บทที่ 1103 รากบุปผาสามารถฟื้นฟูวรยุทธ์ได้

กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์

กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1103 รากบุปผาสามารถฟื้นฟูวรยุทธ์ได้

“ในเมื่อเจ้าชอบสวนไผ่ เช่นนั้นข้าก็จะมอบสวนไผ่ให้เจ้า หากวันไหนเจ้าไม่อยากอยู่ที่นั่น เจ้าสามารถบอกข้าได้ตลอดเวลา ข้าจะหาสถานที่ซึ่งเหมาะสมให้แก่เจ้า”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

ทัศนคติของเหวินเส่าอี๋เต็มไปด้วยความเยือกเย็น

หลังจากฟื้นขึ้นมา ท่าทางและอารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนไป

กู้ชูหน่วนรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง

ระยะระหว่างพวกเขาสองคน เหตุใดยิ่งพยายามเข้าใกล้ก็ยิ่งห่างไกลออกไป

ถึงขั้น……

เหวินเส่าอี๋แสดงออกถึงความเกลียดชังที่มีต่อนาง

“นี่คือยารักษาดวงตาของเจ้า ทานมันเข้าไปวันละครั้ง หลังจากยาพวกนี้หมด ดวงตาของเจ้าก็แทบจะกลับมาเป็นเหมือนปกติ ข้า……ช่วงนี้ข้าค่อนข้างยุ่ง สองสามวันหลังจากนี้ไม่อาจจะไปเยี่ยมเจ้าได้ รอผ่านช่วงนี้ไปข้าจะไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”

“ขอรับ”

“เช่นนั้นเจ้ารีบไปพักผ่อนเถิด”

“ขอรับ”

หลังจากกู้ชูหน่วนจากไป ดวงตาที่เฉยชาของเหวินเส่าอี๋ก็ปรากฏให้เห็นแสงอันเยือกเย็น

เงาของสองคนเข้ามาในแววตาของเขา นั่งคุกเข่าครึ่งนั่งอยู่หน้าเขา

“นายท่าน ทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือเพียงรอรับคำสั่งจากท่าน”

หนึ่งในสองคนนั้นสวมเสื้อคลุมสีดำ รูปร่างของเขาไล่เลี่ยกับเหวินเส่าอี๋ เขายกหน้ากากบนใบหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าที่เหมือนกับเหวินเส่าอี๋

ทั้งสองคนยืนข้างกัน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ใบหน้า ทุกอย่างล้วนคล้ายกันมาก หากไม่มองดูให้ละเอียดก็ไม่อาจแบ่งแยกว่าใครเป็นใครได้

“นายท่าน จอมมารกำลังรวบรวมรากดอกไม้เพื่อฟื้นฟูวรยุทธ์ ท่านต้องการหยุดเขาหรือไม่”

“วรยุทธ์ของซือม่อเฟยดีที่สุดในหมู่ของพวกเราไม่กี่คน โดยเฉพาะวิชาคืนชีพบุปผาผลิบานและดอกดาตูราปีศาจของเขา พวกเจ้าไม่อาจขัดขวางการฟื้นฟูวรยุทธ์ของเขาได้”

“เช่นนั้น……เช่นนั้นจะปล่อยให้เขาเติบโตขึ้นไปเช่นนี้งั้นหรือ?”

เหวินเส่าอี๋พ่นลมหายใจอย่างเยือกเย็น ขมวดคิ้วด้วยความมั่นใจ

“วิชาคืนชีพบุปผาผลิบานอยู่ในร่างกายของนาง หากซือม่อเฟยต้องการฟื้นฟูวรยุทธ์ เขาก็ต้องนำรากบุปผาในร่างกายของนางออกมา”

องครักษ์ไม่เข้าใจ

คนธรรมดาทั่วไป เมื่อวรยุทธ์ถูกทำลายก็จะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปชั่วชีวิต จำเป็นต้องเริ่มฝึกฝนใหม่ตั้งแต่ต้น แต่จอมมารในความหมายของนายท่าน เหมือนกับว่าแค่เขาฟื้นฟูมันขึ้นมา จอมมารก็สามารถกลับขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดได้

อีกอย่าง……

ร่างกายของมู่หน่วนไม่ใช่กู้ชูหน่วนอย่างนั้นหรือ

จอมมารนำรากบุปผาออกมา นั่นมันไม่เท่ากับว่าเป็นการดึงออกมาจากศพของกู้ชูหน่วนอย่างนั้นหรือ?

“ส่งทหารม้าไป หากเยี่ยจิ่งหานฟื้นขึ้นมา ทำอย่างไรก็ได้ให้เขาไปยังแท่นนักรบผู้โดดเดี่ยวแห่งชานฉุ่ย ส่วนเรื่องของจอมมาร ไม่จำเป็นต้องไปสนใจเขา”

เหวินเส่าอี๋มองไปยังทิศทางของตำหนักม่อ ยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น “นำรากบุปผาออกมา ผู้หญิงคนนั้นไม่ตายก็ต้องพิการ ซือม่อเฟยไม่สามารถทนเห็นคนที่เขารักทุกข์ทรมานได้ และหากไม่มีรากบุปผา ถ้าเขาคิดที่จะกลับไปสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง ต่อให้เขาเก่งกาจแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถทำมันได้ในระยะเวลาอันสั้น”

“เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องไปสนใจจอมมารแล้วงั้นหรือ?”

“สนใจ วิชาค่ายกลของเขา คนทั่วไปในใต้หล้าไม่อาจรับมือได้ ผู้หญิงคนนั้นไม่มีทางพาเขาไปชานฉุ่ย แต่หากซือม่อเฟยแอบตามนางไป แค่หลอกล่อให้เขาเข้าไปยังหุบเขาอันรกร้างก็สิ้นเรื่อง”

“นายท่าน ท่านจะซุ่มโจมตีที่หุบเขาอันรกร้างอย่างนั้นหรือ?”

“ไม่จำเป็น”

“ไม่ทราบว่าหุบเขาอันรกร้างที่นายท่านพูดถึงคือหุบเขาลูกไหนกัน?” เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะวางค่ายกลไว้บนหุบเขารกร้างเพื่อขวางเขาเอาไว้ หรือว่านายท่านจะมีแผนการอื่น

ดวงตาของเหวินเส่าอี๋ยกขึ้น ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข “มันไม่สำคัญหรอกว่าจะเป็นลูกไหน”

องครักษ์ตะลึงงัน “เช่นนั้นหากจอมมารออกมาเล่า”

“เขาไม่มีทางออกมาได้”

หุบเขาแห้งแล้งเพียงลูกเดียวเท่านั้นหรือ

แม้แต่หุบเขานับแสนลูกยังสามารถออกมาได้

แล้วอะไรที่เรียกว่า……ไม่มีทางออกมาได้

องครักษ์ไม่กล้าพูดอะไรมาก เพียงแค่น้อมรับคำสั่ง

ห้องตำราหลวง

กู้ชูหน่วนจัดการทุกอย่างเรียบร้อย พาฝูกวงและลั่วอิ่งเตรียมออกเดินทาง

องครักษ์เข้ามารายงาน “ฝ่าบาท ม่อเหม่ยเหรินขุดดอกไม้ทั้งหมดในพระราชวัง และนำรากดอกไม้ไป”

“ข้าบอกเขาไปแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามแตะต้องดอกไม้พวกนั้นอีก?”

“ที่ม่อเหม่ยเหรินขุดรากดอกไม้พวกนั้นไปดูเหมือนว่าต้องการจะฟื้นฟูวรยุทธ์”

“ฟื้นฟูวรยุทธ์? รากดอกไม้สามารถฟื้นฟูวรยุทธ์ได้งั้นหรือ?”

กู้ชูหน่วนโบกมือ “ช่างมัน ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบของเขาไป พวกเจ้าไปจับตาดูเหวินเส่าอี๋ ข้าไม่อยากให้เขาเดินทางไปยังแท่นนักรบผู้โดดเดี่ยวแห่งชานฉุ่ย”

โรงน้ำชาแห่งหนึ่งริมถนนระหว่างทางไปชานฉุ่ย

กู้ชูหน่วนและฝูกวงนั่งทานอาหารและดื่มน้ำชา ฟังเหล่าประชาชนในร้านพูดคุยกัน

“ฝ่าบาทของพวกเราสั่งให้พวกเขาถอยทัพไปแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดทางฝั่งของแท่นนักรบผู้โดดเดี่ยวยังมีเสียงการต่อสู้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง?”

“เจ้าไม่รู้งั้นหรือ มีข่าวลือออกมาว่าพวกเขากำลังแก่งแย่งเครื่องรางอะไรสักอย่างกันอยู่ ขอแค่ได้ของสิ่งนั้นมา คนผู้นั้นก็จะมีอายุยืนยาว มีชีวิตอยู่ได้ตลอดไป หวงกุ้ยจวินและต้าเฟิงโห้วมีทั้งอำนาจและเงินทอง สิ่งที่พวกเขายังไม่มีคืออะไร นั่นก็คืออายุอันยืนยาวจนชั่วนิรันดร์ เครื่องรางที่แสนวิเศษขนาดนั้น พวกเขาจะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร”

“พวกเจ้ากำลังจะบอกว่า เครื่องรางเพียงแผ่นเดียว สามารถทำมีชีวิตอยู่ไปชั่วนิรันดร์ ไม่แก่ ไม่ตายเลยงั้นหรือ? ข้าว่ามันดูพิลึกเกินไป”

“หากเครื่องรางแผ่นนั้นไม่วิเศษกว่าเครื่องรางทั่วไป ต้าเฟิงโห้วและหวงกุ้ยจวินจะยกทัพมายังชานฉุ่ยของพวกเรางั้นหรือ? ทุกวันนี้ยังมีคนตายไม่พอหรืออย่างไร?”

“เจ้าคิดว่าฝ่าบาทของพวกเราจะช่วยเหลือใคร?”

“ได้ยินมาว่าฝ่าบาททรงโปรดปรานหวงกุ้ยจวินเป็นอย่างมาก ตั้งแต่หวงกุ้ยจวินฟื้นขึ้นมา ฝ่าบาทก็ไปเยี่ยมเยียนทุกวัน แม้แต่ตอนทรงงานก็อยู่ที่นั่น ข้าว่าฝ่าบาทน่าจะช่วยหวงกุ้ยจวินมากกว่า”

“ผิดแล้ว ข้าว่าเจ้าคิดผิด ข้าว่าฝ่าบาทต้องช่วยต้าเฟิ่งโห้ว ฝ่าบาทจะช่วยต้าเฟิงโห้วอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นฝ่าบาทจะแต่งตั้งต้าเฟิงโห้วให้เป็นเฟิงโห้วแห่งวังหลังได้อย่างไร”

“ฮึ เจ้ากบในกะลา ใครไม่รู้บ้างว่าที่ฝ่าบาทแต่งงานกับต้าเฟิงโห้วก็เพื่อจะเกี่ยวดองกัน แต่คนรักที่แท้จริงของนางนั้นคือหวงกุ้ยจวิน รักกันชั่วชีวิต เจ้าต้องรู้ก่อนว่า หวงกุ้ยจวินเพื่อฝ่าบาทของพวกเราแล้ว เขาถึงกับยอมมอบอำนาจในการปกครองรัฐอี้ให้แก่ฝ่าบาทของพวกเรา ความรู้สึกอันลึกล้ำเช่นนี้ ราชวงศ์ในอดีต มีผู้ใดที่ได้รับความรักอันลึกซึ้งเช่นนี้?”

“หวงกุ้ยจวินรักฝ่าบาทของพวกเราอย่างสุดหัวใจ ไม่เช่นนั้นเขาเป็นจักรพรรดิแห่งรัฐอี้ต่อไปไม่ดีกว่างั้นหรือ? แต่เขากลับยอมเป็นเพียงหวงกุ้ยจวินผู้ต่ำต้อย และยอมเป็นเหล่าชายที่ยอมแบ่งปันผู้หญิงเพียงคนเดียว”

“จุ๊ ๆ พวกเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วงั้นหรือ ถึงได้กล้าพูดเรื่องฝ่าบาทและพวกของหวงกุ้ยจวินในที่สาธารณะเช่นนี้”

“เจ้าจะกลัวอะไร จักรพรรดินีอยู่บนภูเขาอันห่างไกล ใครจะไปได้ยิน”

“ข้าว่าเบาเสียงหน่อยจะดีกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้หัวของเจ้าหลุดออกจากบ่า”

สามัญชนคนหนึ่งลดเสียงของเขาลงและพูดอย่างลึกลับว่า “ข่าวของพวกเจ้ามันล้าหลังไปแล้ว ข้าได้ยินมาว่าที่ฝ่าบาททรงให้พวกเขาถอยทัพกลับไป นั่นเป็นเพราะนางต้องการเครื่องรางแผ่นนั้นมาเป็นของตนเอง”

กู้ชูหน่วนกำลังดื่มชา เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางเกือบสำลักออกมา

ในระหว่างทางที่ผ่านมา นางได้ยินการสนทนาถึงนางในรูปแบบต่าง ๆ

ทุกรูปแบบล้วนรุนแรงจนน่าตกใจ

ฝูกวงช่วยลูบหลังในนาง “นายท่าน ค่อย ๆ ดื่ม ระวังอย่าให้สำลัก”

“ลั่วอิ่งเล่า เขายังไม่อยากออกมาอย่างนั้นหรือ?”

“หากนายท่านมีอันตราย เขาจะออกมาอย่างแน่นอน”

“ยังห่างจากแท่นนักรบผู้โดดเดี่ยวอีกไกลแค่ไหน”

“ข้ามเขาไปอีกไม่กี่ลูกก็ถึงแล้ว น่าจะใช้เวลาประมาณครึ่งวันเศษ”

“ทานเข้าให้เยอะ ทานเสร็จพวกเราจะออกเดินทางทันที เพื่อป้องกันไม่ให้พวกของเหวินเส่าอี๋ไปถึงก่อนหน้าพวกเรา”

กู้ชูหน่วนหยิบซาลาเปาสองสามก้อนให้กับฝูกวง “ซาลาเปานี่เจ้านำมันไปมอบให้กับลั่วอิ่ง เอาไว้ทานเวลาที่หิว”

“ขอรับ”

ในตอนที่ทั้งสองคนกำลังจะจากไป สามัญชนสองสามคนวิ่งมาด้วยความตื่นตระหนก

“แย่แล้ว แย่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว เครื่องรางถูกชิงไปแล้ว……”

ทุกคนลุกขึ้นยืนทันที “ใครเป็นคนชิงไป? ต้าเฟิงโห้วหรือว่าหวงกุ้ยจวิน?”

“ไม่……ไม่ใช่ทั้งสองคน……”

“อะไรนะ……หรือว่ายังมีใครที่แข็งแกร่งกว่าต้าเฟิงโห้วและหวงกุ้ยจวิน?”