยงข้าวกลางวันเฉินผิงอันมื้อหนึ่ง เป็นร้านข้าวเล็กๆ ที่หลบอยู่ในมุมลึกของตรอกเก่าโทรม ทว่ากิจการกลับไม่ซบเซา สุราหอมไม่กลัวตรอกลึก เหล้าที่หมักจากข้าวซึ่งทางร้านหมักเองมีรสชาติดีเยี่ยมเป็นเอกลักษณ์
เหมาเสี่ยวตงเล่าว่าทุกครั้งที่หมักเหล้า นอกจากเจ้าของร้านจะต้องคัดเลือกข้าวเหนียวด้วยตัวเองแล้ว ยังต้องพาบุตรชายออกไปจากเมือง ไปตักน้ำที่บ่อน้ำพุซงเฟิงซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปหกสิบลี้ พ่อลูกสองคนผลัดกันหาบน้ำไว้บนไหล่ ออกแต่เช้าตรู่กลับมาถึงเย็นย่ำถึงจะหมักเหล้าข้าวที่คนชอบดื่มของเมืองหลวงพอได้ดื่มแล้วไม่อยากจะหยุดชนิดนี้ออกมาได้
ตอนที่ออกจากร้าน เฉินผิงอันซื้อเหล้าข้าวมาไหใหญ่ พอไปถึงตรอกที่ไร้ผู้คนก็เทมันใส่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่เหล้าด้านในเหลือติดก้นแล้ว จากนั้นค่อยเก็บไหเปล่าใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ
ด้านในวัตถุจื่อชื่อ ‘เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์’
อาภรณ์ ตำรา ของตกแต่งบนโต๊ะหนังสือ หม้อ ถ้วย กระบวยตักน้ำ มีดผ่าฟืน เข็มและด้าย สมุนไพร หินติดไฟ ของกระจุกกระจิกยิบย่อยเต็มไปหมด
เห็นว่าเฉินผิงอันเก็บไหเหล้าว่างเปล่าที่มีราคาแค่ไม่กี่อีแปะเอาไว้ เหมาเสี่ยวตงก็เอ่ยเตือนว่า “สะสมน้อยไปมาก รวบรวมเม็ดทรายเป็นเจดีย์คือเรื่องดี เพียงแต่อย่าได้ดึงดันเกินไป เป่าขนหาข้อด้อย*(เปรียบเปรยว่าคอยจับผิดในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือตรงกับสำนวนไทยว่าฟื้นฝอยหาตะเข็บ)* ไปเสียทุกเรื่อง หากไม่ทำให้จิตใจยากที่จะใสกระจ่างแจ่มชัด ก็ต้องเหนื่อยทั้งกายและใจ แม้ว่าเส้นเอ็นและกระดูกจะแข็งแกร่ง แต่จิตใจกลับเหนื่อยล้าอ่อนเพลียเร็วกว่าเวลาอันสมควร”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จดจำไว้แล้ว”
เหมาเสี่ยวตงลูบหนวดยิ้ม
ในความเป็นจริงแล้วคนที่เป่าขนหาข้อด้อยคือศิษย์พี่เหมาอย่างเขาต่างหาก แต่หากไม่ทำแบบนี้ ไม่วางมาดเล็กๆ ต่อหน้าเฉินผิงอันเสียบ้าง จะแสดงให้เห็นถึงศักดิ์ศรีของศิษย์พี่ได้อย่างไร? อาจารย์ของตนไม่คิดถึง ไม่เคยพูดถึงตนแม้สักครึ่งคำ เขาเหมาเสี่ยวตงก็ควรต้องหาสิ่งชดเชยกลับมาจากตัวของลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์บ้างไม่ใช่หรือ
จากนั้นก็เดินกันไปอีกเกือบครึ่งชั่วยามจึงมาถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับในใจชาวบ้านทุกคนของต้าสุย ศาลบุ๋นแห่งเมืองหลวง
ศาลบุ๋นกระจายอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ของใต้หล้าไพศาลดุจดวงดาวดารดาษ ประหนึ่งโคมไฟชะตาบุ๋นหลายดวงที่วางอยู่บนพื้นดิน ส่องแสงให้โลกมนุษย์สว่างไสว
เว้นเสียจากเป็นสถานที่ที่ทุรกันดารห่างไกลเกินไป หาไม่แล้วต่อให้เป็นอำเภอที่เล็กที่สุดก็ยังต้องสร้างศาลบุ๋นขึ้นมา เจ้าเมืองหรือนายอำเภอทุกคนที่มารับตำแหน่งใหม่จะต้องไปจุดธูปกราบไหว้หลี่เซิ่งที่ศาลบุ๋น จากนั้นค่อยไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งบูชาอยู่ในศาลบู๊
ดังนั้นต่อให้เมืองเล็กในถ้ำสวรรค์หลีจูที่เฉินผิงอันเกิดและเติบโตมาจะตัดขาดกับโลกภายนอกแค่ไหน ทว่าพอถ้ำสวรรค์ปริแตกและร่วงลงมาบนพื้น หยั่งรากเชื่อมโยงกับผืนแผ่นดินในอาณาเขตของต้าหลี เรื่องใหญ่เรื่องแรกที่ราชสำนักต้าหลีต้องทำก็คือสั่งให้อู๋ยวนนายอำเภอคนแรกลงมือเฟ้นหาที่ดินในการก่อสร้างศาลบุ๋นบู๊สองแห่งทันที
เหมาเสี่ยวตงยืนอยู่นอกศาลบุ๋น เฉินผิงอันยืนเคียงไหล่อยู่กับผู้เฒ่า
เหมาเสี่ยวตงถามว่า “ก่อนหน้านี้ดื่มเหล้าข้าวมา ตอนนี้เห็นศาลบุ๋นแล้ว มีความรู้สึกอะไรหรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบ “ใช้ข้าวเหนียวชั้นดีมาหมักเหล้า คนที่ซื้อเหล้ามีมาไม่ขาดสาย เห็นได้ชัดว่าชาวบ้านในเมืองหลวงไม่เพียงแต่ไม่มีความกังวลเรื่องการกินอยู่ ยังค่อนข้างจะมีเงินเหลืออีกด้วย ส่วนศาลบุ๋นแห่งนี้ ข้ายังมองอะไรไม่ออก”
เฉินผิงอันตอบถูกครึ่งหนึ่ง เหมาเสี่ยวตงผงกศีรษะรับเบาๆ เพียงแต่ว่าครั้งนี้เหมาเสี่ยวตงไม่ได้แสร้งทำเป็นเล่นแง่อวดภูมิกับเฉินผิงอัน เขาพูดชี้แนะเฉินผิงอันว่า “ทางฝั่งนั้นยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ นี่หมายความว่าเจ้าพวกคนที่อยู่ในก้อนดินของศาลบุ๋นต้าสุยเหล่านั้นไม่เห็นดีในโชคชะตาบุ๋นของเจ้าเฉินผิงอัน”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เหมาเสี่ยวตงก็เพิ่มน้ำเสียงเย้ยหยันเข้าไปเล็กน้อย “คงเป็นเพราะถูกควันธูปรมมาหลายร้อยปี สายตาก็เลยไม่ดี”
เหมาเสี่ยวตงพูดต่อว่า “ปัญญาชนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนศาลบุ๋นด้วยความความจริงใจ หากเป็นคนที่มีชะตาบุ๋นรุ่งโรจน์ติดตัว องค์เทพในศาลบุ๋นก็จะเกิดจิตตอบรับ แล้วก็จะแบ่งชะตาบุ๋นที่เพิ่มพูนขึ้นมาจากความสามารถด้านวรรณกรรมให้เล็กๆ น้อยๆ คำกล่าวที่ว่าจรดพู่กันดุจบุปผาผลิบาน บทความสวรรค์สร้าง ตวัดพู่กันดุจมีเทพและผีคอยช่วยเหลือ ก็คือหลักการนี้ แต่สิ่งที่ทวยเทพในศาลบุ๋นสามารถทำได้ก็มีแค่ปักบุปผาลงบนผ้าแพรเท่านั้น สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังต้องดูว่าตัวบัณฑิตเองมีความรู้ลึกล้ำหรือไม่”
“ผู้ที่ยินดีทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ควันธูปที่เปลี่ยนจากขุนนางบุ๋นมาเป็นเทพ ปรมาจารย์มหาปราชญ์และเจ็ดสิบสองนักปราชญ์ที่ตั้งบูชาไว้ในศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงของแต่ละแคว้นก็เป็นแค่เทวรูปดินเผาเท่านั้น แน่นอนว่าไม่มีเรื่องใดตายตัว แล้วก็มีข้อยกเว้นอยู่น้อยครั้ง ศาลบุ๋นในเมืองหลวงของเก้าราชวงศ์ใหญ่ในใต้หล้าไพศาล ส่วนใหญ่มักจะมีอริยะใหญ่ท่านหนึ่งนั่งบัญชาการณ์อยู่ด้านใน”
ได้ฟังมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ตอนนี้ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปต่างก็ลือกันว่าต้าหลีกลายเป็นราชวงศ์ใหญ่แห่งที่สิบแล้ว”
เหมาเสี่ยวตงคลี่ยิ้ม “รอให้ห้าขุนเขาแห่งใหม่ของต้าหลีปรากฏครบก่อนแล้วค่อยมาคุยกันเรื่องนี้ เวลานี้เพิ่งจะมีขุนเขาเหนือภูเขาพีอวิ๋นแห่งเดียวที่พอจะถือว่าถูกทำนองคลองธรรม เวลานี้ยังเร็วเกินไปนัก”
เหมาเสี่ยวตงเดินตรงไปด้านหน้า “ไปกันเถอะ พวกเราไปพบเหล่าอิรยะแห่งศาลบุ๋นซึ่งเป็นศักดิ์ศรีของแคว้นต้าสุยกัน”
เฉินผิงอันเดินตามไปด้านหลัง
ศาลบุ๋นมีอาณาบริเวณกว้างขวางมาก ปัญญาชนและชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้มีจำนวนมาก แต่กลับไม่ดูแออัด
ทว่าพอเฉินผิงอันติดตามเหมาเสี่ยวตงไปถึงตำหนักหลักของศาลบุ๋นก็พบว่ารอบด้านไร้ผู้คนแล้ว
ดูท่าคนเฝ้าศาลคงได้รับคำสั่งมาก่อน จึงไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวหรือคนที่มาทำบุญขยับเข้ามาใกล้ตำหนักใหญ่ที่ด้านหน้าตั้งพื้นที่บูชาฟ้าดิน ด้านหลังตั้งบูชาอริยะของแคว้นแห่งนี้
ลานกว้างของเรือนใหญ่มีต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า บรรยากาศเงียบสงบ
ชายวัยชราลัทธิขงจื๊อที่สวมเสื้อแขนกว้างและกวานสูง ตรงเอวพกกระบี่ยาว เผยกายด้วยร่างสีทอง เดินออกมาจากเทวรูปดินเผาในส่วนหลังของตำหนัก ก้าวข้ามธรณีประตูเดินมายังลานกว้าง
เหมาเสี่ยวตงและขุนนางบุ๋นที่ขึ้นชื่อด้านความซื่อสัตย์ภักดีในตำราประวัติศาสตร์ของต้าสุยต่างก็ประสานมือคารวะซึ่งกันและกัน
ก่อนจะเดินเข้ามาในเรือนแห่งนี้ เหมาเสี่ยวตงได้เล่าเรื่องประวัติความเป็นมา สายบุ๋น รวมไปถึงคุณความชอบในแต่ละยุคแต่ละสมัยของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงที่จนทุกถึงวันนี้ก็ยัง ‘มีชีวิตอยู่’ ให้เฉินผิงอันฟังแล้ว
องค์เทพแห่งศาลบุ๋นที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้มีนามว่าหยวนเกาเฟิง คือหนึ่งในขุนนางผู้มีคุณูปการบุกเบิกแคว้นของต้าสุย และยิ่งเป็นแม่ทัพผู้มีความรู้ที่มีคุณความชอบด้านการศึกเลื่องลือท่านหนึ่ง เขาโยนพู่กันเดินเข้าสู่สนามรบ ติดตามฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นสกุลเกาเกอหยางรวบรวมแผ่นดินอยู่บนหลังม้า พอลงจากหลังม้าก็ใช้สถานะเจ้ากรมขุนนาง รับตำแหน่งบัณฑิตใหญ่แห่งตำหนักอู่อิงมาอุทิศตนถวายชีวิตเพื่อบ้านเมือง ผลงานเกริกก้อง ตายไปก็ได้บรรดาศักดิ์เหวินเจิ้ง จนถึงทุกวันนี้ตระกูลหยวนก็ยังคงเป็นชนชั้นสูงอันดับหนึ่งในต้าสุย มีอริยะบุคคลถือกำเนิดมากมาย เจ้าประมุขสกุลหยวนคนปัจจุบันเคยดำรงตำแหน่งขุนนางถึงขั้นเจ้ากรมอาญา เพราะป่วยจึงลาออกจากราชการ ในบรรดาลูกหลานมีคนมีพรสวรรค์มากมาย ล้วนมีผลงานอยู่ทั้งในวงการขุนนาง สนามรบและวงการการศึกษา
ตัวของหยวนเกาเฟิงเองก็เป็นขุนนางคนแรกที่ฮ่องเต้ประทานบรรดาศักดิ์ว่าเหวินเจิ้งให้นับตั้งแต่ที่แคว้นต้าสุยก่อตั้งมา
หยวนเกาเฟิงถาม “ไม่ทราบว่าเจ้าขุนเขาเหมามาเยือนด้วยธุระใด?”
เหมาเสี่ยวตงถามกลับ “แสร้งถามทั้งที่รู้ดี?”
หยวนเกาเฟิงหน้าไม่เปลี่ยนสี “ขอเจ้าขุนเขาเหมาโปรดชี้แจง”
เหมาเสี่ยวตงเอ่ยเนิบช้า “ข้าต้องการดึงโชคชะตาบุ๋นส่วนหนึ่งมาจากศาลบุ๋นของพวกเจ้า และต้องการยืมอีกส่วนหนึ่ง ในบรรดาภาชนะที่ใช้ประกอบพิธีของศาลบุ๋น ข้าต้องการนำจู้ (เครื่องดนตรีโบราณชนิดหนึ่ง ทำมาจากไม้ ลักษณะคล้ายเครื่องตวงข้าวทรงสี่เหลี่ยม) และเปียนชิ่งหนึ่งชุด (ชิ่งคือเครื่องดนตรีโบราณประเภทตี รูปร่างคล้ายไม้ฉากที่ทำด้วยหยกหรือทองเหลือง เปียนชิ่งคือการนำชิ่งที่ทำจากหินซึ่งมีโทนเสียงสูงต่ำไม่เท่ากันมาแขวนเรียงกัน) นอกจากนี้ก็มีฝู่ (ภาชนะรูปสี่เหลี่ยมสำหรับใส่พระแม่โพสพในขณะที่ทำพิธีกรรมสมัยโบราณ) และกุ่ย (ภาชนะใส่อาหารสมัยโบราณ ปากกลมมีสองหู) อย่างละชิ้น เชิงเทียนสองอัน นี่คือส่วนที่สำนักศึกษาซานหยาของพวกเราควรต้องได้รับอยู่แล้ว รวมไปถึงไหใหญ่เคลือบลายครามใบที่ขุนนางผู้ตรวจการเหยียนชิงกวางจ่ายเงินจ้างให้คนทำขึ้นมาซึ่งภายหลังพวกเจ้าย้ายมาจากศาลบุ๋นในท้องถิ่นใบนั้นด้วย ของสิ่งนี้เป็นการขอยืมจากศาลบุ๋นของพวกเจ้า นอกจากโชคชะตาบุ๋นที่ซุกซ่อนอยู่ภายในแล้ว แน่นอนว่าภาชนะทุกชิ้นล้วนต้องเอามาส่งคืนให้เจ้าตามเดิม”
หยวนเกาเฟิงถาม “เหตุใดเจ้าเหมาเสี่ยวตงถึงไม่แย่งชิงไป?”
สมกับที่มีชาติกำเนิดเป็นแม่ทัพผู้ปรีชา พูดจาอ้อมค้อมตรงประเด็น ไม่เลอะเลือนเลยแม้แต่น้อย
—–