ตอนที่ 953 เผชิญกับเหล่าอัจฉริยะจากเมืองหลวง

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

กลุ่มคนที่ติดตามหัวหน้ากองคาราวานต่างก็หันกลับมองดูหลี่ว์เสี่ยวอวี๋และหัวหน้าบาทหลวงด้วยความอยากรู้ “เฮ้? สาวน้อยเป็นตัวแทนของกองทัพอู่เว่ยเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่ใช่ไหมนี่?” 

 

 

แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยังไม่ทันได้ตอบ ทันใดนั้นก็มีกลุ่มคนบนหลังม้าที่ควบมาจากปลายถนน หัวหน้ากองคาราวานการค้าจึงรีบนำกลุ่มขยับไปที่ข้างถนนเพื่อหลีกทางให้ “เสียงม้าควบดังชัดเจน จะต้องเป็นม้าดีแน่! อย่าไปยั่วโมโหพวกคนที่กำลังขี่ม้าพวกนี้นะ!”  

 

 

เหล่าทาสต่างก็ยืนเคียงข้างกันอย่างไม่ขยับเขยื้อนไปไหน และในอีกด้านหนึ่งนั้น หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็มองด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า เพียงแค่ฟังเสียงฝีเท้าม้าเท่านั้น หัวหน้ากองคาราวานการค้าก็สามารถระบุได้ว่าอีกฝ่ายกำลังขี่ม้าแบบไหนเชียวหรือ? 

 

 

เมื่อผู้คนบนหลังม้าปรากฏตัวขึ้นในสายตา ทันใดนั้นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็พบว่าม้าของคนเหล่านี้พิเศษจริงๆ ไม่เพียงแต่พวกมันจะแข็งแกร่งกว่าเท่านั้น แต่เธอยังสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังงานระดับสามอีกด้วย และนอกจากนี้ ดวงตาของพวกม้าก็เป็นสีแดง ช่างแปลกประหลาดจริงๆ 

 

 

เสียงเกือกม้าหยุดอยู่ข้างๆ หัวหน้ากองคาราวาน และชายหนุ่มที่มีกลิ่นอายแห่งพลังที่แข็งแกร่งเหนือธรรมดาก็มองไปยังกลุ่มคนในกองคาราวานแล้วเอ่ยถามว่า “เฮ้ เส้นทางไปเมืองหนานเกิงคือทางไหนหรือ?” 

 

 

แล้วจู่ๆ หัวหน้ากองคาราวานก็เบิกบานขึ้นมาทันทีขณะกล่าวตอบว่า “ที่แท้ก็เป็นคุณชายตระกูลซุนนี่เอง กระผมได้เคยส่งของกำนัลไปที่ตระกูลของท่านมาก่อน” 

 

 

เด็กหนุ่มบนหลังม้าตะลึงงันทันที “นายนั่นเอง ฉันจำได้ นายให้ปะการังแดงมาคู่หนึ่ง ท่านแม่ชื่นชอบมันมากทีเดียว!”  

 

 

หัวหน้ากองคาราวานรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นขณะกล่าวว่า “ใช่ ใช่ ใช่ กระผมมอบให้คุณชายเอง คุณชายจ้งหยางจะไปที่เมืองหนานเกิงหรือขอรับ?” 

 

 

 “ใช่” ซุนจ้งหยางกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง “นี่เป็นช่วงวันหยุดของสำนักศึกษาหลวง ฉันจะออกไปพบผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ย เมื่อคราวที่บ่อนพนันเปิดวางเดิมพันก่อนหน้านี้ เขาทำให้ฉันต้องสูญเสียเงินไปมากมายทีเดียว! จนตอนนี้ไม่มีเงินติดตัวเลย!” 

 

 

หัวหน้ากองคาราวานรีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ท่านเป็นเชื้อสายราชวงศ์ ท่านจะไปหาเขาเองเช่นนี้ได้อย่างไร?”  

 

 

“ไม่เป็นไร ฉันจะไม่ทำร้ายเขาถึงชีวิตหรอก” ซุนจ้งหยางยิ้มอย่างแข็งขัน “ฉันเพิ่งได้รับการเลื่อนขั้นเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งเลยอยากจะหาใครให้ลองฝึกปรือฝีมือสักหน่อย” 

 

 

“โอ้ ยินดีด้วยขอรับ! หลังจากที่ไม่ได้พบท่านมาสองปี ตอนนี้ท่านก็ได้เลื่อนขั้นเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งแล้วหรือนี่?” หัวหน้ากองคาราวานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมืองหนานเกิงอยู่ทางใต้ของถนนสายนี้ ไปตามถนนสายนี้ต่อไปเรื่อยๆ ท่านก็จะไปถึงที่นั่นขอรับ” 

 

 

“ตกลง” ซุนจ้งหยางโบกแส้ในมือของเขา “หากนายไปที่เมืองหลวง ก็ไปรับรางวัลที่ตระกูลซุนได้” 

 

 

จากที่กล่าวมานั้น ดูเหมือนซุนจ้งหยางจะพาคนสิบเอ็ดคนที่อยู่ทางด้านหลังของเขาไปที่เมืองหนานเกิงด้วย และในขณะนั้น หลี่ว์ซู่ก็ออกมาจากรถม้าแล้วกล่าวว่า “เดี๋ยวก่อน ตอนนี้ผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยไม่ได้อยู่ในเมืองหนานเกิงแล้ว รู้หรือไม่?” 

 

 

ซุนจ้งหยางตกตะลึง “เขาไปไหนหรือ?”  

 

 

“ฉันได้ยินคนบอกว่าเขาไปเมืองหลวง” หลี่ว์ซู่ตอบ “ฉันมีเพื่อนที่มาจากกองทัพอู่เว่ย พวกเขาบอกฉันอย่างนั้น” 

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่ได้โกหก ใช่แล้ว เพราะผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ย หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ไม่ได้อยู่ในเมืองหนานเกิง และกำลังจะไปที่เมืองหลวงจริงๆ 

 

 

แต่เหตุผลที่เขาหยุดคนเหล่านี้นั้นก็เป็นเพราะเขาพบว่าคนกลุ่มนี้มียอดฝีมือระดับหนึ่งถึงสี่คน 

 

 

นี่จึงทำให้หลี่ว์ซู่ถึงกับครุ่นคิดอยู่ในใจ ในเมืองหลวงมีอัจฉริยะมากมายขนาดไหนกัน? มีเด็กหนุ่มเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งถึงสี่คนจากสิบสองคน และยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเด็กมากอีกด้วย 

 

 

อันที่จริง เขาไม่รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นอัจฉริยะชั้นยอดของเมืองหลวง เพราะโดยพื้นฐานแล้วย่อมไม่มีใครที่ไม่รู้จักพวกเขา 

 

 

แต่ไม่ว่าอย่างไร หลี่ว์ซู่ก็จะไม่ยอมปล่อยให้อัจฉริยะเยาว์วัยเหล่านี้ไปที่เมืองหนานเกิงเพื่อสร้างปัญหาแน่นอน เพราะที่นั่นเหลือเพียงหลิวอี้เจาคนเดียวเท่านั้นที่เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งอยู่ในเมืองหนานเกิง ซึ่งหากเด็กอัจฉริยะเหล่านี้ไปสร้างปัญหา ทหารของกองทัพอู่เว่ยย่อมจะได้รับบาดเจ็บและล้มตายลงอย่างแน่นอน 

 

 

สำหรับผู้ที่ทรงพลังแข็งแกร่งจากเมืองหลวงเหล่านี้ หลี่ว์ซู่กลัวว่าพวกเขาจะไม่ใส่ใจต่อชีวิตมนุษย์และเข่นฆ่าเป็นผักปลา! 

 

 

ซุนจ้งหยางหันไปมองหัวหน้ากองคาราวานแล้วถามทันที “เขาเป็นใครกัน?” 

 

 

“เขาเป็นแขกที่ร่วมเดินทางมากับกองคาราวานของกระผมขอรับ” หัวหน้ากองคาราวานกล่าวพลางยิ้ม “กระผมไปอยู่ที่เมืองหนานเกิงมาครึ่งเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยเห็นแม้แต่ผู้บัญชาการทหารด้วยซ้ำ ท่านก็รู้ว่าธุรกิจของกระผมค่อนข้างใหญ่ แต่ถึงแม้กระผมจะซื้อสินค้าของเขามากมาย เขาก็ไม่คิดที่จะพบกระผมเลย” 

 

 

ซุนจ้งหยางไม่ไว้ใจหลี่ว์ซู่ แต่เขาไว้ใจหัวหน้ากองคาราวานเพราะธุรกิจมากมายของหัวหน้ากองคาราวานได้รับประโยชน์จากตระกูลซุน ดังนั้นหัวหน้ากองคาราวานย่อมจะไม่กล้าหลอกลวงเขา 

 

 

จากนั้นซุนจ้งหยางก็หันศีรษะไปมองดูหลี่ว์ซู่แล้วกล่าวว่า “ฉันจัดการกับสิ่งต่างๆ ได้ด้วยความเป็นธรรมเสมอมา ขอบใจที่เตือน หากยืนยันได้ว่าข่าวนี้เป็นความจริง นายก็สามารถไปที่คฤหาสน์ตระกูลซุนเพื่อรับรางวัลของนายได้เช่นกัน”  

 

 

เหล่าผู้คนที่อยู่ทางฝั่งพวกกองคาราวานต่างพากันตกตะลึง ตระกูลซุนนี้ร่ำรวยและมีอำนาจมากหรือ? แต่เมื่อมองไปที่ท่าทีประจบเอาใจของหัวหน้ากองคาราวาน ทุกคนต่างก็ลงความเห็นอยู่ในใจแล้ว ตระกูลซุนต้องมีอำนาจอิทธิพลอยู่ในเมืองหลวงไม่น้อยอย่างแน่นอน 

 

 

หลังจากที่ซุนจ้งหยางกล่าวจบ เขาก็คิดจะรีบกลับไป แต่หลี่ว์ซู่ก็หยุดเขาอีกครั้ง “นายเคยเห็นผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยมาก่อนหรือ? แล้วนายจะตรวจสอบยังไงหากนายไม่รู้จักเขาล่ะ?”  

 

 

“แล้วยังไงล่ะ?” ซุนจ้งหยางมองดูหลี่ว์ซู่ด้วยรอยยิ้มบางแล้วถามว่า “นายรู้จักเขาหรือ?” 

 

 

“ในเมื่อฉันมาจากเมืองหนานเกิง แน่นอนว่าฉันย่อมเคยเห็นเขามาแล้ว และหากฉันสามารถระบุตัวเขาได้ ฉันจะได้รับค่าตอบแทนไหม?” หลี่ว์ซู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม 

 

 

ทันใดนั้นซุนจ้งหยางก็พลันเข้าใจว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ต่อหน้าเขาและกำลังช่วยเขาหาหลี่ว์ซู่ผู้นี้ ต้องการจะได้เงิน! เขาจึงหัวเราะออกมาทันทีและกล่าวว่า “แน่นอน ย่อมต้องมีค่าตอบแทน…” 

 

 

แต่แล้วจู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็ขัดจังหวะเขาขึ้นมาว่า “แต่เมื่อเร็วๆ นี้นายไม่ได้เพิ่งบอกเหรอว่านายยังไม่มีเงินติดตัว?” 

 

 

ซุนจ้งหยางพลันนิ่งเงียบ “…”  

 

 

เขามองดูหลี่ว์ซู่เงียบๆ  

 

 

เหอะๆ เจ้านี่ช่างจับประเด็นได้เก่งจริงๆ 

 

 

“ได้รับแต้มอารมณ์จากซุนจ้งหยาง +666!”  

 

 

ซุนจ้งหยางเลิกคิ้วและกล่าวว่า “ฉันสามารถรับเงินติดตัวของฉันได้จากตระกูลในทุกๆ เดือน เงินติดตัวในแต่ละเดือนของฉันสูงมากจนนายจะคาดไม่ถึงเลย แล้วนายยังมากลัวว่าฉันจะไม่ให้เงินนายอีกเหรอ?” 

 

 

“ไม่ ไม่ได้กลัวเลย” หลี่ว์ซู่กล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเป็นอย่างนั้น แน่นอนว่าฉันจะช่วยนายหาผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ย หลี่ว์ซู่!” 

 

 

ซุนจ้งหยางมองหลี่ว์ซู่พร้อมกับชี้แส้ในมือไปที่เขาขณะกล่าวว่า “ดีมาก แล้วนายชื่ออะไร?” 

 

 

“ฉันชื่อ เล่ออี๋หลี่ว์[1]” หลี่ว์ซู่กล่าวด้วยรอยยิ้มร่าเริง 

 

 

ซุนจ้งหยางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำว่า “…เรียกง่ายจริง”  

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กลอกตา แน่นอนว่า มันย่อมจะเรียกง่ายใช่ไหมล่ะ นี่เป็นพินอินจีนนะ 

 

 

“เตรียมรถม้าให้พวกเราด้วย” ซุนจ้งหยางกล่าวกับหัวหน้ากองคาราวาน “พวกเราขี่ม้ามาตลอดการเดินทางยาวไกลนี้จนทำให้เจ็บก้นแล้ว!”  

 

 

หัวหน้ากองคาราวานรีบกุลีกุจอไปเตรียมรถม้าอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสและยังจัดเตรียมสินค้าบางอย่างเอาไว้ให้ที่ด้านหลังอีกด้วย สำหรับหัวหน้ากองคาราวานแล้ว การประจบเอาใจซุนจ้งหยางเช่นนี้ย่อมมีค่ามากกว่าสินค้าของเขามากนัก 

 

 

ว่ากันตามตรงแล้ว เขารู้สึกขอบคุณหลี่ว์ซู่ที่หยุดซุนจ้งหยางเอาไว้ในกองคาราวานนี้ ไม่ต้องพูดถึงประโยชน์ต่อธุรกิจของเขาในอนาคตจากการสร้างความสัมพันธ์เช่นนี้เลย เพราะนี่ยังช่วยให้เขามั่นใจได้ถึงความปลอดภัยระหว่างการเดินทางบนถนนสายนี้อีกด้วย 

 

 

หากไม่เบื่อชีวิตแล้วล่ะก็ จะมีโจรคนไหนกล้ามาปล้นกองคาราวานที่มียอดฝีมือระดับหนึ่งถึงสี่คนล่ะ?  

 

 

อย่างไรก็ตาม หัวหน้ากองคาราวานไม่รู้ว่า ความจริงแล้ว ในกองคาราวานของเขามียอดฝีมือระดับหนึ่งถึงเจ็ดคน และหลี่ว์ซู่ก็ยังคงฝึกฝนอย่างหนักเผื่อว่าบางทีเขาอาจจะสามารถทะลวงด่านสู่ระดับที่สูงขึ้นไปได้อีกก่อนที่พวกเขาจะไปถึงเมืองหลวง…  

 

 

และนี่อาจจะเป็นกองคาราวานการค้าที่หรูหราอลังการมากที่สุดในประวัติศาสตร์… 

 

 

กลุ่มของซุนจ้งหยางมีชายเจ็ดคนและหญิงห้าคน และจู่ๆ เด็กสาวคนหนึ่งก็กระซิบถามว่า “เธอเชื่อในสิ่งที่เขาพูดจริงๆ เหรอ? เธอเชื่อคนที่สามารถทรยศคนอื่นได้อย่างสบายๆ แบบนี้เหรอ?” 

 

 

ซุนจ้งหยางไม่ใส่ใจและกล่าวตอบว่า “อย่าพูดอย่างนั้น โม่เสี่ยวหยา เขาแค่กำลังหารายได้ เธอไม่รู้หรอกว่าชาวบ้านธรรมดาหาเงินได้ยากแค่ไหน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องยอมเสียศีลธรรมเพื่อฉวยประโยชน์จากผู้อื่น ถึงพวกเราจะมีจิตศีลธรรม แต่ก็ไม่ควรไปบังคับให้ต้องพวกเขาคงศีลธรรมหรือหยุดการกระทำที่ขัดศีลธรรมเพียงด้วยความคิดเห็นของเราเองเท่านั้น ฉันต้องการผลลัพธ์เท่านั้น ฉันไม่สนใจเรื่องพวกนี้” 

 

 

หลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว หญิงสาวที่มีนามว่าโม่เสี่ยวหยาก็ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “กล่าวได้ถูกต้อง…แต่เธอเห็นหรือเปล่า? เขาหล่อมาก!”  

 

 

  

 

 

[1] หลี่ว์ผู้เบิกบาน