รูปถ่ายกองนี้เป็นภาพของเหยื่อห้าคน บ้างก็เน่าเปื่อยไปแล้ว บัคอธิบายให้ไฮดี้ฟังไปด้วย

“เมื่อสามวันก่อน ช่วงเย็นๆ คนงานส่วนหนึ่งกลับบ้านเร็วกว่าปกติเพราะวงแหวนเวทมนตร์ในเขตแคลร์พัง ขณะที่พวกเขาเดินทางกลับเขตซาร์ดนีผ่านทางเขตอีเกรต พวกเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนจากเหยื่อในภาพแรก พวกเขาเข้าไปตรวจดู หนึ่งในกลุ่มนั้นเป็นผู้ฝึกใช้มนตราน่ะขอรับ แต่ฆาตกรได้จากไปแล้ว พวกเขาพบเพียงศพ ไม่มีแม้แต่รอยเท้าด้วยซ้ำ หลังจากนั้น เราก็พบอีกสี่ศพที่ถูกซ่อนไว้ตามท่อระบายน้ำขอรับ เครื่องในทั้งหมดของศพหายไป และไม่มีเบาะแสอะไรหลงเหลืออยู่เลยขอรับ”

ไฮดี้พยักหน้า “ศพเน่าเปื่อยไปมากแล้ว คดีนี้อาจเกิดขึ้นมานานกว่าที่เราคิด และข้าก็มั่นใจว่ายังมีศพอีกมากที่อาจถูกค้นพบ แต่ข้าสงสัยจริงๆ ว่าทำไมฆาตกรจึงไม่ทำลายศพทิ้งเสีย”

“การทำลายศพทิ้งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยขอรับ ในแม่น้ำของเรนทาโตมิได้มีปลาปิรันย่า ศพทั้งหลายจึงต้องขนย้ายไปยังป่าดำ” บัคตอบ เขาสันนิษฐานมาสักพักแล้วว่าฆาตกรคงไม่ใช่นักเวทหรืออัศวินที่แข็งแกร่ง แต่อาจเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไป เขาไม่เห็นความจำเป็นเลยที่นักเวทหรืออัศวินจะโจมตีเหล่าผู้ยากไร้พวกนี้

ไฮดี้ไล่ดูรูปถ่ายไปเรื่อยๆ พลางถาม “มีการแจ้งความคนหายในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาไหมเจ้าคะ”

บัคดูท่าทางอับอายเล็กน้อย “เขตอีเกรตเป็นเขตของคนยากไร้ และเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินทางมายังนครเรนทาโตเพื่อแสวงหาโอกาส จำนวนประชากรจึงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ด้วยเหตุนี้ แม้แต่หัวหน้ากลุ่มอันธพาลก็ยังไม่อาจรู้ได้ว่ามีใครหายตัวไปหรือไม่…”

ไฮดี้วางรูปถ่ายลง “ข้าจะขอตรวจดูศพกับสถานที่ที่พบศพเจ้าค่ะ รูปขาวดำมันบอกอะไรได้ยากน่ะเจ้าค่ะ”

นางสังหรณ์ใจแปลกๆ กับคดีนี้ เครื่องในทั้งหมดของเหยื่อหายไป มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่

ถ้อยคำของไฮดี้นั้นเป็นไปตามที่บัคคาดการณ์เอาไว้ เขารีบยืนขึ้นพลางตอบว่า “เชิญทางนี้เลยขอรับ”

เขาเดินกลับไปยังรถตำรวจแล้วเปิดประตูให้ไฮดี้ หลังจากที่ไฮดี้ขึ้นไปแล้ว บัคก็อ้อมตัวรถมาขึ้นนั่งบนเบาะคนขับ

เมื่อเดินเครื่อง อสูรกายเหล็กจักรกลก็เริ่มส่งเสียงคำราม

“ขนาดของรถลดลงมากทีเดียว…” ไฮดี้แสดงความเห็นในใจออกมาเมื่อมองเห็นการตกแต่งภายในยานพาหนะที่ดูสะดวกสบาย

บัคยิ้มกว้าง “จริงขอรับ เมื่อก่อน รถยังใหญ่เกินกว่าจะวิ่งไปบนท้องถนนสายต่างๆ เหล่านักเวทได้ทำให้วงแหวนเวทสำหรับการผลิตรถมีความง่ายขึ้นและยังลดวัตถุดิบที่ต้องใช้ลงไปเช่นกัน เครื่องยนต์ไอน้ำเวทมนตร์ส่วนหนึ่งก็ถูกแทนที่ด้วยแหล่งพลังงานใหม่…”

พาหนะแบบเก่านั้นกินพื้นที่ถนนทั้งหมดในนครเรนทาโต แต่หลังจากมีการพัฒนา ทำให้ตอนนี้มีรถสองคันเป็นอย่างน้อยที่สามารถสวนกันบนท้องถนนโดยไม่ส่งผลกระทบใดๆ กับทางเดินเท้า ถึงกระนั้น รถยนต์ก็ยังมีราคาสูงมาก และมีเพียงขุนนางกับองค์กรระดับชาติเท่านั้นที่พอจะมีกำลังซื้อหามาใช้ แม้ว่าบัคจะเป็นหนึ่งในบุคคลระดับหัวหน้าของกรมตำรวจ หากว่าเขาไม่ได้จะมารับไฮดี้ เขาคงไม่อาจหยิบยืมรถคันนี้มาได้

ไฮดี้ไล้มือไปบนประตูโลหะอย่างแผ่วเบา รู้สึกได้ถึงเนื้อสัมผัสของมัน นางรู้ว่าเป็นเพราะคุณงามความดีต่อวัสดุศาสตร์ของเลย์เรียและคาทรินาที่ทำให้วงแหวนแปรธาตุใช้วัสดุน้อยลงถึงเพียงนี้ได้ในที่สุด

6นางรู้ดีว่าการทำให้อะไรก็ตามใช้การได้ง่ายขึ้นนั้นเป็นเรื่องยากมาก ต้องขอบคุณการชี้นำและพัฒนาการของการเล่นแร่แปรธาตุสมัยใหม่ รวมถึงงานวิจัยด้านธาตุ การสังเคราะห์วัสดุจึงมีความก้าวหน้าตามไปด้วย

นอกเหนือจากเลย์กับคาทรินาแล้ว เหล่านักเวทจากสถาบันอะตอม อย่างลาซาร์และร็อค เช่นเดียวกับแลร์รี ยูลิสิส ทิโมธี และเค…นักเวทนับหลายร้อยหลายพันคนต่างก็พยายามอย่างหนัก

การจะรวบรวมประสบการณ์เกี่ยวกับวัสดุศาสตร์นั้นต้องผ่านการทำการทดลองนับครั้งไม่ถ้วน แม้แต่การพยากรณ์ก็แทบไม่ช่วยอะไร โชคชะตาไม่อาจช่วยอะไรได้ในศาสตร์แขนงนี้!

แนวคิดที่เหล่าคนแคระได้รับมาจากวัฒนธรรมไอน้ำของพวกเขาเองก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับบรรดานักเวทผู้พยายามจะทำให้การผลิตรถยนตร์นั้นง่ายขึ้น พวกเขาจึงสกัดพลังงานจากแหล่งที่มีพลังงานสูง นั่นก็คือ ถ่านหิน นอกจากนี้ พวกเขายังเริ่มมองหาพลังงานทางเลือกใหม่ๆ อย่างเช่นพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยใช้แต่เพียงภายในหอคอยเวทมนตร์

องค์ความรู้ของนักเวทนั้นลึกล้ำ พันธมิตรเก่าแก่อย่างชาวเอลฟ์เองก็มีส่วนช่วยเหลืออย่างมาก

เมื่อคิดถึงการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงที่กำลังเกิดขึ้นภายในสภาเวทมนตร์และทั้งสี่อาณาจักรบนฟากฝั่งนี้ของช่องแคบสตอร์ม ไฮดี้ก็รู้สึกฮึกเหิมอย่างยิ่ง นางภูมิใจที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในยุคสมัยเช่นนี้

ไฮดี้คิดในใจว่า แม้ว่าตัวนางจะมิได้มีความสามารถทัดเทียมแอนนิคและสปรินต์ในด้านโลกจุลภาค และไม่ได้ใจเย็น มีความละเอียดอ่อนในเรื่องสัดส่วนของวัสดุ แต่นางก็เชื่อว่านางจะประสบความสำเร็จในขอบเขตของปัญญาประดิษฐ์ และสักวันหนึ่งนางก็จะชนะรางวัลมงกุฎแห่งโฮล์ม

ไฮดี้กำหมัดแน่นขณะให้กำลังใจตนเอง นางตื่นเต้นมากทีเดียวเมื่อคิดถึงอนาคตยามที่จักรกลเย็นเยียบถูกใส่เศษเสี้ยวดวงวิญญาณเข้าไป จะสามารถคิดและรับมือกับโจทย์ปัญหาส่วนใหญ่ได้เหมือนกับมนุษย์ และยังกระทั่งทำได้รวดเร็วกว่าจอมเวทหลายๆ ท่านอีกด้วย ขณะนี้ ในหมู่ลูกศิษย์ทั้งหกคนของลูเซียน อีวานส์ มีเพียงไฮดี้และเชลีย์เท่านั้นที่ยังมิเคยชนะรางวัลอันทรงเกียรติใดๆ

บัคขับรถอย่างตั้งอกตั้งใจ ขณะกล่าวกับไฮดี้ว่า “ท่านหญิงขอรับ เราจะไปที่ห้องเก็บศพในโรงพยาบาลไวโอเล็ตกันก่อนนะขอรับ”

“ได้เจ้าค่ะ” ไฮดี้ตอบ นางอยากจะฉวยโอกาสนี้เยี่ยมชมโรงพยาบาล ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทำให้เหล่าผู้ศรัทธาในศาสนจักรได้ตระหนักว่านักบุญสัจธรรมมิใช่ขุมพลังอำนาจเดียวที่สามารถรักษาโรคต่างๆ ได้ สภาเวทมนตร์เองก็ทำได้เช่นกัน!

แม้ว่าบัคจะรู้สึกประหม่าเล็กน้อยกับการขับรถ แต่เขาก็ไม่อยากจะทิ้งให้แขกคนสำคัญอยู่เงียบๆ ตามลำพัง เขาจึงพยายามหาหัวข้อเรื่องมาชวนคุย “รถยนต์ยังแล่นได้ไม่เร็วพอ ในอนาคต ความเร็วควรจะได้รับการพัฒนาด้วยการใช้วงแหวนเวทที่มีความก้าวหน้าและหาแหล่งพลังงานใหม่ๆ ข่าวสารอาร์คานาและเวทมนตร์บอกว่าเจ้าแห่งพายุ ผู้บัญชาอะตอม และเจ้าแห่งธาตุต่างเสร็จสิ้นการวิจัยการสลายตัวของธาตุที่แผ่รังสีในเชิงทฤษฎีขั้นต้นแล้ว นั่นหมายความว่าพลังงานการสลายตัวจะนำมาใช้ขับเคลื่อนรถยนต์ได้ในอนาคตใช่ไหมขอรับ”

“ท่านคงหมายถึงนิวเคลียร์…” ไฮดี้รู้สึกขบขันเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าบัคพยายามปะติดปะต่อคำศัพท์ที่เขาเห็นจากหนังสือพิมพ์

พลังงานนิวเคลียร์คือจุดสนใจหลักของสถานบันอะตอม และเป็นงานวิจัยที่ท่านลูเซียน อีวานส์ เป็นผู้นำการวิจัยด้วยตนเอง โดยมีสหายคนสนิทกับเหล่าลูกศิษย์เป็นผู้ช่วย พลังงานที่นำสมัยที่สุดนี้ยังถือเป็นพลังที่แข็งแกร่งทรงอำนาจและล้ำค่าแม้แต่กับนักเวทระดับสูง จึงไม่ต้องพูดถึงการนำมาประยุกต์ใช้กับเครื่องยนต์รถเลย

ไฮดี้เอ่ยอย่างหยอกเย้า “เมื่อใดที่เราศึกษาการลดขนาดและทำให้การหลอมนิวเคลียสที่ควบคุมได้ตลอดเวลาใช้ได้อย่างแพร่หลายด้วยวิธีการบีบลำอนุภาคด้วยสนามแม่เหล็ก เราก็น่าจะสามารถเพิ่มความเร็วขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง…”

นางพูดประโยคยาวเหยียดนี้ภายในไม่กี่วินาทีเท่านั้น

การหลอมนิวเคลียสที่ควบคุมได้ตลอดเวลาคือเป้าหมายสูงสุดของโครงการนี้ ซึ่งจะมอบพลังงานที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่อัลลิน นครลอยฟ้า จะเคยมีมา ทว่า พวกเขายังห่างไกลจากจุดนั้นนัก จริงๆ แล้ว พวกเขายังคงมองหาวิธีการควบคุมกระบวนการการสลายของนิวเคลียสอยู่เลยด้วยซ้ำ

“การหลอมนิวเคลียสที่ควบคุมได้ตลอดเวลาด้วยวิธีการบีบลำอนุภาคด้วยสนามแม่เหล็ก…” บัคกรองถ้อยคำแสนลี้ลับนั้น พยายามจะจดจำมัน เมื่อใดที่เขากลับไปที่กรม เขาก็จะได้ใช้คำเหล่านี้อวดเบ่ง นี่คืออาร์คานาศาสตร์ที่ล้ำสมัยที่สุด หาใช่ข้อมูลล้าสมัยจากหนังสือพิมพ์ แต่ท่านหญิงไฮดี้เป็นผู้พูดมันออกมาด้วยตัวเอง!

ตอนนั้นเอง อาคารสีขาวแสนงดงามก็ปรากฏขึ้นตรงสุดปลายถนน บัคค่อนๆ เหยียบเบรคและมาหยุดอยู่ตรงหน้าโรงพยาบาล จากนั้นเขาก็รีบลงจากรถไปเปิดประตูให้ไฮดี้

“ถึงแล้วขอรับ”

ไฮดี้ลงจากรถแล้วจ้องมองตัวอาคารด้านนอกของโรงพยาบาล นางพยักหน้านิดๆ เมื่อเห็นว่าตัวอาคารดูสะอาดสะอ้านดี ทั้งยังให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์เสียด้วยซ้ำ นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าเหล่านักเวทศาสตร์มืดจะเป็นผู้บริหารจัดการสถานที่เช่นนี้ได้

หลังจากผลักประตูกระจกเข้าไป บัคก็เดินนำไฮดี้ไปยังห้องเก็บศพ ระหว่างทางนั้น พวกเขาบังเอิญเจอกับแพทย์และพยาบาลหลายคนที่สวมชุดสีขาว พวกเขาคือผู้ฝึกใช้มนตรา นักเวทระดับล่างและกลางผู้ได้รับเลือกให้เข้าศึกษาทางด้านศาสตร์มืด สถานที่แห่งนี้มิใช่เพียงที่ที่ใช้รักษาผู้ป่วย แต่ยังเป็นพื้นที่ทำการทดลองสำหรับพวกเขาอีกด้วย ดังนั้น หลายๆ คนจึงเต็มใจอาสามาทำงาน ณ ที่แห่งนี้

แน่นอนว่า ทุกการทดลองนั้นต้องได้รับการอนุญาตจากสภาเวทมนตร์เสียก่อน การทดลองที่ผิดกฎหมายใดๆ จะนำไปสู่บทลงโทษขั้นรุนแรง

จนถึงตอนนี้ โรงพยาบาลไวโอเล็ตก่อตั้งมาได้หนึ่งปีแล้ว เพราะน้ำยาเวทมนตร์และของใช้แปรธาตุสำหรับอำนวยความสะดวกที่เหล่านักเวทและสภาเวทมนตร์มอบให้ใช้โดยไม่คิดเงิน การเข้ารับการรักษาในที่แห่งนี้จึงค่อนข้างถูก ผู้คนต่างบอกต่อด้วยถ้อยคำชื่นชม ด้วยเหตุนี้ บรรดาแพทย์และพยาบาลจึงได้รับฉายาแปลกๆ ว่า ‘ทูตสวรรค์แห่งเวทมนตร์’

ขณะที่ทั้งสองมุ่งหน้าไป พวกเขาก็เห็นกลุ่มคนที่ดูท่าทางตื่นเต้นอยู่ตรงหน้า พยาบาลกับแพทย์หลายคนกำลังรุมล้อมบุรุษร่างสูงผอมบางในชุดเสื้อโค้ตสีดำ แต่ละคนต่างพยายามถามคำถาม

ไฮดี้จำบุรุษผู้ดูท่าทางเหมือนป่วยอยู่ตลอดเวลาผู้นี้ได้

‘ดูเหมือนว่าท่านเฟลิเปจะค่อนข้างเป็นที่ชื่นชมสำหรับคนที่นี่’

“ท่านเฟลิเปมาท่นี่เพื่อสอนเรื่องกายวิภาคมนุษย์และเซลล์ความจำ[1]ให้กับแพทย์และพยาบาลน่ะขอรับ” บัคอธิบาย สายตาที่เขาใช้มองเฟลิเปนั้นเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ เขาได้ยินมาว่าเฟลิเปสามารถเปลี่ยนกองชิ้นเนื้อให้กลายเป็นมนุษย์ได้

ไฮดี้กับบัคเดินต่อไปยังห้องเก็บศพ หลังจากที่พวกเขาเลี้ยวตรงหัวมุมไปแล้ว แต่ก็ยังมิวายได้ยินบทสนทนา

“ท่านเฟลิเป สรุปแล้วในกายวิภาคศาสตร์…”

“ศาสตราจารย์เฟลิเป ในเรื่องของเซลล์ความจำ…”

ในตอนนั้นเอง เฟลิเปก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอึมครึม “อย่าเรียกข้าว่าศาสตราจารย์”

เหล่าพยาบาลต่างประหลาดใจอย่างยิ่ง เหตุใดกันเล่า ศาสตราจารย์คือตำแหน่งที่แสดงถึงการให้ความเคารพอย่างสูงในวิทยาลัยเวทมนตร์โฮลต์เลยเชียวนะ

ไฮดี้หลุดหัวเราะ บัคหันมามองนางด้วยความสงสัย

“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” ไฮดี้โบกมือไปมา

เมื่อเลี้ยวอีกหัวมุม ห้องเก็บศพก็ตั้งอยู่ที่สุดปลายทางเดิน บัคเปิดประตู แล้วทั้งสองก็เดินเข้าไปในห้องอันเย็นเยียบนี้

หลังจากนำศพทั้งห้ามาวางเรียงข้างๆ กัน ไฮดี้ก็ตรวจดูอย่างละเอียด ณ เวลานั้น นางหาใช่ท่านหญิงทั่วๆ ไปแต่เป็นจอมเวทท่านหนึ่ง

หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ไฮดี้ก็ขมวดคิ้วมุ่นและเอ่ยขึ้น “ดูจากบาดแผลและวิธีการที่เครื่องในถูกควักออกไปแล้ว มีฆาตกรสี่คนที่สังหารเหยื่อห้าคนนี้ พวกมันมิได้สนใจเรื่องความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับเครื่องในเสียด้วย”

“เป็นกลุ่มอาชญากรรมงั้นหรือขอรับ” บัคถามเสียงเครียด

แทนที่จะให้คำตอบ ไฮดี้กลับเฉือนชิ้นเนื้อจากทั้งห้าศพและเอ่ยขึ้นว่า “พาข้าไปที่สถานที่เกิดเหตุทีเจ้าค่ะ”

นางพอจะเดาออกแล้ว

………………………………………

[1] ทำหน้าที่จำเชื้อที่เคยพบแล้ว เมื่อเชื้อเดิมเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง เซลล์ความจำก็จะระดมพลเพื่อสร้างภูมิต้านทานและกำจัดเชื้อโรคออกไปโดยไม่ทันก่อโรค