ตอนที่ 290 คนที่ฉีกโลงศพผู้นั้น

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

จีเฉวียนกวาดตาไปมอง ชายแขนฉลองพระองค์ข้างหนึ่งก็สะบัดออกไปในตอนนัั้น ฉลองพระองค์ถูกซัดออกไปด้วยกำลังภายในตบเหยียนเฉียวหลัวจบสลบในทันที

 

 

หนวกหู!

 

 

เสี่ยวซิงซิงของเขาเป็นผู้ใด เขายังจะต้องรู้จากปากของสตรีอื่นอีกหรือ?

 

 

ไม่ว่านางจะเป็นคนหรือว่าเป็นผี เป็นปีศาจหรือว่ามาร นางก็คือเสี่ยวซิงซิง

 

 

คิดว่าคนอย่างเขาจีเฉวียนชอบนางแค่เพียงรูปลักษณ์หรืออย่างไร?

 

 

หากว่าเป็นเช่นนั้น เขาก็คงจะบังคับให้นางแต่งงานด้วยไปตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว

 

 

ตบไปครั้งหนึ่งเขาก็ยังไม่คลายโทสะ จึงซ้ำไปอีกแขนเสื้อหนึ่ง ทำเอาหมอกดำที่อยู่รอบตัวเหยียนเฉียวหลัวสลายไปจนหมดสิ้น

 

 

จีเฉวียนเป็นผู้ที่จดจำบุณคุณความแค้นอย่างแม่นยำ หลายครั้งหลายหนที่เขาไม่ได้ฆ่านาง ก็เป็นเพราะ ‘น้ำใจ’ เล็กๆ น้อยๆ ซึ่งน้อยจนน่าสงสารที่เคยมีให้ยามอยู่ในแคว้นเหยียน

 

 

ถึงวันนี้ นางกระทบจุดอ่อนไหวของเขา เป็นจุดชีวิตของเขา เขาย่อมไม่ปล่อยนางรอดไปง่ายๆ

 

 

หมอกดำที่อยู่รอบกายของเหยียนเฉียวหลัวถูกซัดจนสลายไป นางที่สลบไปแล้วจึงมีแต่ฟองอากาศลอยออกมาจากจมูก เพียงครู่เดียวก็สำลักน้ำเข้าไป ศพแห้งที่รายล้อมอยู่ราวกับได้กลิ่นอาหารโอชะขึ้นมา พวกมันพากันกลุ้มรุมเข้าไป

 

 

กัดบ่า กัดขา กัดคอ กัดใบหน้า ฉีกทึ้งกันทั้งเป็น ราวกับจะทำให้เหยียนเฉียวหลัวกลายเป็นศพที่มีแต่กระดูก

 

 

เหยียนเฉียวหลัวตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด

 

 

ทันทีที่รู้สึกตัวก็เห็นว่าศพแห้งตัวหนึ่งกำลังกัดมือข้างหนึ่งของนาง มันแสยะยิ้มส่งให้ทั้งยังขบเคี้ยวอย่างตะกละตะกลาม

 

 

นางเปิดตาโตสุดขีด ยังไม่ทันได้ส่งเสียงออกมา ก็รู้สึกว่าลูกตาข้างหนึ่งถูกควักออกไป ทั้งยังถูกกลืนกินลงไปต่อหน้าต่อตาของนาง

 

 

นางต่อสู้ดิ้นรนอย่างวุ่นวาย คิดจะตะโกนร้อง แต่ศพแห้งเหล่านั้นรายล้อมเข้ามาและยึดตัวนางไว้

 

 

พวกมันฉีกทึ้งและกัดกินนางอย่างไร้ความปราณี แม้แต่ลำคอก็ถูกตะครุบเอาไว้จนนางร้องไม่ออก

 

 

ความหวาดกลัวม้วนเข้าใส่นางทั้งตัว นางมองออกไปไกล เห็นฮ่องเต้แคว้นต้าโจวยังทรงประทับอยู่บนโลงทองแดง ด้านหลังของเขาปรากฏไอสีดำพวยพุ่งออกมา

 

 

เขาดึงกระบี่อ่อนเล่มหนึ่งออกมาจากข้างเอว กระบี่เล่มนั้นพอมาอยู่ในพระหัตถ์ก็เปลี่ยนรูปร่างไปกลายเป็นดาบใหญ่เล่มหนึ่ง

 

 

เขาไม่สนใจบาดแผลที่ถูกแทงทะลุตรงหัวไหล่ แต่กระชับดาบเล่มนั้นเอาไว้แล้วแทงตรงลงไป

 

 

หนึ่งดาบเสียบทะลุลงไป เหยียนเฉียวหลัวถึงกับหูดับไปทันที

 

 

แม้ว่านางจะฝืนใช้ดวงตาที่เหลือเพียงครึ่งเดียวมองดูเขา แต่ก็สามารถมองเห็นความร้อนรนของเขาได้อย่างชัดเจน

 

 

เขากำลังหวาดกลัว….กลัวว่านังสารเลวตู๋กูซิงหลันนั่นจะหนีเขาไป

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เหยียนเฉียวหลัวได้เห็นความหวาดกลัวของเขา

 

 

ตอนนั้นเขาเพียงคนเดียวเอาชนะสัตว์อสูรนับร้อยได้โดยมิได้เผยความรู้สึกเช่นนี้ออกมา

 

 

ตอนที่ฉางซุนอิงตาย เขาก็ไม่ได้หวาดกลัว

 

 

ที่ผ่านมาในโลกของเขาคล้ายกับว่าไม่ได้มีคำนี้บัญญัติไว้ แต่ว่าตอนนี้ เขาหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ แล้ว

 

 

ที่แท้ ความรักที่เขามีให้กับตู๋กูซิงหลันก็ลึกล้ำถึงเพียงนั้น

 

 

การจะรักคนๆ หนึ่ง ย่อมไม่สนใจว่าคนผู้นั้นจะมีฐานะเช่นไร หากแต่สามารถยอมรับตัวตนทั้งหมดของคนๆ นั้น

 

 

ดังนั้นไม่ว่านางจะทำสิ่งใดลงไป จีเฉวียนก็ไม่เคยสนใจจะมองดูนางสักนิด

 

 

แม้กระทั่ง ไม่ลังเลที่จะผลักนางไปสู่ความตาย

 

 

นางชิงชังเหลือเกิน!

 

 

ท่ามกลางเพลิงแค้นที่ลึกล้ำ เหยียนเฉียวหลัวถูกเหล่าศพแห้งลากจนไกลออกไปเรื่อยๆ กระทั่งถูกกระแสน้ำวนขนาดใหญ่กลืนกินเข้าไป

 

 

………………………

 

 

 

 

ภายในโลงทองแดง เสียงที่ดังมาจากด้านบนเหนือศีรษะ ทำให้ตู๋กูซิงหลันและเสินฟางต้องชะงักงันไปครู่หนึ่ง

 

 

เพียงแค่ครู่เดียว ก็ได้ยินเสียงอีกเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ต่อเนื่องกัน แต่ละทั้งยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

 

 

แม้แต่เสินฟางได้ยินแล้วยังต้องหน้าเปลี่ยนสี

 

 

มีคนพยายามจะฉีกโลงทองแดงจากภายนอก

 

 

โลงศพหลังนี้เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นโดยผู้ทรงอำนาจและความสามารถในยุคก่อน ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง คนของโลกนี้ไม่สมควรจะมีผู้ที่สามารถทำลายมันได้

 

 

“เจ้าอย่าได้ไขว้เขว มีสมาธิเข้าไว้” เสินฟางมองดูตู๋กูซิงหลันแวบหนึ่ง “เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”

 

 

ตอนนี้เขาและตู๋กูซิงหลันกำลังร่วมมือกัน ย่อมต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

 

 

ที่จริงมิใช่ว่าตู๋กูซิงหลันอยากจะไขว้เขว แต่ว่านางรู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าด้ายผูกชะตากำลังดึงรั้งนาง

 

 

ด้ายที่จีเฉวียนผูกให้กับนางก่อนที่จะเดินทางเข้ามา

 

 

คนด้านนอกที่กำลังฉีกโลงเข้ามา…..คือจีเฉวียน?

 

 

เขาได้รับบาดเจ็บมากถึงเพียงนั้น ยังจะกระโดดลงมาในทะเลสาบอีก ไม่ต้องการชีวิตอีกแล้วหรือไร?

 

 

สีหน้าของตู๋กูซิงหลันหนักหน่วง แม้ว่าหมอกสีดำทองในฝ่ามือจะไม่ได้จางหายไป แต่ใจของนางก็สับสนวุ่นวายไปหมด

 

 

ขณะที่ว้าวุ่นใจอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงจากนอกโลงดังเข้ามา “อย่ากลัว เราอยู่นี่แล้ว”

 

 

“เราสัญญาเอาไว้แล้ว ว่าจะคุ้มครองเจ้า”

 

 

จีเฉวียนใช้ดาบเจาะเข้ามาในโลงทีละดาบๆ

 

 

ทุกดาบล้วนซ้ำลงในจุดเดิมอย่างแม่นยำ หลังจากหลายสิบดาบผ่านไป ในไม่ช้าโลงทองแดงก็เกิดรูขึ้นมา

 

 

โลงทองแดงนี้หากเปิดออกจากภายในเป็นเรื่องง่าย แต่ว่าเปิดจากภายนอกนั้นยากเย็นแสนเข็ญ

 

 

แต่เพราะพระองค์มีพละกำลังมหาศาล ในไม่ช้าก็สามารถแทงจนเป็นช่องขึ้นมาได้สำเร็จ

 

 

ทันทีที่แหวกเป็นช่องได้ ดาบของจีเฉวียนก็แทงผ่านเข้ามา ฉีกฝาโลงศพเป็นทางยาวสายหนึ่ง

 

 

ไม่รอให้เสินฟางทันได้ขัดขวางพระองค์ ก็เห็นจีเฉวียนกระโดดลงมาในโลงทองแดงเรียบร้อยแล้ว

 

 

ในวินาทีที่ได้พบตู๋กูซิงหลันนั้น เขาก็ยื่นมืออกไปคว้าตัวนางมาไว้ในอ้อมอก

 

 

หัวใจที่สูญเสียไปแล้วได้กลับคืนมา ทำให้จีเฉวียนยังคงรู้สึกหวาดหวั่นไม่หาย พระองค์เอาแต่กอดตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแนบแน่น เนิ่นนาน

 

 

พระองค์ไม่อาจปล่อยนางได้

 

 

กระทั่งรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิและ ความนุ่มนิ่มของสตรีในอ้อมกอดได้จริงๆ แน่นอนแล้ว พระทัยของฮ่องเต้ถึงค่อยผ่อนคลายลงได้บ้าง

 

 

ขณะที่ถูกพระองค์กอดเอาไว้นั้น ตู๋กูซิงหลันรู้สึกถึงร่างกายที่สั่นสะท้านของพระองค์ได้อย่างชัดเจน

 

 

“ท่าน…..มาได้อย่างไร?” มือของนางยกค้างอยู่อย่างนั้น ถ้อยคำมากมายกลับเหลือเพียงแต่ประโยคง่ายๆ ประโยคเดียว

 

 

“เจ้าอยู่ที่ไหน เราก็ย่อมต้องอยู่ที่นั่น” จีเฉวียนกอดนางเอาไว้ไม่ยอมปล่อย แม้แต่ว่าสถานที่โดยรอบจะเป็นเช่นไร พระองค์ก็ไม่ได้สนใจจะมอง

 

 

อย่าว่าแต่ที่ด้านข้างยังมีจอมมารเสินฟางอยู่ด้วย

 

 

ในชีวิตนี้พระองค์เคยหวาดกลัวเพียงสองครั้ง

 

 

ครั้งที่หนึ่ง ก็คือยามที่เสด็จแม่จากโลกนี้ไป

 

 

อีกครั้งหนึ่ง ก็คือตอนที่นางตกลงมาในสระสวรรค์ พระองค์หาอยู่นานก็ยังไม่พบ

 

 

ไม่ว่านางจะเชื่อหรือไม่ พระองค์ก็ได้…..วางนางเอาไว้ในหัวใจแล้วจริงๆ

 

 

ไม่มีเหตุผลอะไรมากมาย ในเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ห่วงใยแล้ว รักนางเข้าแล้ว ก็ไม่อาจเป็นอื่นใดนอกจากนางเท่านั้น

 

 

ฝาโลงถูกกรีดเป็นช่องๆ หนึ่ง น้ำในทะเลสาบจึงทะลักเข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

 

น้ำเย็นจัดในทะเลสาบสาดกระเซ็นโดนคนทั้งสอง ร่างของพวกเขาเปียกชุ่ม ตู๋กูซิงหลันที่ถูกสาดจนเปียกไปทั้งร่างเริ่มสงบนิ่งขึ้นมา

 

 

นางเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นดวงพักตร์ที่งดงามหาใครเทียบของจีเฉวียนมีแต่ความห่วงกังวล

 

 

ไม่มีการเย้ยหยัน ไม่มีการล้อเล่น ไม่มีความหวาดกลัว แต่เปี่ยมไปด้วยความกังวลห่วงใย

 

 

เพราะดาบนั้นของเหยียนเฉียวหลัว หัวไหล่ขวาของพระองค์ยังคงมีรูดำๆ อยู่เลย

 

 

ตอนนี้ ตู๋กูซิงหลันยังได้เห็นประกายเปียกชื้นของน้ำตาที่ค้างอยู่ในดวงเนตรหงส์ทั้งสองข้างของพระองค์

 

 

นั่นคงไม่ใช่เพราะว่าเทน้ำลงไปใช่ไหม?

 

 

คนที่เย่อหยิ่งเช่นจีเฉวียน นอกจากเพราะเหม็นจนน้ำตาไหลแล้ว มีหรือจะร้องไห้ได้ง่ายๆ กัน?

 

 

“ฝ่าบาท ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ท่านควรจะมา” ตู๋กูซิงหลันเก็บอารมณ์ได้เรียบร้อย ก็ผลักพระองค์เบาๆ ด้วยมือข้างหนึ่ง “ในโลงทองแดงใบนี้ มีสุดยอดสมบัติล้ำค่าอยู่มากมาย ท่านสามารถนำกลับไปเติมเต็มท้องพระคลัง ฐานอำนาจของแคว้นต้าโจวย่อมเพิ่มพูนขึ้นอีกระดับหนึ่ง”

 

 

โลกถล่มไปแล้วครั้งหนึ่ง ฮ่องเต้ย่อมไม่ได้สนพระทัยจะเหลือบมองดูสมบัติเหล่านั้นสักแวบเดียว สองพระหัตถ์เกาะกุมหัวไหล่ของนางเอาไว้อย่างแน่นหนา “สมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของเรา ก็คือเจ้า”

 

 

 

 

——

 

 

คุยกันนิดนึง:

 

 

ไรท์: โอ้ย ใจจะขาดรอนๆ สังหรณ์ถึงตอนหน้า “เราปกป้องเจ้าได้”