ฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ หรือไร คิดว่าพอเข้าหอแล้วตอนนี้คงได้แสดงความรักและได้แบ่งปันความเพลิดเพลินใจด้วยกันทุกค่ำคืน ทั้งที่กำลังไปได้สวย แต่จู่ๆ กลับมาบอกว่าไม่อยากเห็นหน้า เขาเองก็ไม่กล้าแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวออกมา ได้แต่โอบกอดไหล่พลางอ้อนวอน  

 

 

“ข้าผิดไปแล้ว” 

 

 

“รู้หรือเพคะว่าทำอะไรผิด” 

 

 

ฮอนรวบรวมความกล้าจุมพิตลงบนไหล่ขาวเพราะคำพูดที่ดูอบอุ่นขึ้น 

 

 

“ข้าผิดทั้งหมดนั่นแหละ ไม่ว่าอะไรก็ตาม” 

 

 

ทั้งที่พูดอย่างนั้นแต่ทำไมมือถึงรุกรานหน้าอกนุ่ม และทำไมริมฝีปากถึงก่อกวนตรงซอกคอขาว รยูฮาตีลงบนหลังมือซนแต่เขาก็ไม่มีท่าทีจะหยุดเลย 

 

 

“คราวหน้าข้าจะคุกเข่าขอโทษ” 

 

 

ปัญหาคือปากนี่เอง รยูฮาหันหน้ามางับลงบนริมฝีปากที่กำลังพูดอย่างเจ้าเล่ห์ 

 

 

“อ๊ะ!” 

 

 

“นี่คือเรื่องที่ทำผิดเพคะ ได้ยินข่าวลือมาว่าองค์รัชทายาทคือหนุ่มเจ้าสำราญของพระราชา ไม่มีใครเทียบได้ทั้งเรื่องสตรีและสุรา นึกว่าเป็นเรื่องไร้สาระแต่นี่มันเรื่องจริงไม่ใช่หรือเพคะ ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นแล้วคงไม่มีทางชำนาญได้ขนาดนี้หรอกเพคะ!” 

 

 

“คือว่า เรื่องนั้น…” 

 

 

ถึงอย่างจะแก้ตัวอย่างไร แต่สายตาของรยูฮาที่จ้องมองมาทางเขานั้นช่างดุร้าย ดังนั้นฮอนจึงละทิ้งความคิดที่จะแก้ตัวและเริ่มออดอ้อนอีกครั้ง 

 

 

“ข้าผิดไปแล้ว คราวนี้แม้แต่ชายเสื้อของหญิงอื่นข้าก็จะไม่แล” 

 

 

“จริงหรือเพคะ” 

 

 

“แน่นอน ข้าขอสาบานใต้ฝ่าพระบาทพระราชา” 

 

 

พอถึงขั้นพูดถึงพระราชา นางจึงไม่มีคำใดจะเอ่ยออกมาอีก ฮอนอาศัยจังหวะที่รยูฮาวางใจแล้วเริ่มลงมืออีกครั้งอย่างรวดเร็ว สองคนแบ่งปันความรักจนถึงฝั่งฝันไปหลายครั้งถึงได้หลับใหลเคียงข้างกันใกล้กองไฟในสภาพอิงแอบแนบลมชิด 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“องค์ชาย ถึงอย่างไร…” 

 

 

ดูเหมือนว่าทั้งสองพระองค์จะตกลงไปในน้ำ นายทหารกล้ำกลืนคำที่จะพูดลงไปแล้วอ้ำอึ้ง แต่ต่อให้ไม่ได้ยินชานก็รู้ได้ รยูฮาว่ายน้ำได้หรือไม่ แล้วฮอนว่ายน้ำเก่งหรือไม่ ในหัวคิดอะไรไม่ออกเลยมันว่างเปล่าไปหมด 

 

 

“ออกค้นหาโดยใช้แม่น้ำเป็นจุดศูนย์กลาง” 

 

 

ชานเปล่งคำพูดที่แม้แต่ตัวเขาก็ยังคิดว่ามันดูอวดดี แล้วลงจากม้าพลางทอดสายตามองแม่น้ำที่อยู่ตรงหน้า ฝนซาลงแล้ว แต่เพราะฝนที่จู่ๆ ตกลงมาทำให้น้ำในแม่น้ำกลายเป็นโคลนและกำลังไหลบ่าอย่างแรง ทั้งคู่จะออกมาจากแม่น้ำก่อนที่มันจะไหลแรงได้หรือไม่นะ 

 

 

“ตรงนั้น เหยี่ยวกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

ชานหยุดการเคลื่อนไหวเพราะทหารที่อยู่ข้างหน้าตะโกนขึ้นแล้วมองไปยังท้องฟ้า เหยี่ยวตัวน้อยบินวนบนท้องฟ้าแล้วโฉบลงมาวางเศษผ้าสีขาวไว้ที่ฝ่ามือของชาน ก่อนจะบินออกไปอีกครั้ง 

 

 

“ทางนั้น! ไป!” 

 

 

สีเดียวกันกับเสื้อผ้าที่รยูฮาใส่ ชานพยายามขับไล่ลางร้ายในหัวแล้วควบม้าวิ่งไปในสายฝน คยอกรังบินอยู่สักพักไม่นานมันก็บินวนตรงจุดหนึ่งตรงข้ามแม่น้ำแล้วหายไปตามทางที่มาอีกครั้ง 

 

 

“ฝ่าบาท ตรงนั้นมีอะไรบ้างอย่างพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

ตรงรากต้นไม้ใหญ่ด้านในแม่น้ำมีบางอย่างติดอยู่ ใบหน้าของชานที่เห็นของพวกนั้นซีดเผือด แต่พอรู้ว่าเป็นเสื้อผ้าที่รยูฮาใส่เขาก็ถอนหายใจโล่งอกออกมา 

 

 

“ไปหาตรงฝั่งตรงข้ามนั้นซะ” 

 

 

“คือ นี่มัน…ตรงนั้นมีสะพานอยู่พ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนจะลอยขึ้นมาตรงนั้น” 

 

 

โธ่เอ๊ย! ชานจมอยู่ในความคิดเงียบๆ และลองประมาณความกว้างและความเร็วของน้ำในแม่น้ำ แม่น้ำที่ดินโคลนไหลแรงกระแสน้ำแรงพอตัว แต่ตรงนี้ความกว้างของแม่น้ำแคบลงและความเร็วของกระแสน้ำก็เบาลงด้วย มีต้นไม้ใหญ่ล้มขวางกระแสน้ำอยู่ ถ้าว่ายน้ำเก่งก็สามารถข้ามไปได้ เขาไม่คิดนาน ถอดเสื้อผ้าที่สวมอยู่โยนทิ้งแล้วตะโกน 

 

 

“เอาเชือกมา ข้าจะข้ามไปเอง” 

 

 

“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท! ถ้าอย่างนั้นให้กระหม่อมไปเสียดีกว่า” 

 

 

“นี่เป็นคำสั่ง เร็วเข้า!” 

 

 

ทหารที่เอ่ยปากห้ามปิดปากลงแล้วเอาเชือกที่ม้วนอยู่ตรงหลังม้ามาส่งให้ ชานรับมาแล้วผูกเชือกเข้ากับเอวของตัวเองเอาไว้แน่น ก่อนจะยื่นปลายเชือกให้ทหารอีกครั้ง  

 

 

“ข้าจะข้ามไปมัดเชือกที่ต้นไม้ แล้วพวกเจ้าค่อยจับข้ามไป” 

 

 

ชานกระโดดลงน้ำไปโดยไม่เว้นช่องให้ใครห้ามปราม ใช้แรงทั้งหมดที่มีว่ายฝ่ากระแสน้ำไป ถึงจะไม่กว้างมากแต่โคลนที่ไหลบ่าอย่างน่ากลัวก็ไหลทะลักเข้าปากเขาไม่หยุด เหล่าทหารที่เฝ้าดูอย่างใจหายใจคว่ำ ทุกครั้งที่มือของชานลื่น พวกเหล่าทหารก็จะกำมือแน่น ชานลื่นไถลไปตั้งหลายครั้งแต่ก็คว้ารากต้นไม้ไว้ได้อย่างปลอดภัยก่อนจะขึ้นไปยังริมแม่น้ำอีกฝั่งและสะบัดน้ำออก 

 

 

หลังจากนั้นก็ไม่ยาก เขาเจอเสื้อผ้าหนึ่งชุดที่ปลิวสะบัดอยู่ตรงต้นไม้ ไม่ผิดแน่ นี่เป็นเสื้อผ้าที่ฮอนเคยใส่ แถวต้นไม้ที่เข้าไปใกล้มีถ้ำเล็กอยู่ และมีควันจางๆ ลอยออกมาจากข้างในนั้น 

 

 

เจอแล้ว แล้วก็ปลอดภัยดี แม้จะไม่เคยตื้นตันใจกับอะไร แต่ความรู้สึกในตอนนี้เขารู้โดยสัญญาตญาณว่ามันคือความตื้นตันใจ ความรู้สึกดีใจอย่างเหลือล้นนั้นก็เกิดขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง ชานเดินตามควันเข้าไปในถ้ำแล้วก็ตัวแข็งเป็นน้ำแข็งไปพร้อมกับภาพที่อยู่ตรงหน้า 

 

 

ฮอนและรยูฮาหลับลึกภายในอ้อมกอดของกันและกันอย่างแนบชิดข้างกองไฟ ทั้งชุดซับในสีขาวที่ถูกวางอยู่ข้างๆ ภาพทั้งหมดนั้นชัดเจน และร่องรอยสีแดงเรื่อนั้นก็ผลักชานลงนรก 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“ล่าสัตว์คราวนี้เจ้าชนะสินะ” 

 

 

พระราชาเห็นองค์รัชทายาทและชายาตามหลังชานมาก็พูดขึ้นก่อน ถึงจะไม่ใช่การเจอกันที่น่าประทับใจมากนักแต่ก็ถือว่าโชคดี ฮอนที่รู้ว่าทรงเป็นห่วงจึงยิ้มอย่างหมดแรง 

 

 

“กระหม่อมจับเสือภูเขาได้หรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“กระดูกคอมันหักเลย ไปเอาลูกธนูแบบนั้นมาจากไหน” 

 

 

เสื้อภูเขาคือสัตว์ป่าชนาดใหญ่ แน่นอนว่าถึงแม้จะมีลูกธนูปักอยู่หลายที่แต่พอดึงลูกธนูอันนั้นออกมามันเล็กชนิดที่ยากจะเชื่อได้ว่าเป็นสิ่งที่ปลิดลมหายใจของเสือได้ ทั้งยังตรงส่วนปลายที่แยกออกจากกันจนดึงออกไม่ง่ายนักก็เป็นลูกธนูที่พระราชาไม่เคยเห็นมาก่อน แน่นอนว่าต้องถามดูแบบนี้ ฮอนเก็บลูกธนูด้วยตัวเองก็พบว่าสมควรแล้วที่เสือจะอยู่ในสภาพเช่นนั้น 

 

 

“คือว่า…” 

 

 

ฮอนขับไล่ความกลัวออกไปแล้วหันไปมองรยูฮา มันคืออาวุธที่สืบทอดมาจากตระกูลของรยูฮา เขาจะเอ่ยเรื่องนั้นออกไปได้หรือไม่ รยูฮาส่ายหน้าเงียบๆ ให้กับสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม  

 

 

“ค่อยกราบทูลครั้งหน้าได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ทูลตอนนี้มัน…” 

 

 

มีหูที่เงี่ยฟังอยู่เยอะแยะ ฮอนไม่ได้พูดคำนั้นออกมา แต่พระราชาก็เข้าใจแล้วพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะอ้าแขนกอดลูกชายกับลูกสะใภ้ไว้  

 

 

“ฝ่า ฝ่าบาท!” 

 

 

“ข้าเป็นห่วงมากกลัวจะเสียพวกเจ้าไป เจ้าพวกไม่รักดี” 

 

 

“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“นั่นหมายความว่าพวกเจ้ากลับมาแล้ว แต่พวกเจ้าทำให้ข้าเป็นห่วง ดังนั้นจงนำหนังเสือนั่นให้ข้าเสีย” 

 

 

“ตั้งใจจับเพื่อถวายเสด็จพ่อแต่แรกอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

แม้แต่เหล่าทหารที่ห้อมล้อมอยู่ยังหัวเราะไปกับคำพูดเรื่อยเปื่อยของฮอนแล้วก็พากันหุบปากเงียบ มีเพียงชานที่เม้มปากแน่นไม่ยิ้ม แต่ด้วยความที่ปกติเขาก็ยิ้มน้อยอยู่แล้วจึงไม่มีใครสนใจ 

 

 

เหตุการณ์การหายตัวไปขององค์รัชทายาทและพระชายาทำให้พระราชวังวุ่นวาย เพิงที่พักชั่วคราวที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อล่าสัตว์ถูกเก็บอีกครั้ง ถึงจะได้กลับวังไปพักผ่อน เนื่องจากการล่าสัตว์อันแสนเหน็ดเหนื่อย แต่ชานที่กลับมาพระราชวังกลับแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมุ่งตรงไปยังวังซูอาน ที่พักของมารดาเขาซึ่งเขาเคยตั้งใจว่าจะไม่ไปเยือน 

 

 

“พระสนมเพคะ องค์ชายสองขอเข้าเฝ้าเพคะ” 

 

 

“เปิด” 

 

 

ให้ได้อย่างนั้นสิ รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากสีแดงเหมือนเลือดของพระสนมมุนแล้วหุบยิ้มลงอีกครั้ง นางยินดีอย่างมากที่ได้เห็นลูกชายเดินเข้ามาตรงประตูที่ถูกเปิดออก 

 

 

“ทุกคนออกไปจากวังให้หมด ไม่ให้เหลือเลยแม้แต่คนเดียว” 

 

 

พระสนมมุนผู้ซึ่งอ่านใจของชานออกจัดการกับหูที่กำลังเงี่ยฟังเสียก่อนที่เขาจะได้เปิดปากพูด แล้วก็ปิดม่านตรงหน้าต่างด้วยตัวเอง แสงเทียนในห้องมืดลุกโชนอย่างไม่น่าปลอดภัย เงาของชานที่สะท้อนกลับมาเคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาดและพลิ้วไหว 

 

 

“มีเรื่องอะไรหรือเพคะ องค์ชาย” 

 

 

“ดูเหมือนจะทรงทราบอยู่แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ปลายนิ้วของพระสนมมุนชี้ไปยังเก้าอี้ที่วางอยู่ตรงหน้า ชานค่อยๆ ดึงออกมาแล้วนั่งลง พอเขามองไปยังมารดา พระสนมมุนก็มองเขาด้วยสายตาที่ใช้มองคนแปลกหน้า เป็นท่าทางที่ไม่ต่างไปจากเมื่อก่อน ปากของนางเป็นเส้นตรง จมูกโด่ง และคางที่ดูแข็งแรง มีเพียงสายตาที่เคยส่องประกายเหมือนอาวุธที่เหมือนถูกปกคลุมด้วยบางอย่างต่างไปจากเมื่อก่อน นางซ่อนใจที่เริ่มอ่อนแอลงไว้ใต้ปลายเล็บหรูหราแล้วเคาะลงบนโต๊ะ 

 

 

“ในที่สุดองค์ชายก็มาตามจุดประสงค์ของแม่คนนี้” 

 

 

“ก่อนหน้านั้น ตั้งแต่นัดคราวนั้น” 

 

 

“กระหม่อมจะไม่แตะต้องลูกพลับที่อยู่บนยอดนั้นเพคะ” 

 

 

แต่หากเน่าในสภาพห้อยอยู่อย่างนั้นก็เลี่ยงไม่ได้ พระสนมไม่พูดต่อท้าย เพราะปล่อยไว้ไม่นานก็คงได้รู้ 

 

 

“กระหม่อมควรทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ไม่ต้องทำอะไรมากก็ได้เพคะ ถ้าเตรียมพร้อมแล้วแม่คนนี้จะไปหา ขณะที่รอโอกาส องค์ชายก็ทำตัวสนิทสนมเข้าไว้ ไปดื่มชา ขี่ม้าตีกยอกกู ล่าสัตว์ แล้วก็ดื่มสุราด้วยกันก็ดีเพคะ” 

 

 

ชานลุกขึ้นโดยไม่มีทั้งคำตอบและคำบอกลาก่อนจะออกจากวังซูอานไป ลมจากทางเหนือพัดผ่านจมูกจนรู้สึกเย็น เขาไม่สูดลมหายใจหรือถ่มน้ำลายเหมือนปกติ เขาไม่อาจรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดของวังซูอานอันวุ่นวายนับตั้งแต่เข้าก้าวย่างเข้ามา 

 

 

 

 

 

* * *