หมากตัวหนึ่ง

คนที่เปิดประตูเข้ามานั้นไม่ใช่ใครอื่นนั่นก็คือซูจิ้ง จ้าวหยวนและเฉิงหนานต่างตกใจเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะปรากฏตัวที่นี่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จ้าวหยวนมองออกไปที่ประตูพร้อมแสดงสีหน้าสงสัยว่า ว่าพวกคนที่เฝ้าประตูปล่อยให้ซูจิ้งเข้ามาได้ยังไง เขาได้สั่งพวกนั้นไปแล้วว่าห้ามใครรบกวน

 

“คุณซู ทำไมคุณถึงมาที่นี่กันหล่ะ” เฉิงหนานหยุดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นหน้าซูจิ้ง พอเธอเห็นหน้าของชายหนุ่มคนนี้แล้วทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างน่าประหลาด จากคำพูดของจ้าวหยวนก่อนนี้เธอสามารถบอกได้เลยว่าจ้าวหยวนไม่มีทางยอมแพ้แน่นอน เธอนั้นนึกย้อนกลับไปตอนที่เธอพยายามแก้ปัญหาเรื่องนี้เองด้วยการตัดขาดจากตระกูล ต่อให้ตอนนี้เธอยังอยู่ในตระกูลเฉิง ตระกูลของเธอก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้อย่างแน่นอน

 

“คุณซู ผมว่าผมไม่ได้เชิญคุณมาที่นี่นะ คุณไม่คิดว่าจะเคาะประตูก่อนเข้ามาเลยรึไง” จ้าวหยวนพูดออกมาด้วยท่าทีเย็นชา ซูจิ้งนั้นไม่ยอมไว้หน้าเขาตอนงานเลี้ยงคืนนั้น แถมตอนนี้ยังบุกมายุ่งเรื่องของเขาถึงที่นี่อีก

 

ซูจิ้งนั้นไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของจ้าวหยวนแม้แต่น้อย เขาเดินตรงไปที่เฉิงหนานพร้อมพูดว่า “คุณเฉิงเดี๋ยวคุณออกไปก่อนนะ ผมมีอะไรจะคุยกับคุณจ้าวนิดหน่อย”

 

เมื่อได้ยินดังนั้นเฉิงหนานก็ทำอะไรไม่ถูก เธอไม่รู้ว่าทำไมซูจิ้งถึงอยากให้เธอออกไป มันทำให้เธอทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน อย่างไรก็ตามการมาของซูจิ้งนั้นย่อมทำให้เขาต้องมีปัญหากับจ้าวหยวนอย่างแน่นอน ยังไงซะจ้าวหยวนก็ยังเป็นคนตระกูลจ้าว ซูจิ้งจะทำอะไรจ้าวหยวนได้กัน เฉิงหนานมองไปที่ซูจิ้งอีกครั้ง ในที่สุดเธอก็ยอมเดินออกจากห้องไปพร้อมปิดประตู

 

จ้าวหยวนรู้สึกเป็นปฎิปักษ์กับซูจิ้งในสิ่งที่เขาทำไปเป็นอย่างมาก ทันทีที่กำลังจะเปิดปากพูด เขาก็ได้ยินเสียงของซูจิ้งพูดออกมาว่า “จ้าวหยวน จงบอกเรื่องเลวทรามทั้งหมดที่แกทำออกมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเล็กก็ตาม” ในตอนนั้น จ้าวหยวนนึกยิ้มเยาะในใจและอยากจะพูดสวนกลับไปว่านี่แกกล้ามาสั่งฉันอย่างงั้นเรอะ แกมีสิทธิอะไร แต่ทันใดนั้นเขาก็มีความรู้สึกว่าสมองของเขามึนงง หัวหมุน วิงเวียน หน้ามืดตาลาย นั่นเป็นเพราะผลจากคลื่นพลังจิตของซูจิ้งที่ถาโถมเข้าใส่อย่างกับเทน้ำทะเลลงในจอกน้ำจนกระทั่งทำให้จ้าวหยวนไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขามีความรู้สึกโง่งมพูดเรื่องเลวทรามของตัวเองออกมาอย่างหมดเปลือก ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเลวทรามต่ำช้ามากน้อยแค่ไหน

 

“เฮอะ เหมือนกันทั้งพี่น้องเลยแหะ กลายเป็นว่าจ้าวซือหลงนั้นเลียนแบบเรื่องเลวๆ มาจากแกนี่เอง ตอนแรกฉันยังคิดอยู่ว่าแกไม่ได้เลวร้ายเหมือนกับจ้าวซือหลง ในเมื่อแกหาเรื่องก่อน ถ้าอย่างนั้นจะทำให้แกเป็นตัวหมากของฉัน”

ซูจิ้งพูดออกมา ในคืนงานเลี้ยงคืนนั้นจ้าวซือเฟิงนั้นยังยอมไว้หน้าซูจิ้งอยู่บ้าง แต่ซูจิ้งก็ยังนึกตะขิดตะขวงใจอยู่เหมือนกัน เลยใช้พลังจิตตรวจสอบทั้งสามคน ทำให้เขารู้ว่าเขาถูกจับตามองจากตระกูลจ้าวอยู่ ซึ่งเหตุผลก็เพราะเรื่องการตายของจ้าวซือหลง

ตอนแรกซูจิ้งยังคิดอยู่ว่าจะปล่อยเรื่องนี้ไป เพราะยังไงซะจ้าวซือเฟิงเองก็ไม่ได้มีหลักฐานเชื่อมโยงระหว่างเขาและการตายของจ้าวซือหลงอยู่แล้ว ต่อให้มี แต่เป็นไปได้ว่าหลังจากจ้าวหยวนสืบดูเรื่องของเขาแล้ว จึงได้ตัดสินใจไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วยเพราะเขาอยู่ฝ่ายตระกูลหวัง ซึ่งแน่นอนว่าเขาก็ไม่อยากยุ่งเรื่องของจ้าวหยวนเหมือนกัน ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้เขาเองก็ไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อจัดการเรื่องของจ้าวซือเฟิง ถึงแม้ว่าตระกูลจ้าวจะทำอะไรตระกูลหวังไม่ได้มากนัก ซูจิ้งก็ไม่อยากสร้างความวุ่นวายให้ตระกูลหวังอยู่ดี เพราะตัวเขานั้นนับวันยิ่งกลายเป็นจุดสนใจจากสายตาคนรอบข้าง ต่อให้ได้รับการปกป้องจากตระกูลหวังแต่เขาก็อยากจะหยุดปัญหาทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ซึ่งถ้าในตอนนี้มีปัญหาจากตระกูลจ้าวเข้ามาอีกเรื่องแล้วล่ะก็ ปัญหาที่เผชิญจะไม่ทางจัดการได้ง่ายๆแน่นอน

 

ตอนนี้ซูจิ้งได้ทำการสะกดจิตจ้าวหยวนโดยสมบูรณ์แล้ว ทำให้จ้าวหยวนการเป็นเพียงหุ่นเชิดของเขา ตอนนี้จ้าวหยวนกลายเป็นหูเป็นตาคอยสอดส่องเรื่องของตระกูลจ้าว กลายเป็นตัวหมากของเขาโดยสมบูรณ์ ในอนาคตนั้นเขาสามารถใช้จ้าวหยวนในการช่วยเหลือเขาอย่างลับๆได้ แน่นอน ซึ่งจากรายการความเลวที่จ้าวหยวนได้บอกเขาออกมาทั้งหมดนั้น ต่อให้บางอย่างไม่ได้เลวร้ายเลวทรามหินชาติซะทั้งหมด แต่ขนาดเรื่องที่เล็กที่สุดแล้วก็ยังต้องติดคุกเป็นสิบปีอยู่ดี ซูจิ้งไม่เคยให้ความเห็นใจแก่คนแบบหวังจ้าวอยู่แล้ว

 

“การจัดการเรื่องของจ้าวหยวนในครั้งนี้นี่ช่างได้ผลลัพท์ที่พิเศษสุดเลยจริงๆ การสะกดจิตแบบสมบูรณ์จะทำให้มันกลายเป็นคนโง่เง่าอย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่ฉันฝึกฝนวิถีสู่ความสงบ พลังจิตของฉันแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้ไม่เพียงฝึกได้ถึงขั้นที่สามของวิถีแห่งการหลับไหลแล้ว ยังเพิ่มอัตราความสำเร็จในการสะกดจิตอีกด้วย ดีจริงๆที่ได้ลองดู” ซูจิ้งนึกย้อนไปตอนที่สะกดจิตปันฉางได้สำเร็จนั้น เขาได้สะกดจิตให้ปันฉางรู้สึกติดหนี้บุญคุณจากซูจิ้งอย่างใหญ่หลวง ด้วยการที่เขาได้ช่วยชีวิตน้องสาวของปันฉางและปันฉาง นั่นทำให้เขายอมทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนซูจิ้ง ถ้าซูจิ้งต้องการอะไรเขาจะไม่อิดออดเลยแม้แต่น้อย เมื่อเทียบกับตอนนั้นแล้วช่างยากเย็นกว่าตอนที่สะกดจิตจ้าวหยวนเป็นไหนๆ

 

“ตู้ม”

 

พลังจิตของซูจิ้งกระแทกเข้าผ่านคลื่นสมองของจ้าวหยวนอย่างง่ายดาย พลังของเขาพุ่งเข้าไปในสมองของจ้าวหยวน ทั้งๆที่เพิ่งใช้พลังไปเพียงสิบส่วนเท่านั้น ณ ตอนนี้พลังจิตของซูจิ้งค่อยๆซึมลึกเข้าสู่สมองของจ้าวหยวนทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งเข้าไปสู่ห้วงความทรงจำของจ้าวหยวนได้

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ซูจิ้งที่ขัดสมาธิอยู่ได้ลืมตาขึ้นมาพร้อมๆกับที่จ้าวหยวนเองก็ลืมตาขึ้นมาเช่นกัน

เขามองกลับมาที่ซูจิ้งพร้อมโค้งคำนับพร้อมพูดขึ้นมาว่า “เจ้านายครับ”

“สำเร็จซักที” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยท่าทีที่ปลาบปลื้มในผลงานของตน เอา เอาจริงๆ ถ้าเขาอยากจะใช้การสะกดเพื่อทำเรื่องเลวร้ายล่ะก็ ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย แต่ด้วยการที่เขามีจิตใจที่มั่นคง ซื่อตรง และยึดถือในเกียรติ เขานั้นไม่มีทางทำเรื่องแย่ๆพวกนั้นอย่างแน่นอน

 

“ต่อจากนี้ห้ามนายไปรังควานเฉิงหนานอีก และต่อหน้าคนอื่น ความสัมพันธ์ของพวกเราจะยังคงต้องแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นศัตรูกันเหมือนเดิม เข้าใจไหม” ซูจิ้งถามย้ำอีกครั้ง

 

“เข้าใจแล้วครับ” จ้าวหยวนพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน

 

“ตอนนี้ก็มีเท่านี้แหล่ะ ถ้าฉันมีอะไรจะติดต่อนายอีกที” หลังจากได้เบอร์ของจ้าวหยวนแล้ว ซูจิ้งได้เดินออกจากห้อง

 

เฉิงหนานที่รออยู่หน้าห้องรีบเข้ามาพร้อมถามว่า “เป็นยังไงบ้างคะคุณซู”

 

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ตอนนี้เขาจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับเธออีกในอนาคต” ซูจิ้งกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม เฉิงหนานเมื่อได้ยินดังนั้นก็ได้แต่นิ่งเงียบไป เมื่อเธอมองไปในห้องก็เห็นจ้าวหยวนยกมือทักทายพร้อมรอยยิ้มที่เป็นมิตร ภาพที่เธอเห็นอยู่ตอนนี้ช่างต่างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ไม่มีความรู้สึกคุกคามอีกแต่ไป มีเพียงความรู้สึกที่เป็นมิตรมากจนบอกไม่ถูก

 

เฉิงหนานได้แต่คิดว่าตาฝาดไป แต่เธอก็พบว่าจ้าวหยวนในตอนนี้คุยด้วยได้ง่ายจนเหมือนเธอสนิทกับเขามานานปี ซูจิ้งคุยอะไรกับเขากันแน่ เธอได้แต่มองไปยังซูจิ้งด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง และได้แต่คิดว่าเธอยังดูแคลนซูจิ้งมากเกินไป

เฉิงหนานมองซูจิ้งอยู่นานจนเธอลืมหายใจพอรู้สึกตัวเลยต้องรีบหายใจเข้าเฮือกใหญ่

 

เธอต้องการที่จะตัดสินใจอะไรบางอย่างซึ่งเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตเธอ ทันใดนั้นเธอก็พูดว่า “คุณซูคะ เราพอจะนั่งคุยกันซักหน่อยได้รึเปล่าคะ”

 

“ถ้างั้นเข้าไปนั่งคุยกันในรถดีกว่า” ซูจิ้งพูดออกมาแล้วพวกเข้าก็เดินไปที่รถที่จอดรออยู่

 

“คุณซู ฉันคิดว่าตัวฉันเองพอจะมีความสามารถในการจัดการด้านการเงินและการจัดการงานทั่วไปอยู่บ้าง คุณคิดอย่างนั้นเหมือนกันรึเปล่าคะ” เฉิงหนานนั้นไม่ใช่ว่าเธอไม่มีเหตุผลที่ได้พูดออกมา ในขณะที่พูดนั้นเธอสวมชุดสูทเต็มตัวและเข้ารูปทำให้ดูเซ็กซี่พอสมควร ด้วยผมที่ยาวสลวย และหน้าตาที่ชวนหลงใหล สามารถดึงดูดสายตาคนได้อย่างแน่นอน ต่อให้ประโยคนี้จะมีคนอื่นพูดแต่ใครจะพูดได้อย่างมั่นใจและทรงเสน่ได้เหมือนเธอไม่มีอีกแล้ว

 

“คุณเฉิงคืออัจฉริยะในด้านธุรกิจอย่างแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วเราจำเป็นต้องพูดเรื่องความสามารถด้วยงั้นหรอ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง

 

“ช่างรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากค่ะที่คุณคิดเช่นนั้น นั่นทำให้ฉันมีความกล้าพอที่จะพูดในสิ่งที่คิดแล้ว งั้นฉันขอพูดเลยแล้วกันนะคะ คุณซูคะ ด้วยความสามารถของคุณนั้นคุณมีโอกาสทางธุรกิจ รวมถึงโอกาสด้านอุตสาหกรรมอย่างไม่ต้องสงสัยค่ะ เพียงแต่ว่าโอกาสเหล่านั้นของคุณได้กระจัดกระจายไปทั่วและยังไม่การจัดการที่ดีพอ ในส่วนของเรื่องเงินทุนนั้น คุณยังขาดเงินทุนหมุนเวียนในแต่ละผลิตภัณฑ์ของคุณ ต่อให้คุณชายหวังและคุณหนูหวังจะไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องเงินทุนก้อนนี้ แต่ฉันก็กลัวว่าสักวันคุณจะจัดการมันไม่ได้ หรือไม่ก็อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันด้านการเงินขึ้นได้ ฉันคิดว่าคุณต้องการใครซักคนมาช่วยในการจัดการเรื่องพวกนี้ ” เฉิงหนานพูดออกมาอย่างมั่นใจด้วยรอยยิ้มอันน่าหลงใหล

 

โอ้ออออ…

ซูจิ้งร้องออกมาด้วยสายตาที่เบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อได้ยินที่เฉิงหนานพูด เขาเข้าใจได้ทันทีว่าเฉิงหนานต้องการสื่ออะไรกับเขา ถ้าถึงขนาดเธอพูดซะขนาดนี้แล้วเขายังไม่เข้าใจก็ควรกระโดดเอาหัวทิ่มพื้นไปซะ ยังไงซะเขาก็คิดว่าการที่เฉิงหนานเล่นใหญ่ซะขนาดนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีทำให้เขาไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว

 

“ถึงคุณชายหวังและคุณหนูหวังจะเชื่อถือได้ แต่พวกเขาก็ไม่ทางที่จะจัดการเรื่องทั้งหมดได้อย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้น…. ยิ่งกว่านั้น…. เอ่อออ… ยิ่งกว่านั้น… มันยากที่จะเชื่อได้ว่าพวกเขามีความสามารถในการจัดการเรื่องทั้งหมดได้จริงๆ คุณซูคะ ถ้าคุณเชื่อใจฉัน ฉันจะช่วยคุณจัดการเรื่องเหล่านี้อย่างสุดความสามารถให้คุณ คุณคิดว่ายังไงบ้างคะ”

 

เฉิงหนานพยายามคิดหาวิธีการอยู่ว่าจะลองแนะนำซูจิ้งยังไงดีเพื่อที่เมื่อเขาได้ยินแล้วจะยอมให้เธอร่วมงานกับเขาโดยตรงได้

ที่เธอต้องพยายามคิดขนาดนี้ นั่นก็เพราะว่า อย่างแรกเธอนั้นไม่ต้องการข้อจำกัดในการจัดการและต้องการจะแสดงศักยภาพในการบริหารธุรกิจได้อย่างเต็มที่ อย่างที่สองเหตุการณ์จ้าวหยวนในครั้งนี้ทำให้เธอมั่นใจในทันทีว่าซูจิ้งเป็นต้นไม้ใหญ่ที่มีความาสามารถในการปกป้องเธอได้อย่างไม่ต้องสงสัย และเธอเองก็พร้อมจะทำเงินให้ซูจิ้งอย่างแน่นอน ถือว่าดีต่อกันทั้งสองฝ่าย ที่ผ่านมาเธอนั้นได้ทำงานกับซูจิ้งอยู่แล้ว แต่ก็ยังเป็นการทำงานผ่านตระกูลหวัง และพัฒนาการของตระกูลหวังก็ดีขึ้นมากผ่านทางธุรกิจของซูจิ้ง ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นข้อไหนก็ตามเธอก็ต้องทำงานกับซูจิ้งอยู่แล้ว แต่การทำงานร่วมกับซูจิ้งโดยตรงนั้นจะทำให้เธอทำงานได้ดีกว่า และมันจะทำให้เธอทำงานได้อย่างที่เธอต้องการ

 

“ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะ” ซูจิ้งพูดพลางยิ้มกว้างออกมา

 

เฉิงหนานต้องนั่งนิ่งอีกครั้ง เธอไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะตอบรับเธอเร็วขนาดนี้ ปากของเธอเม้มเล็กน้อยและยิ้มออกมา ช่างเป็นรอยยิ้มที่ดูดีและทรงเสน่ห์อย่างไม่ต้องสงสัย เธอจับมือซูจิ้งพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มอย่างหมดหัวใจว่า “คุณซูช่างดีกับฉันจริงๆ ฉันจะทำให้เงินของคุณงอกเงยอย่างแน่นอนค่ะ”