ตอนที่ 147-1 พิธีก่อจิตวิญญาณ

ลำนำสตรียอดเซียน

การเตรียมพิธีก่อจิตวิญญาณเพื่อเฉลิมฉลองที่ประมุขเต๋าเสวียนอินก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่สำเร็จใช้เวลาอยู่หลายเดือน พอถึงช่วงสุดท้ายของการเตรียมงาน แขกเกือบทั้งหมดก็มาถึงกันแล้ว 

 

 

โม่เทียนเกอยุ่งมากเสียจนเวลาการฝึกตนของนางถูกตัดออกเหลือแค่สามชั่วยามต่อวันและนางก็ไม่ใช่คนเดียวที่เป็นเช่นนี้ ศิษย์หัวกะทิคนอื่นๆ ทั้งหมดล้วนเป็นเหมือนกันไม่มากก็น้อย หนึ่งในสาเหตุของเรื่องนี้ก็เพราะมีแขกมามาก ไม่ใช่แค่กลุ่มการฝึกตนสำคัญๆ ที่ได้รับเชิญ แม้แต่กลุ่มการฝึกตนที่ห่างไกลและไม่เป็นที่รู้จักในแถบคุนอู๋ตะวันออกอย่างสำนักอวิ๋นอู้ก็ยังมาเพื่อแสดงความยินดีด้วย 

 

 

ด้วยการมาถึงของกลุ่มการฝึกตนมากหลาย ความขัดแย้งจึงเพิ่มมากขึ้น เหมือนอย่างสองคนที่โม่เทียนเกอต้อนรับเมื่อก่อนหน้านี้ มีบางกลุ่มหรือผู้ฝึกตนบางคนที่มีความแค้นเคืองกันซึ่งร้อนรุ่มไปด้วยความเกลียดชังทันทีที่ได้เจอหน้ากันที่นั่น มันคงเล็กน้อยมากถ้าพวกเขาเพียงแค่ส่งเสียงกรีดร้องหรือตะโกนใส่กัน แต่พวกเขายังมาเพื่อลงไม้ลงมือกันด้วยในบางครั้ง เรื่องนี้ทำให้ผู้ฝึกตนของโรงเรียนเสวียนชิงต้องยุ่งวุ่นวายมาก โชคดีที่คนเหล่านี้ยังมีความยับยั้งชั่งใจอยู่บ้าง พอรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิง พวกเขาจึงไม่เคยสู้กันจนเลยเถิดไป 

 

 

หลังจากเวลาหลายเดือนของความเร่งรีบและวุ่นวาย พิธีก่อจิตวิญญาณจึงได้เริ่มต้นขึ้นในที่สุด 

 

 

ในวันดีที่แสงแดดสว่างสดใส ศิษย์กว่าห้าพันคนที่โรงเรียนเสวียนชิงรวมกับแขกเหรื่อหลายพันคนที่มาเพื่อแสดงความยินดีได้มารวมตัวกันที่ลานจัตุรัสที่ยอดเขาหลักแห่งเขาไท่คัง 

 

 

โม่เทียนเกอยืนอยู่ท่ามกลางแถวของศิษย์หัวกะทิ กำลังมองผู้ฝึกตนจำนวนมากยืนอยู่หน้าโถงหลัก 

 

 

การก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่คือเรื่องที่มีความสำคัญอันยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่านั้น ด้วยแขกที่มาเข้าร่วมงานหลายพันคน ชื่อเสียงของโรงเรียนจึงอยู่ในความเสี่ยง เพราะฉะนั้นผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ของโรงเรียนเสวียนชิงทั้งหมดจึงมาปรากฏตัวอยู่ด้วย ณ ตอนนี้ ประมุขเต๋าจิ้งเหอถึงกับยอมแต่งชุดคลุมแบบชาวลัทธิเต๋าของโรงเรียนอย่างว่าง่าย ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังส่วนใหญ่ของโรงเรียนเสวียนชิงก็เข้าร่วมพิธีเช่นกัน โม่เทียนเกอเห็นเกือบจะทุกคนที่นางสามารถนึกออกนอกเหนือจากแค่คนเดียว ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่และการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่เป็นมิตรกับโรงเรียนเสวียนชิงและมาเพื่อแสดงความยินดียังถูกจัดให้อยู่ด้านหน้า ทำให้ด้านหน้าของโถงเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย 

 

 

นี่อาจจะถือได้ว่าเป็นการรวมตัวกันของผู้ฝึกตนระดับสูงที่น่าประทับใจที่สุดที่โม่เทียนเกอเคยเห็นมาตั้งแต่นางเริ่มฝึกตน ตอนนี้เองที่นางเข้าใจอย่างแท้จริงถึงความน่าเกรงขามของโรงเรียนเสวียนชิง 

 

 

ที่นี่ไม่ใช่เขาอวิ๋นอู้ที่ครั้งหนึ่งนางเคยอยู่ ที่นี่คือโรงเรียนเสวียนชิง กลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่อันดับสองในขั้วท้องฟ้า และในอนาคตอาจกลายเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่และการก่อเกิดแก่นขุมพลังเหล่านี้ยังเป็นผู้ฝึกตนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในขั้วท้องฟ้าอีกด้วย 

 

 

ถึงแม้ว่าลานจตุรัสของโรงเรียนจะเต็มไปด้วยคนหลายพันคน แต่ไม่มีเสียงใดให้ได้ยินเลยแม้แต่เสียงเดียว 

 

 

ประมุขเต๋าเจิ้นหยางก้าวขึ้นมาข้างหน้าขณะที่กวาดสายตามองศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ต่อหน้าเขาช้าๆ  

 

 

ศิษย์ทุกคนของโรงเรียนเสวียนชิงและผู้ฝึกตนระดับต่ำจากกลุ่มการฝึกตนอื่นที่มาเพื่อแสดงความยินดีสัมผัสได้ถึงสายตาเขาที่จับจ้องอยู่ที่ตัวพวกเขา 

 

 

“แขกผู้มีเกียรติและศิษย์ที่รัก วันนี้คือพิธีก่อจิตวิญญาณของเราเพื่อเฉลิมฉลองให้กับการก้าวหน้าไปสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ของประมุขเต๋าเสวียนอินแห่งโรงเรียนเสวียนชิง สำหรับเหตุนี้ เราต้องแสดงความขอบคุณต่อแขกของเราที่อุตส่าห์มากันถึงที่นี่เพื่อเข้าร่วมพิธีนี้ ในหมู่พวกท่าน บางคนเดินทางมามากกว่าพันไมล์เพื่อมาอยู่ที่นี่ ในนามของโรงเรียนเสวียนชิง ข้าอยากจะขอบคุณทุกท่านยิ่งนัก ข้าขอต้อนรับแขกผู้มีเกียรติเข้าสู่โรงเรียนเสวียนชิงอีกครั้งหนึ่ง เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านได้มาอยู่ร่วมกับเรา”  

 

 

ประมุขเต๋าเจิ้นหยางพยักหน้าพร้อมกับประสานมือไปทางแขกที่ล้อมรอบอยู่เพื่อแสดงออกถึงความขอบคุณและความเคารพ เพราะสถานะของประมุขเต๋าเจิ้นหยางในฐานะผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนจิตวิญญาณใหม่ แม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่และการก่อเกิดแก่นขุมพลังธรรมดายังไม่กล้าจะรับท่าทางสุภาพของเขา ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังวิญญาณและการสร้างฐานแห่งพลังเลย พวกเขาโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพกลับทีละคน ทีละคน 

 

 

“ข้าจะไม่พูดพร่ำทำเพลงให้ยืดยาว เราจะเริ่มพิธีก่อจิตวิญญาณกันเลย”  

 

 

ทันทีหลังจากที่ประมุขเต๋าเจิ้นหยางพูดจบ เสียงดนตรีไพเราะเริ่มเติมเต็มบรรยากาศ ประมุขเต๋าเสวียนอินใส่ชุดชาวลัทธิเต๋าลายหยินหยางและรองเท้าลายตรีลักษณ์ทั้งแปด เดินผ่านฝูงชนค่อยๆ ก้าวมาข้างหน้า 

 

 

ประมุขเต๋าเสวียนอินก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ได้อย่างราบรื่น ตอนนี้เขาอายุประมาณสี่ร้อยปีแล้ว แต่เมื่อพิจารณาจากดินแดนของเขา เขาก็ยังถือว่าอายุน้อยมาก แถมเขายังดูอ่อนกว่าวัยลงกว่าเดิมมากอีกด้วย ที่จริงตอนนี้เขาดูเหมือนชายในวัยสามสิบ ยิ่งไปกว่านั้น เขาตัดหนวดยาวของเขาให้สั้น เขายังคงดูภูมิฐานแต่ก็ดูเหมือนมีพลังชีวิตที่อ่อนวัยเช่นเดียวกัน 

 

 

ถึงอย่างนั้น โม่เทียนเกอก็ยังค่อนข้างประหลาดใจ นางไม่เคยใส่ใจนักกับหน้าตาของอาจารย์ลุงเสวียนอิน แต่ตอนนี้เมื่อนางได้เห็นเขาชัดๆ นางรู้สึกว่าเขาอาจจัดได้ว่าหล่อเหลาเอาการเลยทีเดียว เป็นไปตามคาดของคนที่มาจากโลกแห่งการฝึกตน เมื่อพวกเขาฟื้นคืนรูปลักษณ์ที่อ่อนเยาว์มาได้ พวกเขาก็มักจะดูสวยงามเป็นธรรมดา 

 

 

เมื่อประมุขเต๋าเสวียนอินไปถึงเวทีด้านหน้า ภายใต้การนำของประมุขเต๋าเจิ้นหยาง อย่างแรกเขาบูชาตรีวิสุทธิเทพ [1] จากนั้นจึงรายงานต่อประมุขผู้อาวุโสสูงสุด ผู้ที่จะแต่งตั้งตำแหน่งผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดให้กับเขาต่อไป 

 

 

ไม่นานหลังจากนั้น เขาบูชาท่านอาจารย์ที่สอนเขามาและคุกเข่าเพื่อรับฟังคำของเขา 

 

 

“เสวียนอินศิษย์ข้า เจ้าเป็นคนฉลาดหลักแหลมและมีอารมณ์มั่นคง วันนี้อาจารย์รู้สึกยินดีอย่างที่สุดสำหรับการก้าวไปสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ของเจ้า จากวันนี้เป็นต้นไป ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่หยิ่งผยองทะนงตนหรือใจร้อนและบรรลุเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ”  

 

 

ขณะที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูด ในที่สุดโม่เทียนเกอก็ตระหนักว่าเขาไม่เคยทำตัวไม่เหมาะสมในระหว่างเรื่องที่มีความสำคัญมาก บัดนี้เมื่อเขายืนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมในชุดหยินหยางของชาวลัทธิเต๋าต่อหน้าศิษย์หลายพันคน เขามีรัศมีของท่านอาจารย์ผู้ทรงเกียรติโดยแท้ 

 

 

ประมุขเต๋าเสวียนอินคุกเข่าก้มหัวคำนับ นี่จะเป็นการคุกเข่าก้มหัวคำนับอย่างเป็นทางการครั้งสุดท้ายของเขาในฐานะศิษย์ต่อท่านอาจารย์ ประมุขเต๋าจิ้งเหอ ในอนาคต ด้วยตัวตนของเขาในฐานะผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ เขาจะไม่จำเป็นต้องคุกเข่าก้มหัวคำนับใครอีก 

 

 

“ศิษย์ขอขอบคุณท่านอาจารย์สำหรับคำสั่งสอน เสวียนอินจะไม่ลืมพระคุณและการสอนที่มีค่านับหลายร้อยปีที่ท่านอาจารย์ได้สอนเสวียนอินมา”  

 

 

สีหน้าปลื้มปีติปรากฏขึ้นบนใบหน้าของประมุขเต๋าจิ้งเหอ “เจ้าได้เข้าสู่เต๋าอันยิ่งใหญ่ จากนี้ต่อไป เจ้าจะยืนอยู่ในฐานะฝ่ายที่แยกออกไป ดังนั้นเจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าท่านอาจารย์อีกต่อไปแล้ว แค่ยึดถือความรู้สึกของความสัมพันธ์แบบอาจารย์-ศิษย์ไว้ในหัวใจก็เพียงพอ”  

 

 

“ขอรับ ศิษย์จะทำตามคำสั่งของท่านอาจารย์อย่างแน่นอน”  

 

 

จากนั้นประมุขเต๋าจิ้งเหอพูด “พิธีรำลึกบุญคุณอาจารย์เสร็จสิ้นแล้ว เจ้ายืนขึ้นได้”  

 

 

ประมุขเต๋าเสวียนอินยืนขึ้นตามคำบอกของประมุขเต๋าเจิ้นหยาง เขาไปอยู่ที่ท้ายแถวของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่แห่งโรงเรียนเสวียนชิง เป็นการบ่งบอกว่าพิธีเสร็จสิ้นลงแล้ว 

 

 

กระบวนการทั้งหมดทำเสร็จเร็วกว่าหนึ่งชั่วโมง ขณะนั้นประมุขเต๋าเจิ้นหยางออกคำสั่งให้ศิษย์ทั้งหมดถอยออกไป นำทางแขกไปยังที่นั่งและให้ความบันเทิงกับพวกเขา 

 

 

ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนอย่างพวกเขาจะไม่จำเป็นต้องทานอาหารจริงๆ แต่งานเลี้ยงก็ยังเป็นส่วนสำคัญของการให้ความบันเทิงกับแขก ทั้งยอดเขาหลักของโรงเรียนเสวียนชิง โต๊ะหยกหลายพันตัวถูกจัดเรียงจากล่างขึ้นบน แขกถูกเชิญให้นั่งและศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงเองก็จะนั่งเป็นเพื่อนพวกเขาด้วย 

 

 

โม่เทียนเกอก็ได้รับงานนี้เช่นกัน นางรับผิดชอบเรื่องการรับแขกผู้หญิง 

 

 

เทียบกับแขกผู้ชาย แขกผู้หญิงจะต้องได้รับการดูแลที่พิเศษมากกว่าหน่อย ดังนั้นพวกนางทุกคนจึงถูกจัดให้นั่งอยู่ในร่ม นี่เป็นครั้งแรกที่โม่เทียนเกอเคยอยู่ในสถานที่ที่มีผู้ฝึกตนหญิงมากมายขนาดนี้ นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเวียนหัว!  

 

 

ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากน้ำหอมของพวกนางกลิ่นแรงเกินไป!  

 

 

ผู้ฝึกตนหญิงที่สามารถมาที่โรงเรียนเสวียนชิงเพื่อแสดงความยินดีได้แน่นอนว่าต้องมีตำแหน่งสูงในกลุ่มการฝึกตนของพวกนาง แต่ละคนเชื่อว่าตัวเองเป็นเทพธิดา ในฐานะเทพธิดา พวกนางจึงใส่น้ำหอมกลิ่นที่มีเอกลักษณ์พิเศษซึ่งส่งกลิ่นไปพร้อมกับทุกการขยับตัว 

 

 

มันคงจะไม่เป็นไรถ้ามีแค่คนเดียว แต่ที่นี่มีผู้หญิงอยู่เป็นกลุ่มๆ กลิ่นน้ำหอมทุกชนิดปะปนกันอบอวล! โม่เทียนเกอรู้สึกมึนหัวมากจนนางเกือบจะเป็นลม! ท้ายที่สุด นางใช้พลังทางจิตวิญญาณของตัวเองเพื่อปิดกั้นประสาทสัมผัสด้านกลิ่นและแกล้งทำเป็นว่าไม่มีกลิ่นอะไร 

 

 

ถึงอย่างนั้นโอกาสนี้ก็ได้เปิดโลกของนางอย่างแท้จริง กลายเป็นว่าผู้ฝึกตนหญิงของโลกแห่งการฝึกตนควรจะมีหน้าตาและทำท่าทางเช่นนี้! นางเคยปลอมเป็นผู้ชายในสำนักอวิ๋นอู้ และภายหลังเมื่อนางมาที่โรงเรียนเสวียนชิง แม้ว่านางจะใช้เวลากับผู้ฝึกตนหญิงอย่างหลัวเฟิงเสวี่ย แต่โรงเรียนเสวียนชิงเป็นโรงเรียนแห่งเต๋า ดังนั้นผู้ฝึกตนหญิงส่วนใหญ่จึงแต่งตัวแบบชาวลัทธิเต๋า ในหมู่คนไม่กี่คนที่นางสนิทด้วย ไม่มีใครเลยสักคนที่ไม่ได้มีรูปลักษณ์เรียบง่ายและเรียบร้อย 

 

 

สำหรับโอกาสสำคัญเช่นนี้ อีกหกกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ต้องเข้าร่วมโดยไม่มีข้อยกเว้นอยู่แล้ว ผู้ฝึกตนหญิงสามคนมาจากสำนักเทียนเต้า อย่างไรก็ตามทั้งสามคนล้วนใส่เสื้อผ้าแตกต่างกัน คนหนึ่งแต่งตัวราวกับเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ด้วยเสื้อผ้าที่พริ้วไหวไปตามสายลม คนหนึ่งใส่เสื้อผ้าสีดำที่ปกปิดเพียงส่วนสำคัญของร่างกาย เผยผิวขาวเป็นวงกว้างให้เห็นราวกับนางเป็นแม่มด ส่วนอีกคนแต่งตัวในชุดเครื่องแบบของสำนักสีม่วงอ่อนที่มีลายสีขาวธรรมดาและเรียบร้อย ทุกคนกล่าวว่าศิษย์สำนักเทียนเต้าเป็นคนหลากหลายประเภทที่มาจากพื้นเพต่างกัน เมื่อได้เห็นวิธีที่ทั้งสามคนนี้แต่งตัว ข่าวลือก็ถูกพิสูจน์แล้วว่าน่าจะจริง 

 

 

ถัดไปคือศิษย์ของสำนักกู่เจี้ยน สำนักกู่เจี้ยนเชี่ยวชาญในวิชาการฝึกตนสายกระบี่ ดังนั้นศิษย์ของพวกเขาจึงแต่งตัวในแบบที่ค่อนข้างเรียบง่ายกว่า พวกนางทุกคนใส่เสื้อสีดำและกระโปรงสีขาว และแต่ละคนต่างแบกกระบี่ยาวไว้ที่หลัง เพราะนางเคยมีความขัดแย้งกับผู้ฝึกตนสำนักกู่เจี้ยนมาก่อน โม่เทียนเกอจึงไม่มีความประทับใจที่ดีต่อสำนักกู่เจี้ยน ดังนั้นผู้ฝึกตนหญิงจากสำนักกู่เจี้ยนเหล่านี้จึงมีสหายศิษย์คนอื่นมาต้อนรับแทน 

 

 

กลุ่มที่สามคือสำนักเจิ้งฝ่า สาขาใหญ่ของสำนักเจิ้งฝ่าไม่ได้ตั้งอยู่ในคุนอู๋ แต่เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่เพียงกลุ่มเดียวในแถบทิศเหนือของขั้วท้องฟ้า พวกเขาจึงยังมีอำนาจที่น่านับถือ เหมือนกับโรงเรียนเสวียนชิง สำนักเจิ้งฝ่าเป็นโรงเรียนแห่งเต๋า ศิษย์ของพวกเขาใส่ชุดคลุมชาวลัทธิเต๋าสีฟ้าขาวซึ่งดูเรียบง่ายและเรียบร้อย อย่างไรก็ตามสีฟ้าในชุดพวกเขาเป็นสีฟ้าอมเขียว นอกจากนั้นขณะที่สีหลักของชุดชาวลัทธิเต๋าของโรงเรียนเสวียนชิงคือสีขาวที่มีสีน้ำเงินเข้มเป็นเพียงสีที่แซมมา แต่สำนักเจิ้งฝ่ามีชุดยาวสีฟ้าอมเขียวและเสื้อคลุมสีขาว 

 

 

ศิษย์ผู้หญิงของสำนักปี้อวิ๋นมีความสง่างามที่แตกต่างไป สำนักปี้อวิ๋นเป็นกลุ่มการฝึกตนที่มีลักษณะเฉพาะ อย่างแรก พวกเขาจะรับสมัครศิษย์ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย อย่างที่สอง ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ศิษย์ทั้งหมดล้วนหน้าตาดีมาก อย่างสุดท้าย กฎแห่งการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ของพวกเขามีชื่อเสียงมาก ชุดเครื่องแบบของสำนักปี้อวิ๋นประกอบไปด้วยชุดสีขาว เมื่อศิษย์ผู้หญิงเหล่านี้ใส่ชุดนั้น พวกนางทุกคนดูเหมือนกับสาวงามที่เยือกเย็นซึ่งงดงามดั่งเซียน 

 

 

นอกจากนี้ยังมีศิษย์ผู้หญิงของสำนักหลิงโซ่ว ชุดเครื่องแบบสำนักของพวกนางประกอบไปด้วยชุดสีเหลือง ถึงแม้ว่าพวกนางจะดูไม่งดงามเท่ากับศิษย์ผู้หญิงของสำนักปี้อวิ๋น แต่พวกนางกลับดูมีเสน่ห์และน่ารักมากกว่า รูปกิเลนปักเป็นลวดลายอยู่ที่ขอบชุด กิเลนเป็นสัญลักษณ์ของผู้ก่อตั้งสำนักหลิงโซ่ว 

 

 

สำหรับโรงเรียนต้านติ่ง เพราะพวกเขาประสบกับความสูญเสียอย่างรุนแรง มีผู้ฝึกตนหญิงเพียงคนเดียวที่มา นางนั่งเงียบอยู่ที่มุมและไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ 

 

 

นอกจากพวกนางยังมีกลุ่มการฝึกตนเล็กๆ ที่ต่ำกว่ามาตรฐานบางกลุ่มด้วย มีหญิงงามทุกประเภทในหมู่ศิษย์ผู้หญิงของพวกเขา ส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่ชุดเครื่องแบบของกลุ่ม และแต่งตัวให้ดูเหมือนสาวงามที่น่าหลงใหลแทน โม่เทียนเกอเดาว่าเหตุผลที่พวกนางอยากจะดูสวยเด่นกว่าคนอื่นๆ เพราะกลุ่มของพวกนางไม่ดีเท่ากับกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ด ในทางตรงข้าม ศิษย์ส่วนมากของเจ็ดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่จะใส่ชุดเครื่องแบบของกลุ่มตัวเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นความสวยหรือการแสดงอารมณ์ พวกนางก็ไม่แพ้เลยแม้แต่นิดเดียว 

 

 

สิ่งที่ทำให้โม่เทียนเกอพอใจก็คือท่ามกลางผู้ฝึกตนหญิงกลุ่มใหญ่ นางไม่อาจจัดได้ว่าโดดเด่นถึงแม้นางจะค่อนข้างสวยน่ารัก ซึ่งก็ตรงกับความต้องการของนางพอดี 

 

 

มีผู้หญิงแค่ไม่กี่คนหรอกที่ไม่ชอบให้ตัวเองดูสวย อย่างไรก็ตาม นางรู้เสมอว่าในฐานะผู้ฝึกตนหญิง การมีหน้าตาที่ไม่ได้สวยเกินไปแต่ก็ไม่ธรรมดาเกินไปนั้นดีที่สุด การที่ดูค่อนข้างสวย คนก็จะปฏิบัติกับนางอย่างดี แต่ก็จะไม่นำอันตรายมาสู่ตัวนาง ผู้ฝึกตนชายจะไม่รู้สึกอยากยัดเยียดตัวเองให้นาง และผู้ฝึกตนหญิงก็จะไม่อิจฉานาง 

 

 

มีคนหน้าตาดีมากมายในโลกแห่งการฝึกตน ถ้าคนหนึ่งดูธรรมดาเกินไป พวกเขาจะถูกโยนเข้ากลุ่มคนน่าเกลียด ถ้าคนนั้นถือว่าสวยมากในกลุ่มของคนสวย พวกเขาก็จะกลายเป็นเป้าหมายของผู้ฝึกตนระดับสูงหลายคนอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น เป็นคนสวยปานกลางนั้นดีที่สุดแล้ว