ลงโทษ?

 

 

 

 

“เสียงอะไรน่ะ” จิ่งเหิงปัวที่หนีออกมาไกลแล้วรู้สึกคล้ายกับว่าได้ยินเสียง กร๊อบ! ดังขึ้นเสียงหนึ่ง ในความมืดครึ้มรำไรจึงสะท้านไปทั่วทั้งร่างโดยจิตสำนึก อดจะหันหน้ากลับไปมองไม่ได้ 

 

 

ข้างหลังว่างเปล่า มีคนที่ไหนกัน 

 

 

นางลูบๆ ขนที่ลุกชันขึ้นมาทั่วร่าง แล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้มเบิกบานว่า “ข้างหน้าเหมือนจะมีเมืองเมืองหนึ่ง พวกเราไปจ้างรถที่นั่นสักคันแล้วค่อยกลับไปเมืองด้านในดีหรือไม่?” 

 

 

แน่นอนว่าย่อมไม่มีผู้คิดเห็นขัดแย้ง ยังดีว่าเส้นทางไม่ไกลนัก เมื่อทุกคนมาถึงบริเวณใกล้เคียงจึงพบว่าที่นั่นเป็นเมืองทหาร บนป้ายศิลาสลักที่ตั้งอยู่หน้าเมืองเขียนว่า ‘ซีคัง’ สองตัวอักษร 

 

 

เมืองซีคังเป็นเมืองทหาร การเข้าเมืองจึงไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ดีที่ว่าคณะเดินทางกลุ่มนี้เป็นสตรีทั้งหมด จิ่งเหิงปัวโกหกว่าระหว่างทางประสบภัยพิบัติจึงจะเข้าเมืองไปพึ่งพาญาติ ซ้ำยังยกเท้าที่สวมรองเท้าฟางขึ้นมาให้เขาดู เห็นว่าบนเท้านุ่มลื่นขาวราวหิมะมีรอยถลอกขนาดใหญ่เท่าขี้ตา ผสมกับน้ำเสียงออดอ้อนและสายตากระชากวิญญาณของนางแล้ว กล่าวเพียงสองสามประโยคย่อมทำให้ทหารเฝ้าประตูปล่อยเข้าเมืองไปด้วยหน้ามืดตามัว 

 

 

ในเมืองยังคงคึกคักแม้ว่าจะมีทหารซีคังครึ่งหนึ่งมีราษฎรครึ่งหนึ่ง กล่าวกันว่าที่นี่คือสถานที่ตั้งกองกำลังทหารเพื่อตั้งมั่นรักษาชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือแห่งแคว้นต้าเยียนของขุนพลเก่าแก่นามว่าจงหยวนอี้ ทั้งในและนอกเมืองนี้มีทหารสองแสนนายและมีราษฎรหนึ่งแสนคน เมืองนี้ยังเป็นจุดรวมพลประชาราษฎร์จุดสุดท้ายที่เจริญรุ่งเรืองก่อนออกจากแคว้นต้าเยียน เมืองนี้ติดต่อค้าขายทางชายแดนนานหลายปี ทำให้ราษฎรเพิ่มทวี เช่นนั้นจึงแลดูฝูงชนคึกคักไม่ด้อยไปกว่าแผ่นดินด้านในสักเท่าไร 

 

 

จิ่งเหิงปัวเดินทางในภูเขากว้างใหญ่มาเนิ่นนาน ตอนนี้พอได้เห็นผู้คนแล้ว เซลล์ทั่วทั้งร่างก็ล้วนอยากเริงระบำ นางจูงมือทุกผู้คนไปกินอาหารร้านแผงลอยอย่างตื่นเต้นเป็นพิเศษ เมืองซีคังมีตลาดกลางคืนบนถนนทั้งเส้น ที่นี่ขายอาหารหลากหลายชนิด อย่างเช่น เนื้อแพะแห้ง กีบเท้าแพะ หัวกระต่าย เส้นกูดเกี๊ยะ[1]ผัดซีอิ๊ว ผัดปาท่องโก๋ ก๋วยเตี๋ยวและเกี๊ยว จิ่งเหิงปัวเดินไปกลับบนถนนสองรอบ แม้ว่าท้องจะร้องจ๊อกๆ และกระหายในแสงสีของโลกมนุษย์ แต่กลับรู้สึกว่าแผงขายของพวกนี้สกปรกอย่างมากจนลังเลไม่กล้าเข้าไป 

 

 

ในโลกปัจจุบันนางมีอาการรักสะอาดพอสมควร แต่ว่าความรักสะอาดนั้นก็ถูกเพื่อนซี้ใจร้ายพวกนั้นบังคับให้เป็นในหลายครั้ง จิ่งเหิงปัวคนนี้ที่จริงแล้วปรับตัวเก่งไม่ยึดถือเรื่องหลักการ ในเวลาที่จำเป็นนางสามารถทอดทิ้งการยึดมั่นที่ไม่จำเป็นได้อย่างสิ้นเชิง เพราะอย่างนั้นหลังจากที่นางมาถึงต่างมิติ เมื่อสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยให้นางรักสะอาด และข้างกายมีคนรักสะอาดยิ่งกว่านาง นางจึงไม่ได้รักสะอาดขนาดนั้นแล้ว ตอนนี้เมื่อหลุดพ้นจากข้างกายกงอิ้น นางจึงรู้สึกถึงความอิสรเสรีชั่วขณะ ขณะเดียวกันนั้นในใจคล้ายว่างเปล่าอยู่บ้าง อาการเดิมก็โผล่ออกมาในทันที จนเริ่มรู้สึกว่าตรงนี้สกปรกตรงนั้นสกปรกอีกครั้ง มองไปที่ไหนก็ขัดหูขัดตา 

 

 

หลังจากเดินไปกลับบนถนนสายเล็กเป็นรอบที่สามในระยะเวลาสั้นๆ ทุกคนก็ล้วนรู้สึกว่าเหนื่อยแล้วหิวแล้ว เฟยเฟยลากชายกระโปรงของนางไว้ ส่วนมือชี้ไปยังร้านขายซาลาเปาเนื้อร้านหนึ่งข้างหน้าไม่ยอมขยับขา พลางกะพริบนัยน์ตากลมโตงดงามสองมิติจนเปล่งประกายสุดชีวิต รอให้จิตใจดีงามของจิ่งเหิงปัวพบเข้า 

 

 

ชุ่ยเจี่ยพลันเอ่ยว่า “ร้านข้างหน้านั้น ดูท่าทางจะสะอาดสะอ้านอยู่บ้าง” 

 

 

ตอนนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งมองเห็นว่าที่มุมถนนมีเพิงร้านกางผ้าขาวร้านหนึ่ง ขนาดไม่ใหญ่โต แต่มีผ้าขาวสีขาวราวหิมะ โต๊ะเก้าอี้ม้านั่งใต้ผ้าคลุมก็ใหม่เอี่ยมไม่เหมือนร้านอื่นที่มีคราบน้ำมันเกาะหนา หญิงชายหลายคนกำลังยุ่งอยู่ด้านในและมีลูกค้าอยู่ในร้าน ทุกคนแต่งกายสะอาดเรียบร้อย ดุจทัศนียภาพโดดเด่นผ่อนคลายท่ามกลางบนถนนวุ่นวายที่มีไอควันลอยอบอวลเต็มไปด้วยควันไฟและมีเสียงผู้คนอึกทึกสายนี้ 

 

 

“เอ๋ เมื่อครู่เดินไปสองรอบแล้วเหตุใดจึงมองไม่เห็น?” จิ่งเหิงปัวนึกสงสัยพลางเดินเข้าไปข้างในทันที 

 

 

เมื่อนางเข้ามาแล้ว ลูกค้าในร้านที่กินเสร็จก็กำลังเดินออกไปจนเหลือที่นั่งไว้อย่างพอดี จิ่งเหิงปัวเอียงศีรษะมองดูเงาด้านหลังของลูกค้าที่เดินหายไปแล้ว รู้สึกไม่แน่ใจคล้ายมีอะไรผิดแผกแต่ก็นึกไม่ออก 

 

 

ฮูหยิน[2]นางหนึ่งเดินเข้ามาต้อนรับ บนใบหน้ามีรอยยิ้มสุภาพอ่อนโยน หน้าตามีเมตตาอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “นายท่านกินอะไรดีเจ้าคะ ร้านเล็กๆ แห่งนี้มีหมี่เย็นโล่วอวี๋[3]ที่ทำที่นี่โดยเฉพาะ มีต้มยำเส้นมันเทศ มีหมี่เย็นคลุกแตงกวา ก๋วยเตี๋ยวเส้นมือ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อแพะ เติมรสเผ็ดนิดปรุงรสเปรี้ยวหน่อยกินในฤดูคิมหันต์เจริญอาหารแลชุ่มคอเป็นที่สุดเจ้าค่ะ…” 

 

 

“คนอื่นเขาขายกันแค่อย่างสองอย่าง แต่ร้านของเจ้านี้มีครบถ้วนเลย” จิ่งเหิงปัวโพล่งปากยิ้มตอบ ไม่ได้สังเกตสีหน้าแข็งทื่อเฉียบพลันของฮูหยิน นางเหลียวซ้ายแลขวา มองดูหน้าตาอาหารแล้วกล่าวว่า “นี่ ร้านนี้แลดูเล็ก แต่ว่าอาหารหลากหลาย พวกเจ้าก็เลือกเลย มื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง!” 

 

 

ทุกคนสั่งอาหารที่ตนเองชอบกิน จิ่งเหิงปัวสั่งต้มยำเส้นมันเทศชุดหนึ่งให้เฟยเฟย ตั้งใจคิดพลางชำเลืองมองสัตว์ประหลาดตัวน้อยโลลิ[4]ปลอมว่ากินเผ็ดได้หรือไม่ ก่อนจะฉวยโอกาสซื้อซาลาเปาเนื้อใส่หัวหอมสีขาวหิมะสองลูกให้มัน 

 

 

เจ้าหมาโง่ที่คอตกไร้ชีวิตชีวาไม่เอ่ยวาจามาโดยตลอดเขย่งเท้าแอบอ้อมโต๊ะมา กระโดดขึ้นไปบนชั้นวางชามแล้วอ้อมมาเหนือซาลาเปาของเฟยเฟย ก่อนจะหันหลังกระดกก้นขึ้นเพียงครั้ง… 

 

 

เพี้ยะ! หางใหญ่สีขาวขนกระเซิงของเฟยเฟยสะบัดเพียงครั้งก็ฟาดลงบนก้นของเจ้าหมาโง่อย่างรุนแรง เจ้าหมาโง่ล้มอ้าขาแผ่ลงไปคร่ำครวญอยู่บนพื้นว่า “เปิดหน้าต่างพบท้องนา ร่ำสุราเอ่ยท้องไร่ โจรลอบโจมตีเจ้าให้ มีบุตรไร้รูทวาร!” 

 

 

นอกจากจิ้งอวิ๋นที่มองมันด้วยความสงสารปราดเดียวแล้วหิ้วมันขึ้นมาวางไว้บนชั้นวางชามด้านหนึ่ง คนอื่นๆ รวมทั้งจิ่งเหิงปัวก็กินอาหารเสียงดังสวบสาบคร้านจะสนใจ 

 

 

ทำกรรมไว้ย่อมหนีไม่พ้น 

 

 

ฮูหยินนางนั้นมองเฟยเฟยคราเดียว ความแปลกประหลาดสายหนึ่งวูบผ่านในสายตา นางยิ้มแย้มพลางเอ่ยขึ้นว่า “แมวตัวนี้น่ารักเสียนี่กระไร” 

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่ได้แก้ต่าง ตลอดทางที่ผ่านมาทุกคนล้วนทำเหมือนเฟยเฟยเป็นแมว ด้วยเหตุนี้แม้แต่พวกชุ่ยเจี่ยก็ไม่ได้ถามให้มากความ ที่จิ่งเหิงปัวไม่เจาะจงจะอธิบายนั้น ไม่ใช่ว่าอยากป้องกันใคร เพียงแต่นางรู้สึกว่าอธิบายขึ้นมาแล้วจะยุ่งยาก 

 

 

หลังเพิงก่อเตาไฟไว้ ฮูหยินขานรายการอาหารที่ทุกคนสั่งไป ผู้เฒ่าที่พาดผ้าเช็ดมือสีขาวราวหิมะบนไหล่ผู้หนึ่งตอบรับด้วยเสียงเชื่องช้า แล้วเดินเอวงอหลังค่อมเข้าไปทำอาหาร เดิมทีจิ่งเหิงปัวไม่ได้ใส่ใจคนผู้นี้นัก แต่เมื่อเห็นเขาอายุมากก็กลัวว่าเขาจะมีโรคประเภทไอจามอะไรแบบนั้นจึงมองจ้องแวบหนึ่ง 

 

 

แวบหนึ่งผ่านไป ทว่ามองไม่ออกว่าผู้เฒ่ามีอะไรผิดปกติ แต่กลับพบว่าฮูหยินข้างกายผู้เฒ่านั้นแลดูหลังตรงตระหง่านยิ่งยวด ยามเยื้องกรายแช่มช้า ชายกระโปรงไม่พัดพลิ้วเศษธุลีไม่สะเทือน ดูสะโอดสะองงามสง่ายวดยิ่ง 

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงว่างดงามมาก นางสนใจทุกสรรพสิ่งที่เกี่ยวกับความงาม จึงอดจะจ้องมองเงาด้านหลังของฮูหยินไม่ได้ ก็พลันพบว่าจิ้งอวิ๋นกำลังมองเงาด้านหลังของฮูหยินเช่นกัน นางจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาครั้งหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ฝีก้าวของเถ้าแก่เนี้ยนางนี้งดงามเสียจริง มิคล้ายกับพวกหญิงปากมากตามตลาดนี้เลยสักนิด ใช่หรือไม่?” 

 

 

จิ้งอวิ๋นคล้ายชะงักไปแล้วจึงร้อง “อ๊ะ” เสียงหนึ่ง เอ่ยสืบต่อว่า “อ๊ะ? เช่นนั้นหรือ อืม ใช่แล้ว” 

 

 

จิ่งเหิงปัวฟังออกว่าใจของนางไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะที่กำลังเผลอยิ้มออกมา อยากจะถามนางสักประโยค ฮูหยินก็นำข้าวปลาอาหารของทุกคนออกมาให้ตามลำดับแล้ว จิ้งอวิ๋นหลุบสายตาลงมองชามของตนเอง แล้วเอ่ยโดยพลันว่า “หมาโง่ตัวสกปรกแล้ว ข้าจะไปเอาน้ำจากเถ้าแก่มาอาบให้มันสักหน่อย” 

 

 

“กินเสร็จค่อยไปสิ…” จิ่งเหิงปัวแกว่งตะเกียบรั้งนางไว้ แต่จิ้งอวิ๋นคว้าเจ้าหมาโง่ขึ้นมาเดินไปยังด้านหลังเพิงแล้ว ไอร้อนจากการทำอาหารด้านหลังเพิงกลบกลืนเงาร่างของนาง จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าคล้ายได้ยินนางร้อง “อ๊ะ!” ออกมาเสียงหนึ่งสั้นๆ แต่เมื่อนางชะเง้อหน้าเข้าไปก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ผ้าขาวกั้นขวางสะท้อนเงาร่างสองเงาของนางและผู้เฒ่านั้น มีเสียงน้ำไหลดังขึ้น อีกฝ่ายคงจะกำลังช่วยนางอาบน้ำเจ้านก 

 

 

ทุกคนเริ่มกินอาหารกันแล้ว แต่ก๋วยเตี๋ยวเนื้อแพะของจิ่งเหิงปัวยังทำไม่เสร็จเสียที กลิ่นหอมผนึกแน่นรอบด้าน เมื่อเห็นทุกคนต่างก้มหน้าก้มตากินอาหาร สำหรับนางแล้วเปรียบดุจความทุกข์ทรมานฉากหนึ่ง นางกระวนกระวายอีกทั้งรู้สึกเกรงใจที่ต้องจ้องชามผู้อื่นอยู่ตลอดเวลาจึงเหลียวไปแลมา พลันมองเห็นแผงขายของร้านที่สามข้างหน้ามีผู้ชุดครามคนหนึ่งนั่งอยู่ มองจากไกลๆ ท่วงท่าตรงดิ่งอย่างมาก สายตาเพ่งมองแล้วตะลึงร้องกล่าวว่า “ฉิบ ผู้ที่นั่งอยู่ทางนั้นคือผู้ใดกัน แข็งทื่อราวกับผีดิบอย่างนั้น!” 

 

 

แผ่นหลังของผู้ชุดครามคล้ายยิ่งแข็งทื่อ… 

 

 

สายตาซุกซนไม่สงบสุขตลอดเวลาของจิ่งเหิงปัวเบนผ่านไปนานแล้ว จากนั้นก็ถูกดึงดูดด้วยเป้าหมายรายต่อไปอีกครั้ง มือของนางชี้ไปยังคนสวมงอบใหญ่ที่เดินผ่านมาบนถนน แล้วกล่าวว่า “เวร คนผู้นั้นก้าวเดินแย่จัง น่าเกลียดยิ่งนัก! พวกเจ้าดูสิๆ ท่าทางของเขาเหมือนเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชน แต่ว่าโดยรอบไม่มีใครเข้าใกล้เขาได้ นี่คือสิบแปดล้มชุ่มอาภรณ์[5] ที่นิยายกำลังภายในเอ่ยถึงบ่อยๆ ใช่หรือไม่นะ? ฉิบ ดัดจริตเกินไปแล้ว! นึกว่าตนเองเป็นคนสูงสง่าร่ำรวยหล่อเหลาเช่นกงอิ้นหรืออย่างไร! ขอให้เจ้าบ้านี่เดินเหยียบขี้ซดน้ำแกงสำลักก้อนหินก๊ากๆๆ…” 

 

 

บุรุษสวมงอบเดินผ่านจากไกลๆ ฝีเท้าคล้ายสั่นไหวน้อยๆ… 

 

 

จิ่งเหิงปัวพลันชี้ไปยังเงาด้านหลังที่อยู่ไกลลิบอีกครั้ง แล้วเอ่ยว่า “ดูสิ มีผู้สวมงอบอีกคน ที่แห่งนี้ผู้สวมงอบเยอะจังนะ พวกเขาไม่รู้หรือว่าการแต่งกายเช่นนี้มันดูด้อยปัญญามากน่ะ ฮ่าๆๆ…” 

 

 

บุรุษสวมงอบในมุมมืดครึ้มห่างไปไม่ไกล นิ้วมือขาวราวหิมะวางไว้ที่ขอบงอบ ค่อยๆ สั่นครั้งหนึ่งแล้วสั่นอีกครั้งหนึ่ง… 

 

 

สาวงามแซ่จิ่งยังอยากนินทาผู้คนทั่วแคว้น วิจารณ์ผู้อื่นทั่วหล้า ทว่าในที่สุดก๋วยเตี๋ยวต้มยำของนางก็ขึ้นโต๊ะแล้ว รอคอยมาเนิ่นนาน จิ่งเหิงปัวที่ถูกกลิ่นหอมดึงดูดจนน้ำลายไหลย้อยไปนานแล้วก็รู้สึกว่าตนเองสามารถกินสามชามโตจนหมดได้เลย นางรีบยื่นปลายจมูกไปบนก๋วยเตี๋ยวต้มยำเนื้อแพะ สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งอย่างเคลิบเคลิ้มพลางกล่าวว่า “ว้าว หอมจัง…” 

 

 

เพี้ยะ! 

 

 

วัตถุสีเทาก้อนน้อยหล่นลงไปในชาม ทำให้น้ำแกงร้อนผ่าวกระเซ็นมาถึงบนปลายจมูกของจิ่งเหิงปัว 

 

 

“ข้างบนมีผู้ใดโยนก้อนหินมั่วซั่ว? ผู้ใดกัน!” จิ่งเหิงปัวเห็นชัดในแวบเดียวว่าสิ่งที่ร่วงลงมาคือหินสกปรกก้อนหนึ่ง จึงกระโดดขึ้นมาอย่างโกรธแค้นเดือดดาล แล้วเงยหน้ามองข้างบน 

 

 

เมื่อมองเพียงแวบเดียว ก็อดที่จะชะงักงันไม่ได้ 

 

 

เหนือศีรษะไม่มีอาคารบ้านเรือนใด นี่คือแผงข้างถนน เหนือศีรษะก็คือผ้าขาวเรียบสะอาดผืนหนึ่ง ไม่มีแม้แต่ฝุ่นบนเพิงเหนือศีรษะ 

 

 

แล้วบนผ้าขาวจะมีก้อนหินร่วงลงมาได้อย่างไร? 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] กู๊ดเกี๊ยะ พืชในสกุลเดียวกับเฟิร์น  

 

 

[2] ฮูหยิน หมายถึง หญิงที่มีสามีแล้ว 

 

 

[3] โล่วอี๋ เส้นชนิดหนึ่งทำจากแป้งมันเทศม้วนเป็นรูปทรงรีโปร่งแสง 

 

 

[4] โลลิ เป็นคำที่ใช้เรียกเด็กที่หน้าตาน่ารัก 

 

 

[5] สิบแปดล้มชุ่มอาภรณ์ กระบวนท่าชุดหนึ่งในศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวของจีน