บทที่ 378
ภูเขาหิมะ
หลิวจือหลิงดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง พร้อมทั้งตะโกนไปด้วยในเวลาเดียวกัน
แม่นมหลิวนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นตัวสั่นเทิ้ม ปากร้องขอความเมตตาอย่างต่อเนื่อง “องค์จักรพรรดิ ได้โปรดไว้ชีวิตด้วย องค์จักรพรรดิ ได้โปรดอภัยให้คุณหนูหลิวด้วยนะเพคะ คุณหนูหลิวยังเด็กจึงทำอะไรลงไปโดยไม่ได้คิดให้ดี” เธอเอาแต่คำนับพร้อมทั้งร้องไห้ออกมา
ทั้งหมดเป็นความผิดของเธอเองที่ไม่ได้พูดกับคุณหนูหลิวให้ชัดเจนว่าวังหลังเป็นสถานที่ที่วุ่นวายสำหรับเด็กสาวและอาจจะทำให้นางต้องสูญเสียชีวิตของตัวเองได้ง่ายๆ
หลินหยางโบกมืออีกครั้งและทหารก็เข้ามาลากแม่นมหลิวออกไปทันที คนที่เหลือก็คือเหล่าสนมจากคณะกรรมการตรวจสอบวินัยซึ่งกลัวจนไม่กล้าจะขยับไปไหนเลย พวกเธอมาผิดวันจริงๆ น่าขำจริงๆที่คิดว่าองค์ราชินีจะมีจุดจบที่ไม่สวย
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเหล่านางสนมก่อนหน้านี้ถึงได้ปิดประตูตำหนักกันเงียบ ดูเหมือนว่าพวกนางเองก็จะรู้ท่าทางขององค์จักรพรรดิดีแล้ว
หลินหยางและมู่หรงไม่ได้สนใจพวกนาง และปล่อยให้พวกเธอนั่งคุกเข่าอยู่อย่างนั้น
หลังจากการพยายามถึงสองครั้ง เหล่าผู้หญิงในวังหลังก็เข้าใจทุกอย่างได้อย่างดีแล้ว
สองเดือนต่อมา
ไม่มีใครในราชสำนักกล้าที่จะตั้งคำถามกับนโยบายต่างๆของจักรพรรดิองค์ใหม่ ที่ถนนมีรถบัสวิ่งอยู่บนถนน, ทุกที่ต่างก็มีป้ายสัญญาณอยู่ทั่ว, ถนนก็กว้างขวาง เศรษฐกิจของ หลิวตงและเมืองที่เจริญรุ่งเรืองได้เปลี่ยนความคิดของทุกคน
พวกเขาไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้ใช้ชีวิตแบบนี้ พวกเขาถึงกับจัดตั้งห้องร้องเรียนในสถานที่ต่างๆ
รายงานการคอร์รัปชันจะได้รับการสืบสวนอย่างจริงจัง
ประชาธิปไตยของประชาชนมาถึงจุดสูงสุดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ในหัวใจของประชาชนหลินหยางยิ่งเหมือนเทพเจ้ามากขึ้นไปอีก สำหรับองค์ราชินีอันเป็นที่รักขององค์จักรพรรดิ ประชาชนต่างก็ยกให้มู่หรงเสวี่ยเป็นหญิงงามที่แสนพิเศษ
เหล่าผู้หญิงในวังหลังก็ค่อยๆที่จะลืม สุดท้ายพวกนางก็เจอวิธีที่จะใช้ชีวิตอยู่ในวังหลังได้
ไม่มีดินแดนไหนเคยมีวังหลังที่เงียบสงบแบบนี้มาก่อน เหล่านางสนมบางครั้งก็จะออกมาปลูกดอกไม้กันบ้าง, เลี้ยงนกบ้าง, และบางครั้งก็จะออกมาเรียนรู้เรื่องการกินและคุยกันเรื่องการทำอาหาร
สำหรับองค์หญิงต่างๆของทั้งสามดินแดน พวกนางก็ถูกกำจัดออกไปอย่างเงียบๆพร้อมด้วยเหล่าสาวใช้
ตอนที่เฟิงอู๋ซีถูกจัดการในห้องของนางก็ไม่ได้นองเลือดมากนัก ก่อนที่นางจะตาย เธอเอาแต่ขอร้องกับมือสังหารที่จะมาฆ่าเธอว่าให้ฆ่าเธอด้วยความเร็วด้วย
ส่วนเสี่ยวหงนั่นต้องตายเพราะถูกทรมานแบบนั้นเป็นเรื่องที่หลายคนได้แต่คาดเดาไปต่างๆนานา อย่างไรก็ตามร่างกายของเธอสกปรกมอมแมมไปหมดจนมองไม่เห็นส่วนของผิวหนังที่ดีเลยซึ่งทำให้ทนมองไม่ได้ด้วยซ้ำ ส่วนเฟิงอู๋ซีที่ขัดขืนอย่างบ้าคลั่งแต่สุดท้ายก็ต้องตายด้วยการดื่มยาพิษ
ก่อนที่เธอจะตาย เธอพูดเพียงแค่ว่า “บางทีข้าน่าจะตายต่อหน้าองค์จักรพรรดินะ” จนถึงตอนนี้เธอก็ยังเป็นเธอคนเดิม เธอกลัวที่จะต้องดื่มยาพิษแต่วังหลังถูกแยกออกมาอยู่ห่างไกลซึ่งก็เหมือนกับบ้านที่ถูกใช้แทนคุกก็ว่าได้ เหล่าสาวใช้ที่คอยเฝ้าอยู่หน้าประตูของวังหลังต่างก็รู้สึกเศร้ามากที่พวกเธอจะไม่ต้องมาอยู่ในวังหลังอีกแล้ว ถึงแม้มันจะดูโหดร้ายที่พวกเธอต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ตั้งแต่ยังเด็ก แต่ก็พูดได้ว่าชีวิตก็ไม่เคยยุติธรรมอยู่แล้ว
เหล่าขอทานที่อยู่ตามท้องถนนต่างก็มีความสุขที่ได้มีอาหารและเสื้อผ้าให้ได้กินได้ใช้ในทุกๆวัน ความหวังของคนตาบอดก็คือการได้มองเห็นท้องฟ้าที่สดใส คนธรรมดาทั่วไปต่างก็ได้มีชีวิตที่ดีขึ้นมาก ดังนั้นเสียงของผู้คนจึงถูกครอบงำด้วยความปรารถนา
มู่หรงเองก็มีความปรารถนาไม่ต่างกัน เธอหวังที่จะได้ตามหาพ่อแม่ของตัวเองให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
บางคนก็หลงระเริงอยู่ในอำนาจ แต่จะบอกว่าคนแบบนี้เป็นคนไม่ดีได้งั้นเหรอ?! แน่นอนว่าไม่ได้เพราะนี่ก็เป็นแค่ความปรารถนาที่แตกต่างกัน
สองเดือนต่อมา ในที่สุดหลินหยางก็จัดการหน้าที่ของตัวเองเสร็จเรียบร้อย เขาเลือกคนใกล้ชิดที่ไว้ใจได้หลายคนให้เข้ามาช่วยเรื่องราชสำนักแล้วเขาก็ออกมาข้างนอกด้วยเสื้อผ้าที่ธรรมดา แน่นอนว่ามีองครักษ์ชุดดำที่มากด้วยฝีมือติดตามออกมาด้วยมากมาย ยังไงซะก็ยังศัตรูที่เหลือจากราชวงศ์สมัยที่แล้วอยู่อีกมาก
เขาจะเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นไม่ได้ ยังไงซะก็ยังมีคนที่เจ็บปวดจากการต้องสูญเสียบ้านของตัวเองอยู่
เขาต้องระวังไว้ก่อน เพราะถ้าเขาตายแผนการมากมายพวกนั้นก็คงจะต้องสะดุด
มู่หรงและหลินหยางนั่งอยู่ในรถม้าที่ดูธรรมดาๆ ถึงมันดูเรียบง่ายแต่อันที่จริงแล้วมันดูหรูหราอย่างมาก ทั้งเบาะที่นุ่มนิ่ม, กว้างสบายและพร้อมด้วยบาร์ขนมอีก
“การเป็นองค์จักรพรรดิทำให้เจ้ารู้สึกอึดอัดหรือเปล่า?” มู่หรงที่นอนอยู่ฝั่งตรงข้ามของหลินหยางถามขึ้นมา
“ตอนที่ข้าเป็นประชาชน ข้าคิดว่ามันคงจะดีถ้าได้เป็นท่านลอร์ดของเมือง ข้าคงจะมีชีวิตที่สะดวกสบายและไร้กังวลจากภัยคุกคามใดๆ หลังจากที่ได้เห็นการพัฒนาของทั้งสามดินแดน ข้าก็รู้สึกว่าเราควรที่จะสร้างดินแดนบ้าง ไม่งั้นเราจะเทียบกับพวกเขาได้ยังไง ตอนนี้เมื่อข้าได้ครองทั้งโลกแต่ข้าก็ยังรู้สึกสับสนและอยู่ดีๆก็รู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตอยู่บนความว่างเปล่า” หลินหยางพูดเสียงเรียบ
มู่หรงเหล่ตาไปที่เขา “หาสาวสวยสักคนมาอยู่ด้วยสิจะได้ไม่รู้สึกเหงา”
“ข้าไม่ได้รู้สึกเหงา ข้าคิดว่าชีวิตมันน่าเบื่อแต่ก็ยังไม่อยากจะตาย”
“นี่เจ้าหนูหลิน ข้าบอกได้เลยนะว่านี่เป็นอาการป่วยทางจิตแล้วล่ะ เรียกว่าเข้าวัยทอง โรคแห่งความว่างเปล่า เจ้าต้องไปหาหมอแล้วล่ะ” มู่หรงมองไปที่เขาด้วยสายตาดูถูกและพูดออกมา
“ไปให้พ้นเลย คุยเรื่องชีวิตกับเจ้านี่มันเสียเวลาเปล่าจริงๆ” หลินหยางมองไปที่เธอพร้อมทั้งพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ก็ข้าไม่ใช่ลูกบอลนี่ที่จะได้กลิ้งไปกลิ้งมาได้เหมือนเจ้า อีกอย่างนะข้าพูดเรื่องจริง เจ้าต้องคิดเรื่องนี้ดีๆ บางทีวันหนึ่งเจ้าอาจจะเข้าใจความจริงที่ข้าพูดและเลื่อนขั้นขึ้นไปอยู่สวรรค์แทน” มู่หรงหยิบติ่มซำที่อยู่ในรถม้าออกมาและกินเข้าไปในขณะที่พูดออกมา
หลินหยางไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าเธอด้วยซ้ำ
“ได้ยินที่ข้าพูดหรือเปล่าเนี่ย?” มู่หรงเห็นว่าเขาไม่ตอบจึงถามออกไปอีกครั้ง
“ได้ยิน ข้าไม่ได้หูหนวกนะ” หลินหยางลืมตาขึ้นอย่างขี้เกียจและมองไปที่เธอ ในโลกนี้มีผู้หญิงแบบนี้อยู่ได้ยังไงเนี่ย
“เจ้ามองอะไร? ชอบข้าขึ้นมาแล้วหรือไง?” มู่หรงพูด
ฟู่!
หลินหยางแทบจะสำลักออกมา “เจ้านี่หน้าด้านจริงๆ ข้าไม่ชอบผู้หญิงอย่างเจ้าหรอก”
มู่หรงเสวี่ยเลิกคิ้วขึ้น “ทำไมล่ะ?”
“ทำไมอะไร? ก็เจ้าเป็นแบบนี้ไงล่ะ” หลินหยางพูด
“พวกผู้หญิงในวังหลังของเจ้าต่างก็ดูอ่อนหวานแต่ข้าก็ไม่เห็นเจ้าจะชอบพวกนางเลย” มู่หรงพูด
“ลืมพวกนางไปเถอะ” จะพูดยังไงดีล่ะ เพราะช่วงเวลาที่ต่างกัน เขาไม่ชอบผู้หญิงของโลกนี้เท่าไร ถึงแม้พวกนางจะสวยแต่เขาชอบผู้หญิงที่เข้มแข็งและเป็นผู้ใหญ่มากกว่า
มู่หรงที่อยู่ในรถม้าที่โคลงเคลงเริ่มที่จะหลับตาและผล็อยหลับไป
หลินหยางมองไปที่ใบหน้าที่กำลังหลับของเธอ ในหัวใจไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเพียงแต่คิดว่าถ้าโลกนี้ไม่มีคนที่เหมือนกับเขา มันก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าโดดเดี่ยวอย่างเลี่ยงไม่ได้
ไม่สำคัญว่าเขาจะชอบหรือเปล่า แต่ก็คงจะมีความสุขกว่าถ้าได้อยู่กับคนที่เหมือนกันเพราะงั้นเขาถึงแวะไปที่ตำหนักเธอทุกวัน
ถึงแม้จะไม่ได้รักแต่มีเพียงมู่หรงเท่านั้นที่สามารถคุยกับเขาได้รู้เรื่อง ส่วนพวกผู้หญิงที่ตำหนักหลักก็เอาแต่ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ตลอด พอได้คุยก็มีแต่ทำให้เขารู้สึกปวดหัวแล้วแบบนี้เขาจะรู้สึกอะไรด้วยได้ยังไงกัน
ที่ผ่านมา องค์จักรพรรดิคือตำแหน่งที่สูงที่สุดสำหรับคนที่ครองโลกได้ แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้อะไรเลย อย่างไรก็ตามการที่ทำให้ประชาชนยิ้มได้เป็นกำไรสูงสุดของเขาแล้ว
มีการดำเนินการรถโดยสารในเขตมหานครปักกิ่ง รถยนต์ยังไม่มีการผลิตออกมา ดังนั้นในตอนนี้พวกเขาจึงต้องใช้รถม้าซึ่งค่อนข้างที่จะช้า
พวกเขาต้องขึ้นไปที่ภูเขาหิมะใหญ่ หลินหยางไม่รู้ว่าทำไม จากวันที่เขาขึ้นครองราชย์จู่ๆเขาก็มีข้อมูลนี้เข้ามาอยู่ในหัวเอง
สายเลือดมังกรงั้นเหรอ?! หลินหยางยิ้ม
เมื่อมองย้อนกลับไปในชีวิตที่แล้ว ดูเหมือนว่ามันจะผ่านมาสิบล้านปีแล้ว มันทำให้เขารู้สึกสับสนไม่มากก็น้อย
หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยตื่น รถม้าก็หยุดลง
“ตื่นได้แล้ว เราถึงโรงเตี๊ยมแล้ว นี่นอนหลับอย่างกับตายเลยนะ” หลินหยางรอเธออยู่หนึ่งชั่วโมงเต็มๆ
มู่หรงขยี้ตา ไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว
หลินหยางมองไปที่ท่าทางน่ารักของมู่หรง ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆถึงอยากจะหัวเราะออกมา
“หมูน้อย ลุกขึ้นเร็ว นี่ดึกแล้วนะ ไม่หิวหรือไง?” หลินหยางพูด
เมื่อได้ยินคำว่าอาหารมู่หรงเสวี่ยก็อารมณ์ดีขึ้นมาเลย
“มาเถอะ หิวแล้ว” มู่หรงกระโดดลงมาจากรถม้าโดยไม่สนใจร่างขององครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างล่างเลย
หลินหยางอยู่ข้างหลังเธอรู้สึกพูดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ ทั้งหมดนี่เป็นภาพหลอนใช่ไหม เธอคนนี้ไม่มีความเป็นผู้หญิงเลยสักนิด
หลังจากนั้นพวกเขาก็ใช้ชีวิตแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่บนรถม้าต่ออีกหลายวัน เมื่อค่ำก็หาโรงเตี๊ยม ถ้าไม่มีโรงเตี๊ยมก็ตั้งแคมป์นอนกันข้างนอกเลย โชคดีที่บอดี้การ์ดชุดดำทุกคนต่างก็มีฝีมือทั้งเรื่องการสังหารและการล่าสัตว์ด้วย
ตลอดทางมู่หรงเสวี่ยดูจะสนุกอย่างมาก
เมื่อพวกเขามาถึงขอบของภูเขาหิมะใหญ่
มู่หรงเสวี่ยก็ตัวสั่นเพราะความหนาว ยังไงซะที่นี่เธอก็ไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณที่จะทำให้ร่างกายของตัวเองอบอุ่นได้ ถึงแม้เธอจะสวมเสื้อผ้าหลายชั้นแล้วก็ตาม เธอก็ยังรู้สึกหนาวมากอยู่ดี
“หาว” มู่หรงเสวี่ยหาวอยู่หลายครั้ง
“ไม่ไหวเลย สวมไว้ซะ” หลินหยางเอาเสื้อโค้ทของเขามาสวมให้มู่หรง
มู่หรงไม่ได้ขอบคุณเขาแต่กลับห่อตัวเองจนกลมเป็นลูกบอลเพราะตอนนี้เธอหนาวจะตายอยู่แล้ว
“ที่นี่เหรอ?” เธอถาม
“ที่จุดสูงสุดของภูเขาน่ะ” หลินหยางตอบเสียงเรียบ
มู่หรงเสวี่ยถึงกับพูดไม่ออก แค่ที่ตีนเขาก็หนาวจะแข็งตายอยู่แล้ว แค่มองไปที่ยอดเขาเธอก็รู้สึกแย่แล้ว แล้วนี่เธอจะปีนขึ้นไปยังไงล่ะ
มู่หรงหันกลับมามองที่หลินหยาง “เจ้าพาข้าบินขึ้นไปที่ยอดเขาเลยได้ไหม?”
หลินหยางหัวเราะ “เจ้าก็ลองพาข้าบินขึ้นไปดูบ้างสิ”
นี่มันภูเขาสูง 2,000 เมตรเหนือน้ำทะเลเชียวนะ
“ถ้าตอนนี้ข้ามีพลังแห่งจิตวิญญาณ ข้าก็คงจะพาเจ้าบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้เร็วกว่าเครื่องบินแล้ว” มู่หรงมองไปที่เขาด้วยสายตาเย้อหยัน
หลินหยางแสยะ “เจ้าก็แค่จะเป่าข้าขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ง่ายๆแบบนั้นเลยเหรอ?! ฝัน ฝันไปแหละ นี่เจ้ายังไม่ตื่นหรือไง?”
“จะเชื่อหรือไม่ก็ช่าง” มู่หรงเดินออกไปโดยไม่สนใจสายตาของเขา
“นี่แม่คุณ จะไปไหนเหรอ?” หลินหยางจับเธอ
“อะไร ที่ไหนล่ะ?! ก็ปีนขึ้นไปไง” มู่หรงพูดโดยแทบจะไม่หายใจ
“เจ้าจะปีนขึ้นไปแบบนี้เนี่ยนะ?! อยากจะตายหรือไง?” หลินหยางจ้องไปที่เธอ
“มีอะไรงั้นเหรอ?”
“ตรงนั้นมีหิมะถล่ม ถ้าอยากจะตายก็ปีนขึ้นไปเลย” หลินหยางพูด
“งั้นเจ้าอยากจะทำยังไงล่ะ?” ไม่ช้าหรือเร็วมันก็ปีนขึ้นไปอยู่ดีไม่ใช่หรือไง?!
“เตรียมตัวให้พร้อมก่อนสิ” หลินหยางพูด
“ในเมื่อเจ้าไม่อยากที่จะไปอยู่แล้ว งั้นทำไมไม่รออยู่ที่นี่ล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เขา