ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 17.1 คนรักของข้าคือโครงกระดูก (1)

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 17 คนรักของข้าคือโครงกระดูก (1) โดย Ink Stone_Fantasy

 

เมฆสีทองที่ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ ใกล้เข้ามายังเขากระบี่วิญญาณ อึดใจถัดมา ค่ายกลปกปักษ์พิบูลย์ที่ปกป้องภูเขาไว้ก็สลายไป เผยให้เห็นทางเดินกว้างขวางและรูปลักษณ์ที่แท้จริงของภูเขาแห่งนี้ ที่ปลายอีกด้านหนึ่งของทางเดินคือยอดเขาสี่สภาพของเขากระบี่วิญญาณ ที่บนยอดเขานั้น บุคคลระดับสูงเกือบทั้งหมดของสำนักกระบี่วิญญาณอยู่ที่นั่นอย่างพร้อมเพรียง

ที่บนเรือคลื่นเมฆา ผู้บำเพ็ญเซียนชุดขาวหลายคนหันมาสบสายตากัน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความขบขัน

“สำนักกระบี่วิญญาณนี่ช่างรู้กาลเทศะยิ่งนัก การกระทำของพวกเขาถือว่าน่าเคารพยกย่อง”

“หืม เป็นถึงหนึ่งในห้าสำนักวิเศษ มีคุณสมบัติใดบ้างที่ไม่ควรเคารพ เป็นเพราะเจ้าสำนักแท้ๆ ทำไมเขาต้องส่งเรามายังที่ห่างไกลเช่นนี้ด้วย ดูค่ายกลปกปักษ์พิบูลย์นี่สิ เห็นได้ชัดว่ายังใช้รูปแบบล้าสมัยของเมื่อหลายร้อยปีก่อนอยู่เลย จิ๊ แถมข้ายังได้กลิ่นสาบบ้านนอกจากพลังปราณฟ้าดินของที่นี่อีกด้วย ไม่แน่ว่ามันอาจจะส่งผลต่อสติปัญญาอันเฉียบคมของเราก็เป็นได้”

“เจ้าสำนักบอกว่าในการประลองนี้ศิษย์ของทั้งสองสำนักควรจะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน… ฮ่ะๆ พวกเขามีอะไรให้เรียนรู้กัน ข้าได้ยินมาว่าฝ่ายนั้นต้องใช้เวลาถึงสิบปีกว่าจะบรรลุขั้นสร้างฐาน เพราะฉะนั้นมากสุดตอนนี้พวกเขาคงจะอยู่แค่ขั้นฝึกปราณระดับสูง คนเถื่อนพวกนี้แม้แต่พื้นฐานการบำเพ็ญเซียนก็ยังไม่ดี ไม่มีคุณงามความดีอย่างแท้จริง ในการประลองครั้งนี้ นอกจากจะต้องลงแรงแล้ว เราควรเก็บค่าประลองจากพวกเขาด้วยซ้ำ”

“ศิษย์พี่ ข้าว่า… ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงห้าวิเศษเช่นเดียวกับเรา เราก็ไม่ควรจจะประมาทจนเกินไป”

“หืม อวิ๋นฟาน เจ้าสับสนใหญ่แล้ว ทั้งคู่ต่างเป็นห้าสำนักวิเศษแล้วอย่างไร เราและสำนักที่ด้อยกว่าเหล่านั้นอยู่ในสถานะเดียวกันในฐานะผู้บำเพ็ญเซียนแห่งอาณาจักรเก้าแคว้นหรือ แต่จะเอาเราไปเปรียบกับพวกเขาทำไม ยังไม่พูดถึงว่าตำแหน่งห้าสำนักวิเศษอะไรนี่พวกเขาเป็นคนตั้งกันขึ้นมาเอง ข้าก็ไม่คิดว่าพวกเศรษฐีใหม่และวัตถุโบราณนั่นจะเทียบสำนักเซียนหมื่นเวทของเราได้อยู่แล้ว เหตุผลที่ว่ามนุษย์อยู่เหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวงนั่นเป็นเพราะเรารู้มากกว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นอย่างไรเล่า”

“พอได้แล้ว”

ขณะที่คนหนุ่มสาวในชุดขาวสนทนากันอย่างร่าเริง ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่กลางดาดฟ้าเรือคลื่นเมฆาก็ยกมือขึ้นห้ามพวกเขา ทว่าใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มคล้ายดูหมิ่นเล็กๆ

“อีกเดี๋ยวเราก็จะถึงที่นั่นแล้ว หลายคำในใจของพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องพูดออกมา อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นถิ่นของพวกเขา ว่ากันว่าเจ้าสำนักกระบี่วิญญาณ ปรมาจารย์เฟิงอิ๋นมีตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณ ซึ่งไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าข้าเลย เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็อย่าดูถูกอีกฝ่ายให้มากนัก”

ศิษย์วัยรุ่นคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังชายวัยกลางคนยังไม่ปักใจเชื่อ เขากล่าวพร้อมกลั้วหัวเราะ “หัวหน้าของพวกป่าเถื่อนเหล่านี้ยังเป็นเพียงขั้นเปลี่ยนวิญญาณ สำนักกระบี่วิญญาณนี่น่าขำเกินไปแล้ว”

ศิษย์อีกคนก็หัวเราะขึ้นบ้าง “ฮ่าๆๆ ศิษย์พี่สาม แต่ข้าคิดว่าสำนักนี้ยังเหนือกว่าเราอยู่นะ”

“เหรอ เหนือกว่าในแง่ไหนกัน”

“พวกเขามีศิษย์ผู้หญิงไม่น้อยเลย ดูที่ยอดเขาสี่สภาพนั่นสิ มีศิษย์ผู้หญิงอยู่ตั้งหกเจ็ดคน แถมแต่ละคนแจ่มๆ ทั้งนั้น”

“ฮ่าๆๆ พูดได้ดี ศิษย์น้องสี่ สำนักกระบี่วิญญาณไม่มีเรื่องดีเรื่องอื่นให้อวดอ้าง แต่คุณภาพของศิษย์ผู้หญิงนั้นกลับโดดเด่น ฮ่าๆ เราคงต้องสำแดงพรสวรรค์ของเราให้เด็กสาวผู้ไม่เคยเห็นโลกเหล่านั้นได้ประจักษ์เสียแล้ว และอาจเป็นไปได้ไม่น้อยว่าเราจะได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งที่แคว้นธาราครามนี่ก็เป็นได้”

“อะแฮ่ม”

ลูกศิษย์หนุ่มทั้งสองที่กำลังสนุกสนานอยู่กับบทสนทนา ตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินเสียงที่ดังมาจากข้างหลัง

“ศิษย์…ศิษย์พี่หญิงสอง…”

หญิงสาวที่ใส่ชุดสีขาวเช่นเดียวกันมีท่าทีไม่พอใจ นางเดินตรงไปยังหัวเรือและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “พวกเจ้าไม่ลองถามตัวเองดูก่อนเล่า ว่าหากได้เจอหญิงสาวเหล่านั้นจริงๆ พวกเจ้าจะกล้าพูดกับนางไหม”

ศิษย์น้องสามแสดงออกว่าไม่เห็นด้วย “ก็แค่พูด มันจะยากเย็นอะไรนักหนา”

“งั้นหรือ งั้นทำไมพวกเจ้าไม่หันมาพูดกับข้าสักสองสามคำเล่า”

ศิษย์น้องสามหันศีรษะกลับมาและพูดอย่างฮึกเหิมราวกับว่ากำลังจะเสียสละชีวิตของตน “มา อยากพูดอะไรก็ว่ามา”

ศิษย์พี่หญิงสองถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “ทำไมเจ้าไม่ลืมตาขึ้นเสียก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงฮึกเหิมเช่นนั้นเล่า มันจะน่าเชื่อถือกว่าเยอะเลย… เอาละ พอได้แล้ว ลงไปปลุกพี่ใหญ่ของเจ้าที บอกเขาว่าเรามาถึงกันแล้ว”

“อ้อ ก็ได้”

ขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น เรือคลื่นเมฆาสีทองก็มาถึงยอดเขาสี่สภาพและกำลังเคลื่อนตัวลงอย่างช้าๆ

อีกด้านหนึ่ง ที่บนยอดเขาสี่สภาพ ผู้อาวุโสหลายคน ศิษย์พี่ และศิษย์ที่ยังบำเพ็ญเซียนไม่ถึงสิบปีต่างอยู่ที่นั่น

เฟิงอิ๋น หลิวเสี่ยน ฟางเฮ่อ โจวหมิง ลู่หลี อ้าวก้วนไห่ ฮว๋าอี้… ผู้อาวุโสเกือบทุกคนของหอกระบี่นภาต่างมากันพร้อมหน้า เฟิงอิ๋นยืนอยู่ตรงกลางแถวตามกฎการยืนที่กำหนดไว้

สิ่งนี้ไม่เกี่ยวกับลำดับในห้าวิเศษ แต่เป็นไปตามมารยาทพื้นฐาน สำนักเซียนหมื่นเวทอาจหยาบคาย ทว่าสำนักกระบี่วิญญาณย่อมไม่อาจหย่อนวินัยของตน

ทว่าผู้ที่จริงจังในเรื่องวินัยนั้นมีเพียงเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่แถวหน้าเท่านั้น เหล่าศิษย์ที่อยู่แถวหลังเริ่มรู้สึกขุ่นข้องใจจนหันมากระซิบกระซาบกันเอง

“ฮึ พวกนั้นมีดีตรงไหนกัน ทำตัวสูงส่งเสียอย่างกับว่าเป็นเซียนจริงๆ อย่างนั้นล่ะ”

“หนำซ้ำพวกเขาอยากจะมาก็มา เห็นว่าจะมากันแค่ไม่กี่คน แต่นี่ถึงกับนั่งเรือคลื่นเมฆามาเชียว อยากจะอวดร่ำอวดรวยนักหรืออย่างไร”

“หึ ในเมื่อคู่แข่งตัวจริงมาถึงแล้ว เราก็สมควรแสดงอะไรดีๆ ให้พวกเขาเห็นบ้าง”

“อ้อ จริงสิ ไหนอาวุโสห้ากับศิษย์พี่หวังลู่ล่ะ พวกเขาควรจะอยู่ที่นี่ แต่ข้ากลับไม่เห็นคนทั้งคู่เลย”

“…หรือกลัวว่าถ้าพวกเขาโผล่มาจะยิ่งทำให้สำนักกระบี่วิญญาณขายหน้าเข้าไปใหญ่”

คนทั้งคู่ต่างพูดคุยกันเสียงเบา ทว่าทันใดนั้น ไหล่ของคนหนึ่งก็ทรุดฮวบไปเพราะมีมือข้างหนึ่งมากดไว้

“พูดใหม่ซิ ใครกันที่เจ้าบอกจะทำให้สำนักกระบี่วิญญาณขายหน้า”

ศิษย์สำนักชั้นนอกรีบหันศีรษะมาอย่างรวดเร็วและเมื่อเห็นบุคคลที่ยืนอยู่ด้านหลัง ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดในทันที

“ศิษย์พี่หวังลู่ เมื่อครู่ ข้า ข้า…”

ทว่าหวังลู่ไม่ได้ใส่ใจคำพูดเหล่านั้นมากนัก เขาแค่ยิ้มแล้วพูดว่า “ใจเย็นๆ เดี๋ยวเจ้าจะได้เห็นอะไรดีๆ แน่”

พูดจบเขาก็เดินผ่านคนทั้งสองไปยังแถวที่เตรียมไว้เพื่อศิษย์ผู้สืบทอดซึ่งอยู่ด้านหลังเหล่าผู้อาวุโส แถวนั้นมีเพียงเขาและหลิวหลีสองคนเท่านั้น นั่นเพราะจูซือเหยาบำเพ็ญเซียนมาเกินกว่าสิบปีแล้ว นางจึงไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย

ในตอนนั้นเองเรือคลื่นเมฆาก็หยุดลง ลำแสงสีทองแปดสายพุ่งลงมาจากเมฆ ผู้อาวุโสทั้งสามของสำนักเซียนหมื่นเวทลงมาก่อนจากนั้นศิษย์อีกห้าคนจึงตามลงมา ผู้บำเพ็ญเซียนทั้งแปดเหยียบอยู่บนลำแสงสีทองและเคลื่อนตัวลงมาด้วยท่าทางทรงอำนาจราวกับว่าเป็นเซียนที่เคลื่อนคล้อยลงมาสู่โลก หรือไม่ก็จักรพรรดิที่ออกเยี่ยมเยียนอาณาจักร เพียงแค่ว่า…ลำแสงสีทองนั้นเคลื่อนลงมาช้าเกินไปไม่น้อย

คนของสำนักกระบี่วิญญาณย่อมเห็นว่าอีกฝ่ายเหมือนกำลังลอยอยู่กลางอากาศ ปากของเหล่าผู้อาวุโสจำนวนน้อนนิดเชิดตรงไปยังจมูก ส่วนจมูกเชิดตรงไปยังหน้าผาก กล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่ไหวติงเลยสักนิด เห็นเช่นนั้นเหล่าศิษย์แห่งสำนักกระบี่วิญญาณจึงย่อมอดรนทนไม่ได้

“เหอะ จะผยองเกินไปหน่อยแล้ว”

“สำนักเซียนหมื่นเวทนี่ตั้งใจมาแข่งหรือมาหาเรื่องกันแน่เนี่ย”

“ให้ท่านลุงมืดกับท่านป้ากางค่ายกลปกปักษ์พิบูลย์ห่อพวกนั้นให้กลายเป็นเกี๊ยวเสียดีไหม”

เมื่อได้ยินบทสนทนาเหล่านี้จากศิษย์สำนักชั้นนอก ศิษย์ผู้สืบทอดคนเดิมก็พยักหน้าเห็นด้วย “จริงด้วย หากเราอ้างว่ามีผู้ประสงค์ร้ายบุกรุกมาจากภายนอก สำนักกระบี่วิญญาณก็สามารถใช้มาตรการรุนแรงแล้วค่อยกล่าวเสียใจอย่างสุดซึ้งได้”

ทันทีที่พูดจบ อาวุโสสามที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาก็หันศีรษะมาและขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำให้เหล่าศิษย์สำนักชั้นนอกพลันเงียบปากลง ส่วนหวังลู่ก็ได้แต่แค่นยิ้มใสซื่อออกมา

ฟางเฮ่อถอนหายใจและเพิกเฉยเหล่าลูกศิษย์ ท่าทีดูหมิ่นของสำนักเซียนหมื่นเวทแน่นอนว่าน่ารังเกียจ แต่…ศิษย์พี่เจ้าสำนักของเขามอบหมายเรื่องพิธีต้อนรับให้ศิษย์น้องหญิงห้าและเจ้าเด็กหวังลู่นั่นเป็นคนจัดการ ซึ่งถือได้ว่าเป็นแสบปะทะแสบ ในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่งของหอกระบี่นภา เขาจึงได้เห็นกำหนดการต่างๆ ล่วงหน้าแล้ว… ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้เขาอับจนคำพูดเลยทีเดียว

ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเซียนหมื่นเวทที่อยู่กลางอากาศไม่ยอมปล่อยให้บทสนทนาและการกระทำเล็กๆ น้อยๆ นั่นผ่านเลยไป ผู้บำเพ็ญเซียนวัยรุ่นสองคนอดเหยียดยิ้มออกมาไม่ได้ “ผู้บำเพ็ญเซียนอะไรกันทำไมหยาบคายขนาดนี้”

“โธ่ ก็พวกเขาเป็นคนเถื่อนแห่งแคว้นธาราครามนี่นา… นี่ศิษย์น้องสี่ เจ้าดูนั่น สาวน้อยคนนั้นน่ารักไม่เบาใช่ไหม”

“ปะ เป็นอาวุธที่ร้ายกาจนัก” ศิษย์น้องสี่พูดขึ้นแล้วเช็ดมุมปากของตัวเอง “ข้า ข้าว่าอย่างน้อยก็คัพดี”

“คนฉลาดย่อมคิดตรงกัน”

“พวกเจ้า…”

ศิษย์พี่หญิงคนเดิมอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ ทว่าในใจกลับหวนนึกถึงข้อมูลที่ได้อ่านมา เด็กสาวที่มีรูปร่างน่าดึงดูดที่ยืนอยู่ด้านหลังเหล่าผู้อาวุโสน่าจะเป็นศิษย์ผู้สืบทอด…นางคือจูซือเหยาหรือหลิวหลีกันแน่นะ น่าจะเป็นคนหลัง ว่ากันว่าเมื่อสองปีก่อนที่หุบเขาเมฆาโลหิต นางสามารถสังหารปีศาจขั้นพิสุทธิ์และกึ่งพิสุทธิ์ได้ถึงสิบสองตัว แม้นางจะเป็นเพียงคนป่า แต่ก็นับว่าเป็นคนป่าที่ทรงพลัง เป็นไปได้ว่าผู้ที่ต้องประมือกับศิษย์พี่จ้านจื่อเย่น่าจะเป็นนาง… ทว่าหากเด็กสาวผู้นี้ต้องการสู้กับศิษย์พี่ของนางละก็ อีกฝ่ายต้องผ่านนางให้ได้ก่อน

ในเมื่อต่างเป็นผู้หญิงกันทั้งคู่ เย่เฟยเฟยจึงไม่คิดว่านางจะพ่ายแพ้ให้กับหญิงเถื่อนแห่งแคว้นธาราคราม แม้รากวิญญาณของนางจะไม่ใช่ของเลิศเลอ แต่ในฐานะผู้บำเพ็ญเซียนแห่งสำนักเซียนหมื่นเวท นางจึงได้รับการศึกษาที่เยี่ยมยอดและก้าวหน้าที่สุดในอาณาจักรเก้าแคว้น ด้วยข้อได้เปรียบนี้ ต่อให้ผู้ที่มีรากวิญญาณนภาก็ไม่อาจเทียบนางได้ แค่ปีศาจขั้นพิสุทธิ์และกึ่งพิสุทธิ์สิบสองตัว ทำไมนางเองจะรับมือไม่ได้ เผลอๆ นางอาจทำได้มากกว่านั้นด้วยซ้ำ

ทว่าแม้นางจะทำได้ดีกว่านั้น แต่เมื่อเทียบกับศิษย์พี่จ้านจื่อเย่แล้ว ช่องว่างระหว่างพวกเขาถือว่ายังห่างไกลนัก ศิษย์พี่ของนางคืออัจฉริยะที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง… เย่เฟยเฟยคิดในใจพลางมองศิษย์พี่อย่างเคารพ ทว่าดวงตาของศิษย์พี่กลับตรึงติดอยู่ที่แม่นางหลิวหลีคนนั้น คิ้วของเขาขมวดแน่น ปากก็พูดพึมพำ

“สวัสดี ข้าชื่อจ้านจื่อเย่ ปีนี้ข้าอายุสิบเก้า ข้ามีตบะขั้นสร้างฐานระดับกลางและยังโสด หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้…สวัสดี คนสวย ข้าเป็นพี่คนโตในกลุ่มผู้บำเพ็ญเซียนรุ่นเยาว์ที่สุดของสำนักเซียนหมื่นเวท จ้านจื่อเย่…”

เย่เฟยเฟยอ้าปากค้าง “ศิษย์พี่ ท่านนี่นะ”

เหล่าศิษย์พี่ที่อยู่แถวหน้าต่างหมดหนทางเยียวยาไม่ต่างกัน อัตราส่วนระหว่างศิษย์ชายหญิงของสำนักเซียนหมื่นเวทนั้นไม่สมดุลกันอย่างมาก หนำซ้ำความสัมพันธ์ของพวกเขากับสำนักที่รับแต่หญิงสาวเพียงอย่างเดียวก็ไม่ราบรื่นนัก ดังนั้นศิษย์ของสำนักเซียนหมื่นเวทจึงนับว่าขาดประสบการณ์ในด้านนี้

ทว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ศิษย์ของสำนักเซียนหมื่นเวทนั้นเฉลียวฉลาดมีพรสวรรค์สูงส่ง ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจดีว่าความสัมพันธ์ของชายหญิงไม่สำคัญเท่าเส้นทางแห่งเซียน ตราบที่พวกเขายึดมั่นในเส้นทางตัวเองและตั้งใจใฝ่ศึกษา เรื่องเหล่านี้ก็จะผ่านเลยไปไม่ต่างกับเหล่ามวลเมฆาบนฟ้า

ครั้งนี้ พวกเขาต้องแสดงให้เหล่าคนบ้านนอกแห่งแคว้นธาราครามได้รู้ว่าผู้คนจากสำนักเวทหมื่นเซียนนั้นทรงพลังเพียงใด

…………………………………….