ตอนที่ 214-1 รับตัวเจ้าสาวและกราบไหว้ฟ้าดิน

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เสิ่นเจวี๋ยยืนอยู่บนบันไดเอ่ยคำขอต่างๆ เสียงดัง เหล่าลูกพี่ลูกน้องข้างกายเขารวมถึงชนรุ่นหลังหมู่บ้านตระกูลเสิ่นก็ตะโกนเรียกร้องขึ้นมาเช่นกัน

 

 

สวีโย่วมองเห็นอาจารย์ซูข้างกายเสิ่นเวยในฝูงชนกำลังหัวเราะหึๆ มองเขา ก็รู้สึกท่าไม่ดีทันที แม้อาจารย์ซูผู้นี้จะเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ค่อยปรากฎหน้า แต่จากที่เสิ่นเวยไปซีเจียงให้เขาดูแลความมั่นคงในเมืองหลวงก็เห็นแล้วว่านางให้ความสำคัญต่อเขา ใต้บังคับบัญชาแม่ทัพแข็งแกร่งไร้ทหารอ่อนแอ อาจารย์ซูผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน

 

 

เป็นดังคาด ขณะที่เสิ่นเจวี๋ยใช้อุบายจนหมดแล้วอาจารย์ซูผู้นี้ก็เข้ามาช่วย คำถามเจ้าเล่ห์แต่ละข้อๆ เปล่งเสียงดังออกมาจากปากของเสิ่นเจวี๋ย สวีโย่วอดรู้สึกจนปัญญาไม่ได้ นี่จะให้เป็นนักกวีหรือว่าจะให้สอบแปลความหมายบทความ ยากยิ่งกว่าสอบขุนนางเสียอีก จะดีจริงๆ หรือ

 

 

คนที่ตามสวีโย่วมารับตัวเจ้าสาวนอกจากบุตรหลานในราชสำนักแล้วยังมีบุตรหลานขุนนางสูงศักดิ์ หากเป็นเรื่องกินดื่มสังสรรค์กลับเชี่ยวชาญกันทุกคน แม้จะเป็นการพนัน พวกเขาก็สามารถช่วยเจ้าได้ไม่มากก็น้อย แต่ความสามารถด้านตำราการเรียนกลับอ่อนอย่างถึงที่สุด ในนั้นมีหลายคนที่แม้แต่อักษรยังเขียนเหมือนกับไก่เขี่ย ก่อนหน้านี้ยังโห่ร้องครื้นเครง ตอนนี้กลับถูกคนอื่นทำเอาตกตะลึงแล้ว

 

 

สวีโย่วหวังพึ่งพวกเขาไม่ได้ ทำได้เพียงพยายามฝ่าอุปสรรคไปด้วยตัวเอง เขากลับอ่านหนังสือมาไม่น้อย การบ้านยังเคยได้รับคำชมจากฝ่าบาท แต่สองมือยากจะสู้สี่มือ เขาคนเดียวเผชิญหน้ากับคนหนึ่งกลุ่ม เสียเปรียบยิ่งนัก! โชคดีที่ตอนมาเขาดึงผู้ช่วยคนหนึ่งมาจากสำนักราชบัณฑิต มิเช่นนั้นด่านนี้เขาก็คงผ่านไปไม่ได้จริงๆ

 

 

ผู้ช่วยที่ถูกสวีโย่วลากมาก็คือเจียงเฉิน กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังสับสนงุนงง เขาเพียงแค่ตามไปดื่มสุรามงคลสมทบที่จวนจิ้นอ๋อง เห็นชัดๆ ว่าคุณชายใหญ่สวีผู้นี้ไม่รู้จักเขา เพียงแต่ได้ยินคนตะโกนเรียกเขาว่าราชบัณฑิตเจียงหนึ่งครา ก็หันหลังกลับสั่งให้เขาตามมารับตัวเจ้าสาวด้วย

 

 

โชคดีที่อาจารย์ซูรู้จักความหนักเบาอย่างยิ่ง เมื่อเจียงเฉินท่องกลอนไม่รู้กี่บทจบ เห็นว่าพอได้แล้ว ก็บอกเป็นนัยให้ผ่านด่านนี้ สวีโย่วถอนหายใจอย่างโล่งอก บอกเป็นนัยให้เจียงไป๋ให้ซองแดงแก่เหล่าน้องชายภรรยาของเขา เสิ่นเจวี๋ยน้องภรรยาที่ซื่อสัตย์ที่สุดย่อมได้เยอะที่สุด

 

 

ทว่าเถาฮวาที่เฝ้าประตูกลับไม่ยอมเปิดประตูเด็ดขาด โวยวายเสียงดัง “ให้ซองแดง ให้ซองแดง คุณหนูของเราบอกว่าหากให้ซองแดงไม่มากพอก็จะไม่เปิดประตูให้”

 

 

ทุกคนหัวเราะร่าพร้อมกัน สวีฉั่งคุณชายสี่จวนจิ้นอ๋องม้วนแขนเสื้อขึ้นอย่างไม่เชื่ออาสาเดินเข้าไปผลักประตู ก็แค่เด็กผู้หญิงไม่ใช่หรือ จะแรงเยอะเพียงใดกัน

 

 

ใครจะรู้เขากระทั่งใช้แรงทั้งหมดที่มี ประตูใหญ่บานนั้นก็ยังคงไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว ทุกคนก็หัวเราะครื้นเครงอีกครั้ง เถาฮวาข้างในยังคงตะโกนขอซองแดง ขอซองแดงใหญ่ๆ

 

 

สวีฉั่งอัดอั้นจนหน้าแดงก่ำแล้วก็ยังผลักประตูไม่ออก เขาเคยชินกับชีวิตคุณชายแล้ว ไม่รู้สึกขายหน้า หันหลังกลับไปถลึงตามองสหายที่หัวเราะเขา “พวกใจร้ายใจดำ เห็นข้าขายหน้าแล้วพวกเจ้ายังมีเกียรติอยู่อีกหรือ ยังไม่รีบมาช่วยอีก”

 

 

ในกลุ่มคนมีสหายสี่คนเดินเข้ามาทันที แต่พวกเขาร่วมกันออกแรง ประตูใหญ่จวนจงอู่โหวก็ยังแน่นิ่งไม่ขยับ เสียงหัวเราะข้างในก็ยิ่งดัง “เถาฮวาน้อยของพวกเราแรงเยอะ พวกท่านรีบให้ซองแดงเถอะ พยานรู้เห็นย่อมมีส่วน ให้หลายๆ ซองหน่อย”

 

 

สวีโย่วยืนมือไพล่หลังมองพวกเขาหัวเราะสนุกสนาน ตอนนี้จึงบอกเป็นนัยให้เจียงไป๋ให้ซองแดง งานมงคล งานมงคล ก็ต้องสร้างความครื้นเครงและเสียงหัวเราะจึงจะได้บรรยากาศ ไม่อาจจืดชืดเย็นชาเหมือนกับอะไรดี

 

 

เจียงไป๋แจกจ่ายซองแดงออกไปทั้งหมดสิบกว่าซองจากนั้นจึงเคาะประตู ในอ้อมอกเถาฮวากอดซองแดงเจ็ดแปดซองยิ้มจนตาปิด

 

 

“เร็วเข้าๆ ท่านเขยเข้ามาในจวนแล้ว รีบไปรายงานด้านใน” พ่อบ้านใหญ่ตะโกนเสียงดัง

 

 

สวีโย่วนำขบวนรับตัวเจ้าสาวเดินเข้าไปในจวน ทว่าเขาดีใจเร็วเกินไป หน้าประตูเรือนเฟิงหวาเหล่าชนรุ่นหลังของหมู่บ้านตระกูลเสิ่นยืนวางมาดรออยู่นานแล้ว พวกเขาสวมชุดสีดำ ช่วงเอวมัดผ้าคาดเอวสีแดง ในมือถือทวนยาวเหมือนกัน บนทวนยาวก็มีผ้าสีแดงสดผูกอยู่เช่นกัน

 

 

โอวหยางไน่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย โบกมือบัญชา ชนรุ่งหลังเหล่านี้ของหมู่บ้านตระกูลเสิ่นก็ตั้งแนวรบทันที ตะโกนเสียงดังก้องโสตประสาท พลังที่พุ่งออกมานั้น เหล่าสหายที่มารับตัวเจ้าสาวต่างก็อ้าปากค้าง พากันส่งสายตาเห็นใจไปยังเจ้าบ่าว

 

 

ทว่าสวีโย่วกลับไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่นิดเดียว น้องสี่แซ่เสิ่นเด็กชั่วผู้นั้น จะให้เขาอุ้มหญิงงามกลับง่ายๆ ได้อย่างไร

 

 

หลีฮวายืนทำความเคารพอย่างงดงามอยู่บริเวณประตูลานบ้าน “ท่านเขย คุณหนูของเรารออยู่ในห้องเจ้าค่ะ” ความหมายนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ อยากแต่งคุณหนูของพวกข้าเช่นนั้นก็ต้องแสดงความสามารถออกมา

 

 

เถาฮวาแทรกตัวผ่านช่องว่างอย่างคล่องแคล่ว วิ่งไม่กี่ก้าวก็เข้าไปในลานบ้านแล้ว ยังไม่ลืมที่จะหันหน้ากลับมาแลบลิ้นให้เหล่าสหายที่มารับตัวเจ้าสาวที่ยืนตะลึงงันอยู่

 

 

“คุณหนู คุณหนู ดูสิว่าข้าได้ซองแดงมาเยอะเลย” เถาฮวาหยิบซองแดงในอ้อมอกให้เสิ่นเวยดูอย่างดีใจ ดวงตาเปล่งประกาย ราวกับเด็กที่รอคำชม

 

 

เสิ่นเวยย่อมชมนางอย่างไม่งกเลยแม้แต่นิดเดียว “ทำดีมาก คราวนี้เถาฮวาก็รวยแล้ว” ไม่ต้องยื่นมือไปจับเสิ่นเวยก็รู้ว่านี่เป็นซองใหญ่ เถาฮวาเป็นคนที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดข้างกายนาง ขอเพียงแค่ตาไม่บอดใครบ้างจะกล้าปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม

 

 

ถวาฮวามีความสุขมากกว่าเดิม “คุณหนู คุณหนู ข้ากั้นท่านเขยอยู่พักใหญ่ เขาอยู่นอกเรือนของพวกเรา จะให้ข้าไปปิดประตูอีกหรือไม่

 

 

เสิ่นเวยลูบศีรษะของเถาฮวา กล่าว “ไม่ต้องแล้ว เถาฮวาอยู่เป็นเพื่อนข้าในห้องเถอะ มีอาจารย์โอวหยางอยู่ เขาไม่มีทางเข้ามาได้ง่ายขนาดนั้นหรอก” มุมปากของเสิ่นเวยยกสูง อารมณ์ดียิ่งนัก

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวและคนอื่นๆ ในจวนรู้เรื่องแนบรบหน้าประตูเรือนเฟิงหวาแล้ว ลุงทั้งสองของเสิ่นเวยตกตะลึงจนอ้าปากค้างเช่นเดียวกับเหล่าสหายที่มารับตัวเจ้าสาว สีหน้าของพ่อนางก็ไม่ดีอย่างยิ่งเช่นกัน “สร้างเรื่อง เวยเอ๋อร์สร้างเรื่องเกินไปแล้ว” หันหลังกลับกำลังจะเดินไปข้างนอก

 

 

“เจ้าจะไปไหน” นายท่านผู้เฒ่าโหวเหลือบตาขึ้น

 

 

“ลูกจะไปดูเสียหน่อย ให้ผู้ช่วยเด็กซนเหล่านั้นรีบๆ ออกไป” เวยเอ๋อร์ดื้อรั้นเอาแต่ใจเช่นนี้ หากท่านเขยโมโหขึ้นมาจะทำอย่างไร วันมงคล วุ่นวายแล้วคงจะไม่ดีอย่างยิ่ง

 

 

“กลับมา” นายท่านผู้เฒ่าโหววางแก้วชาลงบนโต๊ะทันที ชายตามองลูกคนที่สามปราดหนึ่งอย่างไม่ยินดีนัก กล่าวเสียงเรียบ “เวยเอ๋อร์ไหนเลยจะทำไม่ดี หลานสาวของข้าเสิ่นผิงยวนจะแต่งงานได้ง่ายๆ เพียงนั้นเชียวหรือ ไม่แสดงความสามารถออกมาก็คิดจะแต่งไข่มุกล้ำค่าในมือของข้าเสิ่นผิงยวนไปหรือ เหอะ!”

 

 

เสิ่นหงเซวียนมองใบหน้าโกรธเกรี้ยวของพ่อเขา สุดท้ายก็ไม่กล้าออกไป

 

 

สหายที่มารับตัวเจ้าสาวแม้ว่าด้านการเรียนจะไม่ปราดเปรื่องนัก แต่อย่างน้อยๆ ก็พอจะเป็นยุทธ์อยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้หลังคนหนึ่งกลุ่มหายตกใจแล้วก็ถูฝ่ามืออยากลงประลอง วิ่งเข้าไปในลานบ้านทันที ยังไม่ทันได้แสดงหมัดมวย ก็ถูกชนรุ่นหลังหมูบ้านตระกูลเสิ่นโยนออกไปทีละคนๆ แล้ว จนตรอกยิ่งนัก

 

 

สวีโย่วเองก็ไม่ได้หวังจะพึ่งพวกเขา เขาลูบจมูก ก้าวไปข้างหน้าช้าๆ โอวหยางไน่ประจันหน้าเข้ามาทันที อันที่จริงในใจเขาก็จนปัญญา คุณหนูบอกแล้วว่า หากเขากล้าปล่อยให้เข้ามา เขาก็ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง เพื่อที่จะไม่รับผิดชอบเขาจึงจำเป็นต้องขวาง!

 

 

ทว่าสวีโย่วกลับไม่ได้ตั้งรับกระบวนท่าของโอวหยางไน่ แต่กวาดสายตามองเจียงไป๋และคนอื่นๆ ปราดหนึ่ง เจียงไป๋และคนอื่นๆ กระโดดออกไปก่อตัวเป็นบันไดคน สวีโย่วใช้พลังที่รวดเร็วไม่อาจตั้งตัวเหยียบบันไดคนอาศัยแรงคนหลายขั้นก็ข้ามผ่านยอดศีรษะของชนรุ่นหลังหมู่บ้านตระกูลเสิ่นแล้ว เหล่าชนรุ่นหลังหมู่บ้านตระกูลเสิ่นยังไม่ทันได้สติกลับมา สวีโย่วก็กางปีกใหญ่อันงามสง่าตกลงบนพื้นแล้ว เขาหมุนตัวยกมุมปากเบาๆ ให้ทุกคน ชุดแดงทั้งร่างไม่ยับเลยแม้แต่นิดเดียว เดินเข้าไปในเรือนด้วยความผ่าเผย

 

 

ทุกคนตกใจจนคางแทบจะหล่นลงมาแล้ว ไม่ใช่ว่ากันว่าคุณชายใหญ่เป็นคนขี้โรคหรอกหรือ คนขี้โรคสามารถใช้วิชาตัวเบาที่ยอดเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่งเพียงนี้ได้ด้วยหรือ เจ้าเชื่อหรือไม่ ทุกคนมองหน้ากันไปมา พากันส่ายหน้า

 

 

ไม่ใช่บอกว่าคุณชายใหญ่เป็นคนหน้าตายยิ้มไม่เป็นหรือ เมื่อครู่คนที่ยิ้มจนพวกเขาสั่นสะท้านผู้นั้นคือใคร

 

 

“เข้ามาแล้ว เข้ามาแล้ว ท่านเขยเข้ามาแล้ว” เหล่าสาวใช้ร้องตะโกน

 

 

ฮูหยินสวี่กับฮูหยินจ้าวที่รอต้อนรับอยู่ข้างนอกก็เร่งฝีเท้าเข้ามา “ผ้าคลุมหน้าเล่า รีบคลุมให้เวยเอ๋อร์!”

 

 

แม่นมมั่วสวมมงกุฎหงส์ลงบนศีรษะของเสิ่นเวยอย่างรวดเร็ว หลีฮวาคลุมผ้าคลุมหน้าสีแดงฉานบนศีรษะนางทันที เสิ่นรู้สึกเพียงคอถูกกด ดวงตาแดงก่ำ เอาล่ะ เหตุใดถึงไม่มีใครบอกนางว่ามงกุฎหงส์หนักเพียงนี้ แทบจะกดจนลำคอเล็กๆ ที่บอบบางของนางหักอยู่แล้ว

 

 

ตอนที่สวีโย่วเข้ามาก็มองเห็นเสิ่นเวยยืนอยู่อย่างดงามตรงนั้น สีแดงที่สะท้อนเข้ามาในม่านตาทำให้หัวใจของเขาอบอุ่น เขาก้าวเข้ามาหาเสิ่นเวยช้าๆ “ข้ามาแล้ว”

 

 

คำสามคำง่ายๆ ถูกสวีโย่วพูดออกมาได้อย่างอ่อนโยนที่สุด ใช่ ข้ามาแล้ว ข้ามเขาข้ามน้ำพันหมื่นลี้เพื่อมาแต่งเจ้า! แม่นางผู้เป็นที่รัก ข้าจะเอาความรักและชีวิตของข้ามอบให้ด้วยสองมือ ท่ามกลางความงามนับพันหมื่นเจ้าจะยอมออกไปเผชิญพร้อมกับข้าหรือไม่ นับจากนี้ไปน้ำค้างยามเช้าจะเฝ้ารอเจ้า อาทิตย์อัสดงจะร้องเพลงให้เจ้าฟัง แม่นางผู้เป็นที่รักของข้า ชั่วชีวิตนี้พวกเราจะจับมือกันเดินไปบนเส้นทางธุลีแดง

 

 

เสียงประทัดข้างนอกดังขึ้น เสิ่นเวยกับสวีโย่วถูกทุกคนติดตามไปกราบลาญาติที่เรือนใหญ่

 

 

นายท่านผู้เฒ่ากับนายหญิงผู้เฒ่านั่งตัวตรงอยู่ในห้องโถง เสิ่นเวยคุกเข่าลงกับพื้นโขกศีรษะสามครั้งอย่างตั้งใจจริง สวีโย่วเป็นจวิ้นอ๋อง ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าไหว้ แต่เขาก็ยังคงเลิกชุดคลุมนั่งคุกเข่าลงตรงหน้านายท่านผู้เฒ่าโหวเป็นเพื่อนเสิ่นเวย เขารู้ว่านายท่านผู้เฒ่าโหวเป็นคนที่ภรรยาของเขาเคารพที่สุด

 

 

นายหญิงผู้เฒ่ารู้สึกมีเกียรติมากเป็นพิเศษ รอยยิ้มบนใบหน้าก็จริงใจขึ้นหลายส่วน กล่าวกับเสิ่นเวยว่าหลังแต่งงานต้องเคารพผู้อาวุโส เชื่อฟังสามี รักใคร่กับน้องสะใภ้ต่างๆ นานาหลายประโยคด้วยใบหน้าเมตตาอ่อนโยน

 

 

ทว่านายท่านผู้เฒ่าโหวกลับมีสีหน้าเคร่งขรึมไม่พูดจา เขาไม่ยินดี ไม่ยินดีเลยแม้แต่นิดเดียว คุณชายใหญ่สวีคุกเข่าให้เขาเขาเองก็ไม่ยินดี ไข่มุกในมือที่ล้ำค่าของเขาถูกเด็กชั่วผู้นี้แต่งไปแล้ว เขาจะทำหน้าดีๆ ให้เขามองได้อย่างไร

 

 

“ท่านพ่อ วันนี้เป็นวันมงคลของเวยเอ๋อร์ ท่านสั่งเสียเวยเอ่อร์สักหน่อยเถิด” เสิ่นหงเหวินสามพี่น้องข้างๆ เป็นกังวลยิ่งนัก ท่านเขยสี่จวิ้นอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ให้เกียรติขนาดนี้แล้ว แต่ท่านพ่อกลับยังหน้าดำคร่ำเครียด พวกเขากลัวว่าท่านพ่อจะทำอะไรที่ไม่เหมาะสมออกมา

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวมองลูกชายสามคนอย่างไม่พอใจปราดหนึ่ง กล้ำกลืนอยู่นานจึงกล่าวกับหลานสาวหนึ่งประโยค “หากชีวิตไม่ราบรื่นก็กลับจวน เรื่องที่ใหญ่เท่าฟ้าปู่ก็แบกรับแทนเจ้าได้”

 

 

หนึ่งประโยคแทบจะทำให้เสิ่นเวยน้ำตาไหล นางกัดริมฝีปากกล่าวเสียงเบา “เจ้าค่ะ หลานทราบแล้ว” นางโขกศีรษะด้วยความเคารพนบนอบให้ท่านปู่อีกครั้งจึงลุกขึ้น

 

 

“ท่านปู่วางใจ ไม่มีวันนั้นหรอก” สวีโย่วมองคนข้างกาย สาบานอย่างหนักแน่น

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวมองเขาอย่างเย็นชา แค่นเสียงอยู่ในจมูกไม่เปล่งออกมา สายตาถลึงมองหลานเขยที่ฉกฉวยผลประโยชน์อย่างไม่ยินดี กล่าวเตือน “จำคำเจ้าไว้แล้วกัน”

 

 

สวีโย่วเลิกคิ้ว ถือเป็นคำตอบ

 

 

กราบลาปู่ย่าแล้ว ต่อไปก็กราบลาพ่อแม่ เสิ่นเวยกับสวีโย่วโขกศีรษะให้ท่านพ่อและแท่นบูชาท่านแม่สามครั้ง เทียบกับความรู้สึกที่ซับซ้อนของเสิ่นหงเซวียน ความรู้สึกของเสิ่นเวยสงบนิ่งยิ่งกว่า เดิมนางก็ไม่ได้มีความผูกพันกับบิดาผู้นี้อยู่แล้ว หวังจะเห็นนางร้องห่มร้องไห้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

 

 

ข้างนอกมีเสียงครึกครื้นดังขึ้น ประทัดที่งานแต่งจุดขึ้นสามครั้งแล้ว