บทที่ 638 หวาดกลัว

บัลลังก์พญาหงส์

พอได้ยินถาวซินหลันร้องเรียกด้วยเสียงสะอื้น ถาวจวินหลันก็เจ็บปวดเหมือนโดนเข็มทิ่มแทง จึงรีบเร่งฝีเท้า ก้าวเท้ายาวๆ เดินตรงไปจับมือของถาวซินหลันขึ้นมา ปลอบประโลมด้วยเสียงอ่อนโยน “พี่อยู่ตรงนี้ อย่ากลัวเลย เดี๋ยวก็หายแล้ว”

 

 

ถาวซินหลันน้ำตาคลอเบ้ามองถาวจวินหลัน ในใจนั้นรู้สึกเศร้าเป็นยิ่ง “ท่านพี่ ท่านพี่”

 

 

“ข้าอยู่นี่แล้ว” นางตบหลังมือของถาวซินหลันเบาๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาช่วยเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากของถาวซินหลันอย่างรักใคร่เอ็นดู “ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องเจ็บเช่นนี้ ตอนที่ข้าคลอดซวนเอ๋อร์ก็เจ็บเหมือนกัน พอถึงตอนที่คลอดหมิงจูก็ไม่ได้เจ็บขนาดนั้นแล้ว”

 

 

ความจริงแล้ว ก่อนที่ถาวจวินหลันจะมาถึงที่นี่ ถาวซินหลันนอนทรมานอยู่นานแล้ว มิเช่นนั้นกลิ่นคาวเลือดภายในห้องคงไม่ได้ตลบอบอวลเช่นนี้ ถาวซินหลันก็ยิ่งหวาดกลัว ก่อนหน้านี้ยังไม่เท่าไร ตอนนี้พี่สาวที่รักและสงสารนางมากที่สุดมาแล้ว ทั้งยังเอ่ยปลอบนางด้วยเสียงอ่อนโยน นางย่อมไม่ฝืนทำเป็นเข้มแข็งอีก ร้องไห้ถามว่า “ข้าจะตายหรือไม่?” นางกลัวจากใจจริง

 

 

อย่างไรคนที่ไม่เคยคลอดลูกมาก่อนจะรู้ได้อย่างไรว่าคลอดลูกจริงๆ แล้วเจ็บขนาดไหน? อีกทั้งครรภ์ของถาวซินหลันก็ไม่ได้คลอดตามกำหนดเวลา ถือเป็นการฝืนธรรมชาติ ความทรมานเช่นนั้นเมื่อเทียบกับคลอดตามเวลาอันสมควรแล้วน่ากลัวกว่านัก

 

 

ถาวซินหลันคิดเช่นนี้ก็ไม่แปลก

 

 

แม้แต่ถาวจวินหลันก็กังวลเช่นเดียวกัน แต่เพื่อปลอบประโลมถาวซินหลัน นางจึงต้องจงใจแสร้งทำเป็นโกรธและหงุดหงิด ตีถาวซินหลันเข้าทีหนึ่ง “พูดอะไรเลอะเทอะ เจ้าเคยเห็นใครคลอดลูกตายหรืออย่างไร? เจ้าเพียงคลอดเร็วกว่ากำหนดเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นอะไร หมอหลวงมากมายขนาดนี้ เจ้ายังต้องกลัวอะไรอีก? เอ่ยอ้างเลอะเทอะเช่นนี้ไม่กลัวอัปมงคลหรืออย่างไร?”

 

 

ถาวจวินหลันพูดอย่างมั่นใจเช้นนี้ ถาวซินหลันก็เชื่อสนิทใจ อย่างไรถาวจวินหลันก็เป็นที่พึ่งของนางตั้งแต่เด็กจนโต นับว่าสนิทกว่าท่านแม่อยู่มากนัก ดังนั้นเห็นถาวจวินหลันพูดเช่นนี้นางจึงไม่สงสัยแม้แต่น้อย ฉับพลันก็รู้สึกสบายใจ

 

 

เรื่องเช่นนี้พอไม่ได้กลัวมากก็รู้สึกดีขึ้น ถึงจะหวาดหวั่นอยู่เล็กน้อยก็ตาม พอรู้สึกสบายใจก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บขนาดนั้น เรี่ยวแรงในร่างกายก็เหมือนจะฟื้นฟูกลับมา

 

 

ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้นก็วางใจขึ้นมาบ้าง คิดในใจว่าโชคดีที่ตนเองมา มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าถาวซินหลันจะหวาดกลัวขนาดไหน พอคิดเช่นนี้นางก็ถามหมอตำแย “หมอหลวงว่าอย่างไรบ้าง? ได้ให้ยาอะไรหรือไม่?”

 

 

หมอตำแยเหงื่อท่วมตัวเช่นเดียวกัน อย่างแรกเพราะว่าตื่นเต้น อย่างที่สองเพราะอากาศร้อน พอได้ยินถาวจวินหลันถามก็รีบปาดเหงื่อตอบว่า “ได้ใช้ยาแล้วเพคะ เป็นยาเร่งคลอด เพิ่งจะดื่มไปได้ไม่นาน คิดว่าต้องรออีกครู่หนึ่งถึงจะออกฤทธิ์ ขอเพียงสะใภ้สามเก็บแรงเอาไว้ถึงตอนคลอดก็พอแล้วเพคะ”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินอย่างนั้นก็สบายใจได้บ้าง ถามถาวซินหลันอีกว่า “ตอนเย็นเจ้าได้ทานอาหารหรือยัง? หิวหรือไม่? กินอะไรเสียหน่อยเถิด มิเช่นนั้นจะไม่มีแรงเอา อยากกินอะไร? พี่จะไปทำให้เจ้าเอง”

 

 

ถาวซินหลันไม่ได้รู้สึกเจ็บขนาดนั้นอีกแล้ว และเริ่มคิดจะทำอย่างอื่น จึงส่ายหน้า “ยังไม่ได้ทานเพคะ ข้าอยากกินหมี่รวมกุ้ง”

 

 

พอเห็นถาวซินหลันเริ่มอยากอาหาร ถาวจวินหลันก็ดีใจยิ่ง รีบผุดลุกขึ้นจะไปทำ “ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปทำให้เจ้าเดี๋ยวนี้”

 

 

แต่ถาวซินหลันกลับดึงมือนางเอาไว้ไม่ปล่อย “ท่านพี่อย่าเพิ่งไป ข้ากลัว”

 

 

ถาวซินหลันคิดว่าขอแค่มีถาวจวินหลันข้างกาย นางก็จะรู้สึกใจชื้น และไม่กลัวขนาดนั้นแล้ว แต่พอคิดว่าถาวจวินหลันจะต้องจากไป ก็ลนลานอย่างไม่อาจควบคุมได้ ทำได้เพียงกระชับมือของถาวจวินหลันเอาไว้แน่น

 

 

ถาวจวินหลันทำได้แค่สั่งให้ปี้เจียวไปทำอย่างจนปัญญา อธิบายวิธีการทำโดยละเอียด ส่วนตนเองกลับอยู่ในห้องคลอดเป็นเพื่อนถาวซินหลัน

 

 

ความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนจะถาโถมใส่ถาวซินหลันอีกครั้ง พ่นลมหายใจขุ่นออกมาสองสามครั้งจนความเจ็บปวดระลอกนั้นหายไป ก็ถามถาวจวินหลันว่า “องค์หญิงเก้านาง…”

 

 

“ไม่เป็นอะไร” ถาวจวินหลันกลัวนางกังวล จึงพูดโกหกออกมา “ตอนที่ข้ามาก็หาตัวเจอแล้ว นางมีธุระต้องไปที่อื่นกะทันหัน คนที่ส่งกลับมารายงานก็ล้มขาหัก จึงกลับมารายงานไม่ทันเวลา เพียงแค่ตระหนกตกใจเท่านั้น”

 

 

ถาวซินหลันไม่เชื่อ “จริงหรือเพคะ?”

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ พยักหน้า “จริงสิ” แต่นางกลับลอบถอนหายใจแทนองค์หญิงเก้า ตอนนี้ท้องฟ้าข้างนอกมืดสนิทแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีข่าวขององค์หญิงเก้าบ้างแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่มีข่าวองค์หญิงเก้าคงจะต้องอยู่ค้างคืนข้างนอก ไม่รู้ว่านางจะหวาดกลัวหรือไม่

 

 

แต่ต่อให้นางกังวลมากเพียงใด นางก็ไม่กล้าแสดงออกต่อหน้าถาวซินหลันแม้แต่น้อย

 

 

นางพูดปลอบประโลมถาวซินหลันอีกเล็กน้อย ก็เบี่ยงหัวข้อสนทนาไป รอจนอาหารมาถึงถาวจวินหลันก็ป้อนถาวซินหลัน และให้ถาวซินหลันหลับตานอนพัก

 

 

ตอนแรกคิดจะออกไปดูสถานการณ์ข้างนอก แต่ถาวซินหลันไม่ยอมปล่อยมือ นางจึงทำได้แค่นั่งอยู่ในห้องคลอดตลอดเวลา ตราบจนถาวซินหลันรู้สึกเจ็บถี่ขึ้นเรื่อยๆ รอจนถึงตอนที่กำลังจะคลอดจริงๆ หมอตำแยก็เชิญให้ถาวจวินหลันออกไป “ฮูหยินท่านนี้หลบออกไปก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ?”

 

 

ปกติแล้วภายในห้องคลอดไม่ควรมีคนนอกอยู่

 

 

ถาวซินหลันได้ยินเช่นนี้ก็ตึงเครียดทันที “อย่าไป!”

 

 

“ไม่ไปๆ ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้า” ถาวจวินหลันย่อมไม่คิดจะจากไป เห็นเช่นนั้นก็อดหัวเราะเอ่ยปลอบถาวซินหลันไม่ได้ พลางพูดเย้าแหย่ออกมา “ใกล้จะเป็นแม่คนแล้ว ยังทำตัวเป็นเด็กอีก ไม่กลัวคนหัวเราะเอาหรืออย่างไร”

 

 

ถาวซินหลันคิดจะโต้ตอบ แต่ความเจ็บปวดนั้นถาโถมเข้ามาอีกระลอก ทันใดนั้นก็เหงื่อไหลซึมเต็มหน้า พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

 

 

เชิงกรานของถาวซินหลันค่อนข้างเล็ก อีกทั้งยังคลอดก่อนกำหนดจึงยังไม่ได้เปิดออกทั้งหมด ตำแหน่งก็ไม่ถูกต้อง ดังนั้นตอนที่คลอดจึงอันตรายมาก แต่เรื่องนี้ทุกคนต่างรู้กันดีไม่กล้าบอกถาวซินหลัน บอกแค่ว่าคลอดเด็กก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น

 

 

แต่หมอตำแยก็ยังคงแอบหาโอกาสคิดจะออกไปถาม ว่าหากเกิดสถานการณ์เสี่ยงจริง นางควรจะเก็บผู้ใหญ่หรือเก็บเด็กเอาไว้ดี

 

 

ถาวจวินหลันก็หาข้ออ้างเดินตามออกมา แต่กลับยืนอยู่หน้าประตูฟังความเคลื่อนไหวด้านนอก นางรู้ว่าแอบฟังเป็นเรื่องไม่ดี แต่ก็อยากรู้การตัดสินใจของตระกูลเฉิน

 

 

เฉินฟู่เห็นชัดว่าตกใจนิ่งไป ไม่ได้เลือกในทันที แต่กลับถามเสียงสั่นว่า “เพราะซินหลัน…”

 

 

หมอตำแยรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่เจ้าค่ะ เพียงแค่ถามเท่านั้น อย่างไรเรื่องคลอดเด็กใครจะกล้าฟันธงเล่าเจ้าคะ? แล้วยังคลอดก่อนกำหนด…” แม้ว่าหมอตำแยจะพูดอ้อมค้อมอยู่หน่อย แต่บางคำพูดนั้นก็ทำได้แค่เพียงพูดไปก่อน

 

 

เฉินฮูหยินไม่ได้เลือกในทันทีเช่นเดียวกัน เพียงแค่พูดว่า “ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ต้องพยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ทั้งหมด หากรักษาไว้ได้ทั้งหมด ข้าจะต้องมอบเงินรางวัลจำนวนมากให้เจ้าแน่นอน”

 

 

เฉินฟู่กลับตัดสินใจเด็ดขาด “รักษาผู้ใหญ่!”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกดีใจแทนถาวซินหลัน ถาวซินหลันแต่งงานกับเฉินฟู่ พบเจอกับคนดีแล้วจริงๆ

 

 

“เก็บผู้ใหญ่ไว้” ถาวจวินหลันก็เดินออกไป พูดเสียงเบา “เด็กตายไปก็ยังคลอดใหม่ได้ ต่อให้หลังจากนี้มีลูกไม่ได้อีก ก็ยังรับอนุภรรยาได้ หากไม่พอก็รับเลี้ยงจากที่อื่นได้ จะต้องรักษาผู้ใหญ่เอาไว้ให้ได้! รักษาผู้ใหญ่ไม่ได้ หลังจากนี้พวกเจ้าก็ไม่ต้องไปทำคลอดคนอื่นอีกแล้ว”

 

 

วิธีลงโทษและตกรางวัลนั้นเป็นวิธีได้ผลมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เฉินฮูหยินจะมอบเงินรางวัลอย่างาม นางก็เพิ่มการข่มขู่เข้าไปอีกเล็กน้อย แผนการทั้งสองด้านนั้นย่อมทำให้บรรดาหมอตำแยเหล่านี้ใช้ความสามารถทั้งหมดของพวกเขา

 

 

พอพูดจบถาวจวินหลันก็ไล่ให้หมอตำแยกลับห้องคลอดไป มองเฉินฮูหยินนิ่ง พูดเสียงเบาว่า “เฉินฮูหยิน ข้าเคารพท่านเป็นอย่างมาก ตระกูลเฉินมีบุญคุณต่อตระกูลถาว ข้ารู้เรื่องนี้ดีแก่ใจ ข้าจึงอยากไว้หน้าตระกูลเฉินอยู่บ้าง แต่ข้ามีน้องสาวเพียงคนเดียว เรื่องราวแท้จริงเป็นเช่นไรข้ารู้ดี สุดท้ายจะทำอย่างไรข้าก็ยังคงเคารพการตัดสินใจของท่าน เพียงแต่ขอท่านช่วยพิจารณาเท่านั้นเอง”

 

 

น้ำเสียงคำพูดนี้ของถาวจวินหลันยังนับว่าอ่อนโยน และไว้หน้าเฉินฮูหยินมาก แต่ความหมายของคำพูดที่อ้อมค้อมนั้นกลับแสดงออกมาอย่างชัดเจน ครั้งนี้ถาวจวินหลันมีท่าทีแข็งกร้าว ไม่มีที่เหลือให้บิดพริ้วอะไรได้อีก

 

 

เฉินฮูหยินย่อมรู้ดีว่าถาวจวินหลันต้องการคำอธิบายอะไร ในความเป็นจริงแล้วถาวจวินหลันไม่ได้จัดการสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินโดยตรงก็ถือว่าไว้หน้าตระกูลเฉินมากพอแล้ว

 

 

คิดถึงสะใภ้ใหญ่ที่ไม่ได้เรื่อง เฉินฮูหยินก็ทั้งเสียใจและหงุดหงิด ถ้ารู้จะเป็นเช่นนี้คงไม่ควรสติเลอะเลือนตบแต่งลูกสะใภ้ใหญ่เช่นนี้เข้ามาในตระกูล ตอนนี้ก่อเรื่องใหญ่ขึ้นยังไม่รู้ว่าจะต้องจัดการอย่างไร…

 

 

นางจำต้องบอกการตัดสินใจให้ถาวจวินหลันรับรู้ แต่ทางด้านสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินก็เป็นคนที่ไม่น่าผูกสัมพันธ์ด้วย ตระกูลเฉินถูกบีบอยู่ตรงกลาง ตัดสินใจยากกยิ่ง

 

 

แต่เฉินฮูหยินก็ยอมรับชะตากรรม ใครให้ตระกูลของตนเองตบแต่งลูกสะใภ้น่าขายหน้าเช่นนี้มาเล่า? ที่สำคัญที่สุดก็คือถาวซินหลันจะต้องปลอดภัยก่อน ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้คงไม่มีทางจบดีแน่นอน

 

 

ถาวจวินหลันย่อมรู้ความลำบากใจของเฉินฮูหยิน แต่นางก็ไม่อาจปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านเลยไปเพียงเพราะความลำบากใจเท่านี้ ถาวซินหลันพบเจอความยากลำบากทรมาน นางไม่ใช่นักบุญ ไม่อาจปล่อยไปไม่เอาความ เพราะเห็นแก่หน้าตาของตระกูลเฉินนางถึงไม่ได้ลงมือด้วยตนเอง นี่ถือว่าถึงขีดจำกัดแล้ว แน่นอนว่าขอแค่ถาวซินหลันไม่เป็นอะไร นางก็ไม่ถึงขั้นเอาชีวิตของสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินมาชดใช้ แต่ก็จะให้สะใภ้ใหญ่ทรมานเช่นเดียวกัน

 

 

ความลำบากที่ถาวซินหลันต้องพานพบ นางจะต้องทำให้สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินได้ลิ้มรสเป็นสิบเท่า

 

 

ถาวจวินหลันไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่กลับไปในห้องคลอด เห็นว่าถาวซินหลันเริ่มกลัวขึ้นมาอีก เมื่อเห็นร่างของนางถึงได้คลายกังวล และสงบนิ่งไปมาก

 

 

ถาวจวินหลันลอบถอนหายใจ จับมือของถาวซินหลันเอาไว้เบาๆ ในใจนั้นภาวนาไม่หยุด สวดมนต์ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด ขอให้พ่อแม่ที่ตายไปแล้วของตนได้ปกป้องถาวซินหลันปลอดภัยผ่านเคราะห์ภัยครั้งนี้ไปได้

 

 

ถาวซินหลันคลอดลำบาก ถาวจวินหลันก็รู้สึกเจ็บปวดใจ รู้สึกหวาดกลัวกว่าตอนที่ตนเองคลอดลูกเสียอีก ไม่นานหมอตำแยก็ร้องดีใจ “ออกมาแล้ว!” นางเพิ่งคลายกังวล แต่ฉับพลันท่าทีของหมอตำแยก็แปลกไป

 

 

นางตื่นตกใจ รีบหันไปดู ที่ออกมาก่อนคือขาทั้งสองข้าง!

 

 

ถาวจวินหลันได้แต่สูดลมหายใจเย็นๆ ไม่กล้าแสดงออกมากเกินไป แต่นิ้วมือนั้นกำแน่นจิกลงไปที่ฝ่ามือ จิกลงไปอย่างไม่รู้สึกเจ็บ ในใจหวาดกลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

 

หากคลอดตามปกติสิ่งที่ควรออกมาก่อนคือหัว หัวคือส่วนที่ใหญ่ที่สุด พอหัวออกมา ร่างกายก็จะตามออกมาง่าย แต่ตอนนี้สิ่งที่ออกมาก่อนคือขา…

 

 

หมอตำแยปรึกษากันเสียงสั่น “ทำอย่างไรดี? จะดึงออกมา หรือจะดันกลับเข้าไป…” เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น มีเพียงแค่สองทางเลือกนี้เท่านั้น