ตอนที่ 179-2 กัวเฟยกลับเมืองหลวง

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมิ่งเชี่ยนโยวก็หันหลังกลับเข้าไปในห้อง ถือพู่กันขึ้นมาใหม่ เริ่มเขียนจดหมาย ในจดหมายมีแค่ประโยคเดียว ชิงหลวนและจูหลีที่อยู่ข้างๆ เห็นอย่างชัดเจน ข้าจะให้พวกเขาตายโดยไม่มีแม้แต่ที่ฝังศพ

 

 

เขียนจดหมายเสร็จแล้ว พับจดหมาย นำไปวางรวมกลับหลักฐานเมื่อครู่ เดินออกจากห้อง ไปยืนรออยู่ที่นอกประตูใหญ่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

พวกกัวเฟยรวดเร็วมาก เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว จูงม้าที่ดีที่สุดออกมา ขี่มาถึงข้างหน้าจวนของเมิ่งฉี เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนรออยู่ที่หน้าประตูใหญ่ ทุกคนลงจากม้า ที่เหลือยืนรออยู่ข้างๆ ม้า กัวเฟยเดินมาไม่กี่ก้าว เดินมาถึงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

“เรื่องที่ข้าสั่งเจ้าก่อนหน้านี้จัดการเสร็จแล้วหรือยัง” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวถาม

 

 

“เรียบร้อยแล้วขอรับ คนก็จัดวางเรียบร้อยแล้วขอรับ”

 

 

“ดี หลังจากที่พวกเจ้าถึงเมืองหลวงแล้ว นำสิ่งของพวกนี้ไปให้อี้เซวียน ไม่ต้องรีบกลับมา ไปพักผ่อนที่จวนของเราสองสามวันก่อน”

 

 

กัวเฟยรับคำสั่ง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนำจดหมายและหลักฐานที่อยู่ในกระเป๋าแขนเสื้อออกมาให้เขา กำชับว่า “ระหว่างทางระวังตัวด้วย”

 

 

กัวเฟยรับคำสั่ง นำของทั้งหมดแอบซ่อนไว้ข้างหน้า กระโดดขึ้นหลังม้า รีบขี่นำไปที่เมืองหลวง ยังมีองครักษ์ลับอีกสองคนตามหลังเขาอยู่ข้างหลัง

 

 

เห็นพวกเขาไปไกลแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับไปในห้อง มองดูสองแม่ลูกที่ไม่มีทีท่าฟื้นขึ้นมาแต่อย่างใด พูดอย่างโมโหว่า “ข้าจะให้พวกเขาฝังไปพร้อมกับพวกเจ้า”

 

 

เหมือนกับรู้สึกได้ถึงความเลือดเย็นของนาง คิ้วของจางลี่ขมวดขึ้นเล็กน้อย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ของนาง ดีใจ ความเย็นรอบกายหายไป ก้มตัวลง กล่าวถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ลี่เอ๋อร์ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

 

 

ไม่คิดว่าจางลี่จะตอบคำถามนาง “เจ็บ…เจ็บไปทั้งตัว” พูดจบ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

 

 

ภาพที่เข้ามาในสายตาของนางคือใบหน้าที่ซูบผอมและเป็นกังวลของเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

“พี่…โยวเอ๋อร์” จางลี่เรียกด้วยน้ำเสียงเบาๆ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าดีใจติดต่อกันหลายครั้ง “ใช่ ข้าคือพี่โยวเอ๋อร์”

 

 

“ข้าอยู่ที่ไหน”

 

 

“เจ้าอยู่ในจวนของพี่โยวเอ๋อร์”

 

 

จางลี่โล่งอกอย่างเห็นได้ชัด “อยู่บ้านพี่โยวเอ๋อร์ ดีจริงๆ พวกเราสองแม่ลูกรอดแล้ว” พูดจบ รีบถามว่า “เสี่ยวเอ๋อร์ล่ะ เสี่ยวเอ๋อร์อยู่ที่ใด” พูดไปด้วย ก็พยายามลุกขึ้นมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามนางไว้ “ลี่เอ๋อร์ อย่ากังวล เสี่ยวเอ๋อร์อยู่ข้างๆ เจ้านั่นแหละ” พูดจบ จับมือนางขึ้นมาให้นางแตะลงบนใบหน้าของจูเสี่ยว

 

 

รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของจูเสี่ยว รอยยิ้มบางๆ เกิดขึ้นบนใบหน้าของจางลี่ กล่าวว่า “พี่โยวเอ๋อร์ เสี่ยวเอ๋อร์เป็นทั้งชีวิตของข้า ถ้าหากเขาเกิดอะไรขึ้น ข้าก็มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหนักใจขึ้นมา ใบหน้าไม่แสดงออกท่าทางใดๆ ตั้งใจใช้เสียงต่ำสั่งสอนนาง “พูดอะไรไร้สาระ เสี่ยวเอ๋อร์ยังดีๆ อยู่ จะมีเรื่องอะไรได้อย่างไร”

 

 

รอยยิ้มของจางลี่ยิ่งชัดเจนขึ้น “พี่โยวเอ๋อร์ เจ้าไม่รู้ เสี่ยวเอ๋อร์เขาปกป้องข้าได้แล้ว ตอนที่หญิงบ้านั้นสั่งคนทำร้ายข้า เสี่ยวเอ๋อร์มาบังข้าไว้ด้านหน้า ใช้ร่างกายเล็กๆ ของเขาปกป้องข้า” พูดถึงที่นี่ รอยยิ้มบนใบหน้าได้หายไป มีแต่น้ำตาไหลออกมา “ผู้หญิงคนนั้นบ้าไปแล้ว ข้าสัญญากับนางแล้วว่าจะหย่ากับสามี หลีกทางให้นาง นางก็ยังสั่งคนทำร้ายเสี่ยวเอ๋อร์ของข้าต่อหน้าข้า” พอพูดถึง ภาพเหตุการณ์ตอนนั้นก็ผุดขึ้นมา ร่างกายก็สั่นเทา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรีบกอดหัวนางไว้ วางใบหน้าลงบนหัวนาง ปลอบใจนางอย่างอ่อนโยนว่า “ลี่เอ๋อร์ไม่ต้องกลัว มันผ่านไปแล้ว เสี่ยวเอ๋อร์ไม่เป็นอะไร เจ้าก็ไม่เป็นอะไร พี่โยวเอ๋อรให้สัญญากับเจ้า ว่าจะไม่ปล่อยพวกคนที่ทำร้ายพวกเจ้าเด็ดขาด”

 

 

ผ่านไปสักพักร่างกายของจางลี่จึงจะหยุดสั่น ยังอยากจะพูดต่อ เมิ่งเชี่ยนโยววางมือลงบนปากของนางห้ามนางไว้ “ลี่เอ๋อร์ พี่โยวเอ๋อร์รู้ว่าเจ้ายังมีหลายเรื่องจะเล่าให้ข้าฟัง แต่ว่าเจ้าสลบไปเกือบสองวันสองคืน ร่างกายยังอ่อนแออยู่มาก ต้องพักผ่อนให้มากๆ ฟังพี่โยวเอ๋อร์ ยังไม่ต้องพูดอะไร พักผ่อนก่อนสักครู่ ดื่มซุปโสมหน่อย รอเจ้ามีแรงแล้ว ค่อยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเจ้าให้ข้าฟัง ดีหรือไม่”

 

 

พูดแค่ไม่กี่ประโยคนี้ จางลี่ก็หอบเหนื่อยมาก ได้ยินแล้ว ก็ค่อยๆ พยักหน้า กล่าวว่า “ข้าจะเชื่อฟังพี่โยวเอ๋อร์”

 

 

ไม่ต้องรอคำสั่ง ชิงหลวนหันหลังไปห้องครัว ยกซุปโสมมา เมิ่งเชี่ยนโยวป้อนจางลี่ดื่มด้วยตัวเอง

 

 

ดื่มเสร็จ ค่อยๆ นอนลงไป จางลี่พยายามใช้แรงพลิกตัว อยากมองเสี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ

 

 

ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ในห้องมีเพียงแสงแดดรำไรส่องเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มหนักใจมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นท่าทางของจางลี่แล้ว ไม่รู้ว่าควรช่วยนาง หรือห้ามนาง

 

 

“พี่โยวเอ๋อร์ เจ้าช่วยข้าหน่อย ข้าอยากเห็นเสี่ยวเอ๋อร์” จางลี่ที่ทั้งตัวถูกผ้าห่มไว้ เสียแรงอย่างมาก ก็ไม่สามารถพลิกตัวไปได้ ออกเสียงขอร้อง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกัดฟันไม่ขยับ

 

 

จางลี่รู้สึกถึงความแปลกของนาง มองนางด้วยความไม่เข้าใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกัดฟัน สั่งให้ชิงหลวนเอาหมอนมา ค่อยๆ วางลงบนหลังของจางลี่ หลังจากนั้นค่อยๆ ช่วยจางลี่พลิกตัว เพื่อให้นางสามารถมองเห็นเสี่ยวเอ๋อร์

 

 

มองเสี่ยวเอ๋อร์ที่แม้ว่าทั้งตัวจะถูกผ้าห่มไว้ แต่ก็เหมือนกับที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูด หลับอย่างสงบอยู่ข้างๆ รอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าของจางลี่ ยกมือขึ้นอย่างยากลำบาก ค่อยๆ แตะลงบนหัวของเสี่ยวเอ๋อร์ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เสี่ยวเอ๋อร์ แม่ฟื้นแล้ว เมื่อไหร่ลูกจะฟื้นขึ้นมาพูดคุยเป็นเพื่อนแม่ล่ะ”

 

 

น้ำตาของเมิ่งเชี่ยนโยวเกือบไหลออกมา รีบเงยหน้าขึ้น กระพริบตา ให้น้ำตาไหลกลับเข้าไป จึงก้มหัวลง กล่าวด้วยเสียงเบาๆ ว่า “ลี่เอ๋อร์ เสี่ยวเอ๋อร์ยังเล็ก บาดแผลที่ได้ก็หนักกว่า ไม่ตื่นเร็วๆ นี้แน่นอน เจ้าให้เขานอนพักผ่อนดีๆ ต่อเถิด รอเขาหลับเต็มอื่มเหมือนเจ้าแล้ว เขาก็ฟื้นขึ้นมาเอง”

 

 

จางลี่ชะงักมือที่แตะอยู่บนหัวของเสี่ยวเอ๋อร์ ผ่านไปชั่วครู่ก็กล่าวถามว่าเสียงต่ำว่า “พี่โยวเอ๋อร์ เสี่ยวเอ๋อร์จะตื่นขึ้นมาอีกหรือไม่”

 

 

ร่างกายของเมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงัก มองนางด้วยความตกใจ แล้วกล่าวด้วยเสียงต่ำสั่งสอนนางว่า “เจ้าคิดฟุ้งซ่านอะไร เสี่ยวเอ๋อร์จะไม่ตื่นขึ้นมาได้อย่างไร”

 

 

จางลี่หันไปมองนาง ยิ้มออกมา “ข้าเชื่อพี่โยวเอ๋อร์ เสี่ยวเอ๋อร์ต้องตื่นขึ้นมาแน่นอน ข้าจะต้องพักผ่อนรักษาตัวดีๆ พอหายดีแล้วจะได้ดูแลเขา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนพยักหน้า ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา กลัวว่าถ้าเอ่ยออกมาจะกลั้นน้ำตาที่หลออกมาไม่ได้

 

 

จางลี่พลิกตัว ยกมือวางลงบนอกของจูเสี่ยว รู้สึกถึงลมหายใจที่อ่อนแรงของเขา มองดูเขาด้วยรอยยิ้ม

 

 

ชิงหลวนและจูหลีเห็นภาพนี้ ตาก็เริ่มแดงก่ำ ทนไม่ไหวต้องหันหลังกลับไป

 

 

ในห้องไม่มีใครพูดอะไร เงียบจนทำให้น่ากลัว

 

 

ชิงหลวนเป็นคนแรกที่ทนบรรยากาศกดดันนี้ไม่ไหว เอ่ยออกมาหนึ่งประโยค “คุณชายเสี่ยวเอ๋อร์ควรกินยาแล้ว ข้าไปยกมานะเจ้าคะ” แล้วก็รีบเดินออกไป

 

 

ปกติจูหลีเป็นคนไม่แสดงออกสีหน้าใดๆ ทั้งสิ้น ตอนนี้ก็ดูไม่ออกว่านางมีอะไรแปลกไป แต่ในใจของนางรู้ดีว่านางก็ทนไม่ไหวกับบรรยากาศนี้แล้ว อยากหนีออกไป อยากหาที่ระบายออกมา ระบายอารมณ์ขมขื่นในใจออกมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับสงบลง ไม่ว่าอะไร จูเสี่ยวยังมีลมหายใจอยู่ แม้ว่าจะตื่นขึ้นมาไม่ได้เร็วๆ นี้ จางลี่ก็ยังไม่หมดสิ้นความหวังที่จะมีชีวิตต่อไป

 

 

มีเพียงจางลี่ ที่ดูเหมือนจะไม่รู้สึกถึงอารมณ์ของคนในห้อง ไม่เพียงอ่อนโยน ยิ้มมุมปากแล้วมองดูจูเสี่ยว ยังยกมือขึ้นอย่างยากลำบาก ค่อยๆ แตะบริเวณที่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ พึมพำออกมาเบาๆ ว่า “เสี่ยวเอ๋อร์ เจ้าพูดออกมาสักคำได้หรือไม่ แม่เพียงอยากฟังเจ้าพูดออกมาสักคำ”

 

 

จูหลีก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป รีบกล่าวออกมาว่า “ทำไมชิงหลวนยังไม่กลับมาอีก ข้าไปตามนางนะเจ้าคะ” วิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวอ้าปากอยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร

 

 

ผ่านไปสักพักใหญ่ ชิงหลวนและจูหลีถึงยกถ้วยยาเข้ามา กล่าวด้วยเสียงเบาๆ ว่า “นายหญิง ฮูหยินจู คุณชายจูควรกินยาแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

จางลี่ยกมือออกจากตัวเสี่ยวเอ๋อร์ หันไปยิ้มให้กับพวกเขาแล้วกล่าวว่า “รบกวนพวกเจ้าแล้ว”

 

 

ชิงหลวนฝืนยิ้มออกมา “ฮูหยินจูเกรงใจไปแล้ว ไม่รบกวนอะไรเลยเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยงถอดรองเท้าขึ้นบนเตียงร้อนอยากจะอุ้มเสี่ยวเอ๋อร์ให้ห่างจากตัวจางลี่

 

 

จางลี่ออกเสียงห้ามนางไว้ “พี่โยวเอ๋อร์ ตั้งแต่เด็กเสี่ยวเอ๋อร์กลัวการกินยาที่สุดเลย ถ้าหากข้าไม่กล่อมเขาไว้ เขาจะต้องอ้วกยาออกมาหมดแน่นอน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักมือ

 

 

ชิงหลวนและจูหลีก็สบตากัน

 

 

จางลี่พูดจบ ก็กล่าวกับเสี่ยวเอ๋อร์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เสี่ยวเอ๋อร์ แม่ก็บาดเจ็บเช่นกัน ไม่สามารถป้อนยาให้เจ้ากินได้ ตอนนี้ท่านป้าโยวเอ๋อร์ป้อนเจ้า เจ้าต้องเชื่อฟัง กลืนยาลงไปดีๆ ดีขึ้นเร็วๆ เป็นเพื่อนแม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกัดฟัน รับถ้วยยาจากมือของชิงหลวน ยกช้อนขึ้นมา ตักยาคำเล็กๆ ยื่นไปที่ข้างปากเสี่ยวเอ๋อร์ และกล่อมด้วยน้ำเสียงเบาๆ ว่า “เซียวเอ๋อร์เด็กดี อ้าปากเร็ว”