บทที่ 2268 ทุกอย่างต้องพึ่งพาตัวเธอเองแล้ว! / บทที่ 2269 เมื่อกี้เขาก็อยู่เยื้องไปทางซ้าย!

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2268 ทุกอย่างต้องพึ่งพาตัวเธอเองแล้ว!

และหลังจากตี้ฝูอีมาถึงโลกใบนี้ พลังวิญญาณก็เหลือเพียงขั้นเสี่ยวเซียนเท่านั้น ห่างชั้นจนมิใช่คู่ต่อสู้ของอวิ๋นเยียนหลีเลย ยิ่งเขามองทุกอย่างออกมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องหลีกหนีไปให้ไกลเท่านั้น…

ถ้างั้น เขาไปหลบอยู่ที่ไหนกันล่ะ?

เก้าเมืองของแดนอสุราล้วนเป็นอาณาเขตของอวิ๋นเยียนหลี ไม่ว่าตี้ฝูอีจะไปหลบอยู่ที่ไหนล้วนจะถูกเขาควานหาตัวออกมาได้รวดเร็วยิ่ง

สถานที่แห่งเดียวที่ทำให้อวิ๋นเยียนหลีหวั่นเกรงได้ก็มีเพียง…อาณาจักรมารอสุรา!

มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วนที่เขาจะเข้าไปซ่อนตัวที่นั้นแล้ว…

ไอ้เด็กแสบคนนี้ เขาไม่พูดอะไรสักคำก็หนีไปซ่อนตัวเลย ทิ้งเธอที่เลอะเลือนปานน้ำเข้าสมองให้อยู่ข้างนอกตามยถากรรมเลยหรือ?

ไม่กลัวว่าอวิ๋นเยียนหลีจะงาบเธอหรือไง ไม่กลัวว่าอวิ๋นเยียนหลีจะสวมเขาให้เขาบ้างหรือ?

ช้าก่อน! คำพูดนี้ ดูเหมือนเธอเป็นภรรยาของตี้ฝูอีเลยนี่นา…

กู้ซีจิ่วระงับความคิดในใจที่ไม่ค่อยเข้าท่านี้ไว้ หันไปถามหยกนภา

‘เสี่ยวชาง เจ้ามีข้อมูลของอาณาจักรมารอสุราไหม?’

‘เจ้านาย ข้า…ข้าไม่มีความสามารถมากขนาดนั้น’

หยกนภาตอบเสียงอ่อยๆ โลกที่มันคุ้นเคยที่สุดยังคงเป็นโลกที่สวรรค์อำนวยพร เช่นโลกนั้นที่กู้ซีจิ่วเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ อยู่ที่นี่มันก็สองตามืดบอดเช่นกัน

กู้ซีจิ่วเม้มปาก

เอาเถอะ ทุกอย่างต้องพึ่งพาตัวเธอเองแล้ว!

คุณปู่เหมา[1]เคยพูดไว้ เด็กดีต้องพึ่งพาตัวเอง มานะขันแข็ง!

หยกนภาคล้ายจะเดาความเคลื่อนไหวขั้นต่อไปของเธอได้แล้ว

‘เจ้านาย พวกเราจะไปตามหาคนที่อาณาจักรมารอสุราเหรอ?’

กู้ซีจิ่วส่ายหน้า

‘ไม่ ครั้งนี้พวกเขาถูกปล้นคลังผลึกวิญญาณ ทำร้ายถึงรากฐานของพวกเขา อวิ๋นเยียนหลีต้องเดือดดาลร้อนรนเป็นแน่ เขาคงเดาว่าเป็นคนของเผ่ามารที่เล่นเล่ห์ ปากทางเข้าสู่อาณาจักรมารอสุราในยามนี้เกรงว่าจะมีคนของเขาคอยเฝ้าอยู่แน่นหนา พวกเราไปตอนนี้จะเป็นการโยนตัวเองเข้าปากแห’

‘ถ้างั้นพวกเราจะไปไหนต่อล่ะ?’

‘กลับเมืองลั่วฮวา ไปดูคนตาย!’

เธอสนใจในตัวอวิ๋นฮูหยินที่สิ้นชีพไปแล้วยิ่งนัก ต้องไปยืนยันข้อสันนิษฐานของตนดูสักหน่อย

….

เมืองลั่วฮวาอยู่ห่างจากเมืองซุ่ยเย่ถึงสามพันลี้ หากโดยสารม้าเร็ว ไม่มีอุปสรรคใดระหว่างทางเลย ก็ต้องเดินทางอยู่สามวัน

แต่ตอนนี้เส้นทางทุกสายล้วนรกชัฏแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกปกคลุมด้วยป่าทึบ การเดินทางท่ามกลางป่าเขา ต่อให้ใช้เวลาสิบวันก็ยังไม่แน่ว่าจะกลับถึงเมือง

โชคดีที่กู้ซีจิ่วมีวิชาเคลื่อนย้าย หลังจากความทรงจำเธอกลับมาแล้ว ยามที่วิถีอันคุ้นเคยถูกกระตุ้นขึ้นมา วิชาเคลื่อนย้ายก็ยิ่งเลิศล้ำขึ้นไปอีก ทุกครั้งที่เคลื่อนย้ายสามารถเดินทางได้ห้าสิบลี้ หลังจากเธอเคลื่อนย้ายติดต่อกันกว่าสิบครั้ง ในที่สุดก็ไล่ตามราชาเสือดาวเมฆาตัวนั้นของตนทันแล้ว

เสือดาวเมฆากำลังหมอบพักเท้าอยู่ในโพรงเขาแห่งหนึ่ง เจ้านายของมันเคยสั่งไว้ มันสามารถเดินทางอย่างเอ้อระเหยได้ ดังนั้นมันจึงวิ่งบ้างเดินทอดน่องบ้างมาตลอดทาง

ราชาเสือดาวเมฆาเป็นราชาสัตว์ร้ายที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแดนอสุราแห่งนี้ นอกเหนือจากสัตว์ร้ายที่วิปริตเฉกเช่นจูผอหลงแล้ว สัตว์อื่นล้วนไม่กล้ายุแหย่มัน ดังนั้นตลอดทางมานี้มันจึงไม่พบอุปสรรคใดเลย…

ทันทีที่กู้ซีจิ่วปรากฎตัวขึ้นต่อหน้ามัน มันก็กระโดดผลุงขึ้นมาอย่างคึกคัก ตะปบขากวางข้างหนึ่งยื่นส่งให้เธอ กระดิกหางให้เธออย่างสุดชีวิต อยากให้กู้ซีจิ่วย่างให้มันกิน

กู้ซีจิ่วเห็นมันแล้วนึกถึงเจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋ของบ้านตนขึ้นมา ดวงตาพลันร้อนผ่าว รับน่องกวางมาแล้วก่อไฟย่างให้ กินเองครึ่งหนึ่ง แบ่งให้ราชาเสือดาวเมฆากินครึ่งหนึ่ง

ขณะที่กินอยู่ จู่ๆ เส้นขนทั่วร่างเธอก็ลุกชันขึ้นมาทันที คล้ายว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องเธออยู่ในความมืด…

เธอไม่แสดงสีหน้าออกมา ทว่านิ้วมือกลับจรดเตรียมร่ายเคล็ดคาถาแล้ว

จู่ๆ ยันต์ถ่ายทอดเสียงตรงหว่างเอวก็เปล่งแสงขึ้นมา กู้ซีจิ่วหลุบตามองแวบหนึ่ง เป็น

‘สายเรียกเข้า’ จากอวิ๋นเยียนหลี

เธอใจเต้นแวบหนึ่ง รับสาย น้ำเสียงดึงดูดของอวิ๋นเยียนหลีแว่วออกมา

‘ซีจิ่ว ตอนนี้ถึงไหนแล้ว?’

————————————————————————————-

บทที่ 2269 เมื่อกี้เขาก็อยู่เยื้องไปทางซ้าย!

กู้ซีจิ่วหัวเราะเอื่อยๆ

“อะไรกัน? ตรวจพิกัดหรือ?”

อวิ๋นเยียนหลีก็หัวเราะเช่นกัน

‘มิกล้า เป็นห่วงเจ้าน่ะ’

กู้ซีจิ่วมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง จากนั้นก็รายงานตำแหน่งที่อยู่ของตัวเอง เอ่ยถามอีกประโยค

“ธุระเจ้าเสร็จแล้วหรือ?”

‘ยังหรอก ซีจิ่ว เจ้าระวังตัวด้วยนะ อีกสักระยะข้าจะไปหาเจ้าที่เมืองลั่วฮวา ครั้งนี้อาจจะนานหน่อย น่าจะราวๆ สองเดือน’

“ไม่เป็นไร เจ้าจัดการธุระเจ้าเถอะ ถึงอย่างไรข้าก็คงไม่ออกไปตามหาคนสักระยะ คงไม่รบกวนเจ้าแล้ว”

‘ซีจิ่ว เจ้ายังจะเกรงใจข้าแบบนี้อีก ข้าบอกแล้วไง เรื่องของเจ้าก็คือเรื่องของข้า เจ้าวางใจเถอะ หลายวันมานี้ข้ายังคิดหาหนทางตามหาคุณชายฝูอีอยู่เลย’

“เยี่ยมเลย…”

ยันต์ถ่ายทอดเสียงดับไปแล้ว กู้ซีจิ่วหลุบตามองแวบหนึ่ง เก็บมันขึ้นมา

และบนต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไป อวิ๋นเยียนหลีในชุดดำยืนอยู่ตรงนั้นปานค้างคาวราตรี มองกู้ซีจิ่วที่กำลังย่างเนื้อกวางอยู่ไกลๆ ถอนหายใจเบาๆ ดูเหมือนคนที่เข้าไปปล้นห้องลับของเขาจะไม่ใช่นาง…

เขาหันหลัง ทะยานจากไป

ผลึกวิญญาณขั้นหนึ่งขั้นสองถูกขโมยไป การใหญ่ของเขาก็ต้องถูกบีบให้ชะงักลง

ขณะที่เขาส่งคนไปตามหาผลึกวิญญาณที่หายไป ก็ต้องออกล่าผลึกวิญญาณขั้นหนึ่งขั้นสองด้วย พยายามชดเชยสิ่งที่สูญเสียไป…

การล่าผลึกวิญญาณขั้นหนึ่งขั้นสองเขาต้องออกโรงเองถึงจะใช้ได้ ย่อมไม่มีเวลามาอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่วแล้ว…

….

กู้ซีจิ่วเก็บยันต์ถ่ายทอดเสียง กินเนื้อกวางต่อ

หยกนภาเอ่ยถามเธอ

‘เจ้านาย ดูเหมือนอวิ๋นเยียนหลียังห่วงใยท่านอยู่นะ’

ห่วงใย?

กู้ซีจิ่วหยักมุมปากบางๆ

“เมื่อกี้เขาก็อยู่เยื้องไปทางซ้าย!”

เขาแค่นึกระแวงเธอ จึงมาตรวจสอบดูก็เท่านั้น

หยกนภาเคร่งเครียดขึ้นมาแล้ว

‘เช่นนั้นเขาจะนึกสงสัยหรือเปล่า? เจ้านาย ผลึกวิญญาณของพวกเราจะถูกเขาแย่งคืนไปไหม?’

กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย เจ้านี่แค่ห่วงว่าจะโดนแย่งผลึกวิญญาณไปสินะ?

หากถูกอวิ๋นเยียนหลีพบเข้าจริงๆ จะมิง่ายดายเพียงทวงหินวิญญาณกลับคืนไปหรอก…

‘เจ้านาย หากว่าเขาให้ท่านคืนผลึกวิญญาณ ท่านก็คืนที่อยู่ในมิติเก็บของท่านให้เขาเถอะ ที่ข้าไม่ต้องคืน เขาไม่รู้แน่ๆ ว่าในกำไลก็สามารถเก็บซ่อนผลึกวิญญาณไว้ได้มากมายเช่นกัน ต่อให้สุดท้ายแล้วจำนวนจะไม่ถูกต้อง พวกเราก็ยังพูดว่าคนอื่นเอาไปแล้วได้…’

หยกนภาเสนอความคิดโง่ๆ

กู้ซีจิ่วหมดคำพูดกับมันจริงๆ…

เธอเอ่ยอย่างโหดเหี้ยมว่า

“วางใจเถอะ หากว่าเขารู้เข้า ข้าก็จะมอบเจ้าให้เขา ให้เขาเอาเจ้าไปทุบแยกเอาผลึกวิญญาณ!”

หยกนภาหุบปากทันที

กู้ซีจิ่วโยนกระดูกในมือทิ้ง เหินขึ้นไปนั่งบนหลังราชาเสือดาวเมฆา

“ไปกันเถอะ”

‘เจ้านาย อวิ๋นเยียนหลีจะไม่ไล่ตามมาใช่ไหม?’

หยกนภาถาม

“แน่นอนว่าไม่ ตอนนี้เขาไม่ระแวงอะไรข้าแล้ว คงไม่สนใจข้าชั่วคราว พวกเราจะได้จัดการธุระของตัวเองพอดี”

….

ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็กลับมาถึงเมืองลั่วฮวาอีกครั้ง

ในเมืองคล้ายว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่ เธอเห็นคนในเผ่าแล้ว

หนนี้เธอจากไปค่อนข้างนาน สามเดือนเต็มๆ กลับมาหนนี้เหล่าผู้เฒ่าที่อายุหกสิบปีขึ้นไปนอกจากหัวหน้าเผ่า ที่เหลือต่างสิ้นอายุขัยไปหมดแล้ว

กู้ซีจิ่วถามถึงสาเหตุการตายของคนเหล่านั้น ไม่มีอะไรผิดปกติ และไม่ได้ถูกผู้ใดกระทำทารุณ ล้วนเสียชีวิตด้วยความชราภาพ

ส่วนคนหนุ่มเช่นพวกเถี่ยตั้น เถี่ยหนิวเห็นกันอยู่ชัดๆ การงานที่ทำก็ไม่นับว่าเหนื่อยยาก ชีวิตความเป็นอยู่ก็ดีกว่าเมื่อก่อนมากนัก แต่กลับดูโรยราลงไปมาก คนหนุ่มอายุยี่สิบปีกลับดูคล้ายคนอายุยี่สิบเจ็บยี่สิบแปดแล้ว

แน่นอน ความเปลี่ยนแปลงของคนหนุ่มมิได้เห็นเด่นชัด ทุกคนจึงไม่ใส่ใจ

ฮวาจื่อชุนถอนหายใจ

“ซีจิ่ว ข้าสอบถามมาแล้ว คนธรรมดาในเมืองล้วนแก่เฒ่าลงอย่างรวดเร็ว…”

————————————————————————————-

[1] หมายถึง เหมาเจ๋อตุง เป็นนักปฏิวัติลัทธิคอมมิวนิสต์ชาวจีนที่กลายเป็นบิดาผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน และกลายเป็นประธานาธิบดีคนสำคัญในประวัติศาสตร์การปฏิวัติของประเทศจีน