บทที่ 409.1 เวทกระบี่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

น่าประหลาดมาก ทั้งๆ ที่เหมาเสี่ยวตงก็จากไปแล้ว แต่ตำหนักหลักของศาลบุ๋นกลับไม่เพียงแต่ไม่เปิดให้คนนอกเข้าชม กลับกันยังมีลักษณะของการป้องกันอย่างเข้มงวดอีกด้วย

ตำหนักหลัง นอกจากทวยเทพแห่งศาลบุ๋นกลุ่มใหญ่ที่เผยกายบนโลกด้วยร่างทองซึ่งรวมหยวนเกาเฟิงเป็นหนึ่งในนั้นแล้ว ยังมีแขกสูงศักดิ์และแขกที่หาได้ยากอีกสองกลุ่ม

ฮ่องเต้ต้าสุยที่ปลอมตัวออกจากวัง ด้านหลังของเขามีขันทีผมขาวสวมชุดหม่างสีแดงสดคนหนึ่งยืนอยู่

และยังมีบุรุษอีกสองคน คนหนึ่งคือผู้เฒ่าผมขาวโพลน แม้จะเผชิญหน้าอยู่กับกษัตริย์แห่งโลกมนุษย์และอริยะแห่งศาลบุ๋น แต่พลังอำนาจของเขาก็ยังกร้าวแกร่ง และยังมีบุรุษท่าทางสุภาพอ่อนโยนอายุค่อนข้างน้อยอีกคนหนึ่ง บางทีเขาคงคิดว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติมากพอจะเข้าร่วมกับเรื่องลับครั้งนี้ จึงไปยืนแหงนหน้ามองเทวรูปของเจ็ดสิบสองนักปราชญ์อยู่ในตำหนักหน้า

ผู้เฒ่าไม่ใช่คนของแจกันสมบัติทวีป เขาเรียกตัวเองว่าหลินซวงเจี้ยง เพียงแต่ว่าสามารถพูดภาษากลางของแจกันสมบัติทวีปและภาษาทางการของต้าสุยด้วยสำเนียงที่ถูกต้องเหมือนคนในท้องที่

หลินซวงเจี้ยงนี้น่าจะเป็นเพียงนามแฝงเท่านั้น นี่ไม่สำคัญ สำคัญที่หลังจากผู้เฒ่าปรากฏตัวในเมืองหลวงต้าสุยแล้ว ก็แสดงให้เห็นว่าวิชาอภินิหารของเขาสูงส่งเลิศล้ำ ขันทีชุดหม่างด้านหลังฮ่องเต้ต้าสุยร่วมมือกับผู้ถวายการรับใช้ของวังหลวงคนหนึ่ง ทุ่มเทอย่างสุดความสามารถแล้วก็ยังไม่อาจหาวิธีทำร้ายผู้เฒ่าได้แม้แต่เสี้ยวเดียว

หลินซวงเจี้ยงชำเลืองตามองหยวนเกาเฟิงและทวยเทพสายบุ๋นอีกสองท่านที่พร้อมใจกันปรากฎตัวมาโต้คารมกับเหมาเสี่ยวตงด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

สายตาของเขาเคลื่อนย้ายมองไปทางองค์เทพที่มีสถานะเป็นขุนพลผู้มีคุณูปการบุกเบิกแคว้น รวมไปถึงองค์เทพที่ใช้สถานะขุนนางบุ๋น แต่กลับสร้างคุณความชอบบุกเบิกขยับขยายที่ดินให้แคว้นต้าสุยในประวัติศาสตร์ องค์เทพสองกลุ่มนี้มารวมตัวกันอย่างเป็นธรรมชาติ ประหนึ่งภูเขาของราชสำนักลูกหนึ่งที่เหมือนจะมีเหมือนไม่มีเส้นแบ่งระหว่างฝ่ายของหยวนเกาเฟิงที่มีคนอยู่แค่ไม่กี่หยิบมือ สุดท้ายสายตาของหลินซวงเจี้ยงย้ายไปที่ร่างของฮ่องเต้ต้าสุย “ฝ่าบาท ขวัญกำลังใจของกองทัพ และขวัญกำลังใจของชาวบ้านต้าสุยล้วนสามารถนำมาใช้ได้ ราชสำนักมีหัวใจบุ๋น สมรภูมิรบมีหัวใจบู๊ สถานการณ์ใหญ่เป็นเช่นนี้แล้ว ท่านจะยังเอาแต่กล้ำกลืนความอัปยศต่อไปอีกหรือ? หากพูดว่าตอนที่ลงนามพันธมิตรขุนเขา ต้าสุยไม่อาจต้านทานกองทัพม้าเหล็กของต้าหลี ยากที่จะหนีชะตากรรมแคว้นล่มสลายได้จริงๆ แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ฝ่าบาทจะยังใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ เช่นนี้อีกหรือ?”

หลินซวงเจี้ยงหัวเราะหยันเสียงเย็นชา “ต้องการให้คนต่างถิ่นอย่างข้าบอกให้ฝ่าบาทฟังหรือไม่ว่า ช่วงเวลาหลายปีมานี้ ขุนนางในเมืองหลวงต้าสุยที่แขวนตราประทับลาออกจากการเป็นขุนนาง ปัญญาชนที่หลบหนีโลกภายนอกไปใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขามีกี่ร้อยคน? และการเสื่อมโทรมของโชคชะตาศาลบุ๋นในท้องที่แต่ละแห่งนับจากเมืองหลวงไปถึงต่างจังหวัดร้ายแรงแค่ไหน ยังต้องให้ข้าพูดไหม? บอกว่าเป็นพันธมิตรร้อยปี แม้ฝ่าบาทจะใช้การที่คนคนเดียวถูกด่าในประวัติศาสตร์แลกมาด้วยความสงบสุขของชาวบ้านในแคว้นเป็นเวลาร้อยปี แต่ฝ่าบาทแน่ใจได้อย่างไรว่าต่อให้คนเถื่อนสกุลซ่งต้าหลีรักษาสัญญา ไม่ใช้กำลังกับต้าสุยจริงๆ แต่ต้าสุยของพวกท่านจะมีชีวิตอย่างสงบสุขมั่นคงไปได้ถึงร้อยปีจริงๆ? จากนั้นก็แหงนหน้ามองฟ้าตาปริบๆ รอให้ขนมเปี๊ยะหล่นลงมาจากท้องฟ้า รอให้สกุลซ่งต้าหลีแพ้ภัยตัวเอง แล้วสกุลเกาต้าสุยของพวกท่านค่อยไปเก็บเกี่ยวดอกผลน่ะรึ?”

หลินซวงเจี้ยงสีหน้าเย็นชา “คานบนไม่ตรงคานล่างเอียง สกุลซ่งต้าหลีมีสันดานอย่างไร คิดว่าฝ่าบาทน่าจะรู้ดี ตอนนี้ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองเป็นผู้สำเร็จราชการ ชาวยุทธกุมอำนาจอยู่ในมือ ตอนนั้นแม้แต่ทวยเทพแห่งห้าขุนเขาที่มีความเกี่ยวพันกับชะตาแคว้นสกุลเกาอย่างแนบแน่น ฮ่องเต้ต้าหลีก็ยังสามารถเล่นงานด้วยการถอดถอนตำแหน่งพวกเขาทิ้งทั้งหมด พันธมิตรแห่งขุนเขาที่ภูเขาตงหัวต้าสุยกับที่ภูเขาพีอวิ๋นต้าหลีจะใช้ได้ผลจริงๆ หรือ? ข้ากล้าบอกเลยว่าไม่ต้องรอถึงห้าสิบปี อย่างมากสุดสามสิบปี ต่อให้กองทัพม้าเหล็กต้าหลีถูกขัดขวางอยู่ตรงแถบราชวงศ์จูอิ๋ง แต่ก็ถูกผู้สืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ต้าหลีคนใหม่กับซิ่วหู่ผู้นั้นควบรวมพื้นที่ทางเหนือทั้งหมดของแจกันสมบัติทวีปไปได้สำเร็จแล้ว สามสิบปีให้หลัง ตั้งแต่ชาวบ้านไปจนถึงกองทัพ ไปจนถึงเสมียนขุนนางชั้นผู้น้อย สุดท้ายมาถึงขุนนางคนสำคัญของราชสำนักต้าสุย ล้วนกลายมาเป็นรังที่แสนสงบสุขที่ราชวงศ์ต้าหลีปรารถนาแม้ในยามหลับฝันแล้ว”

หลินซวงเจี้ยงพูดเสียงกร้าว “รอให้ส่วนลึกในใจของชาวบ้านต้าสุยมองแคว้นอื่นเป็นดั่งมาตุภูมิบ้านเกิดของตัวเองเสียก่อนเถอะ ฮ่องเต้ต้าสุยที่สร้างหายนะทำแคว้นล่มจมกับมือตัวเองอย่างท่านจะยังมีหน้าไปพบบรรพบุรุษสกุลเกาเกอหยางอีกหรือ?”

หยวนเกาเฟิงตวาดอย่างเดือดดาล “หลินซวงเจี้ยง เจ้าบังอาจนัก! เรื่องในแคว้นต้าสุยของพวกเรา เจ้าไม่มีสิทธิ์มาพูดจาสามหาวอยู่ที่นี่!”

ขุนนางบุ๋นของต้าสุยที่อาศัยการกำหนดนโยบายแห่งแคว้นรับแคว้นหวงถิงไว้เป็นแคว้นใต้อาณัติเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ฝ่าบาทโปรดไตร่ตรองด้วยพะยะค่ะ”

หลินซวงเจี้ยงไม่พูดอะไรอีก

ศาสตร์แห่งการเปิดปิดปาก เมื่อเปิดปาก เอ่ยเอื้อนคำพูด เมื่อปิดปาก เงียบงันไม่พูดจา

พูดแล้วเหลือพื้นที่ว่างให้ขบคิด ไม่พูดออกมาตามตรงย่อมได้ผลมากกว่า สามารถล่อลวงใจคนได้ดีกว่า

ในขณะที่ตำหนักหลังตกอยู่ในบรรยากาศเงียบงัน ทางฝั่งของตำหนักหน้า บุรุษสวมชุดตัวยาวที่ให้ความรู้สึกหล่อเหลาอ่อนเยาว์แก่คนมองกำลังไล่มองเทวรูปของเจ็ดสิบสองปราชญ์ไปทีละรูปไม่ต่างจากเฉินผิงอัน

ในที่สุดฮ่องเต้ต้าสุยก็เปิดปากกล่าวว่า “เพราะการตายของซ่งเจิ้งฉุน วันนี้ทั้งสองท่านถึงได้มาเยี่ยมเยือน ถูกไหม?”

หลินซวงเจี้ยงพยักหน้ายอมรับ

ฮ่องเต้ต้าสุยชี้ไปที่ตัวเอง คลี่ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นหากวันใดข้าถูกผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่งฆ่าตาย หรือไม่ก็ถูกกระบี่บินของจอมยุทธสำนักโม่ที่มีนามว่าสวี่รั่วผู้นั้นแทงตาย จะทำอย่างไร?”

ฮ่องเต้ต้าสุยชี้ไปที่เหนือศีรษะของตัวเอง แล้วจึงชี้ไปยังตำแหน่งของตำหนักหน้าที่อยู่ด้านหลังของตน “หากสวี่รั่วสังหารกษัตริย์อย่างไร้เหตุจำเป็น ในฐานะผู้ฝึกตน สวี่รั่วก็น่าจะถูกอริยะบางท่านลงโทษ สวี่รั่วเป็นคนสำคัญของสำนักโม่ ป๋ายอวี้จิงที่ก่อนหน้านี้สายรองของสำนักโม่ช่วยสร้างเลียนแบบให้ถูกทำลาย สายหลักของสำนักโม่ในแผ่นดินกลางกลับเปลี่ยนความคิด เลือกหันมาเดิมพันข้างสกุลซ่งต้าหลี มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าสวี่รั่วก็คือบุคคลสำคัญ ดังนั้นไม่แน่เสมอไปว่าสวี่รั่วจะยินดี ‘แลกแต้มหมาก’ กับข้า เพราะสำนักโม่จะขาดทุนมากเกินไป แต่หากหลี่เอ้อร์สังหารข้า ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าหากอิงตามกฎบนภูเขาของพวกเจ้า เหล่าอริยะของลัทธิขงจื๊อน่าจะไม่ให้ความสนใจ”

หลินซวงเจี้ยงกล่าวอย่างเฉยเมย “หลี่เอ้อร์ผู้นั้น ขอแค่ยังไม่ถึงขอบเขต ‘เทพมาเยือน’ ของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ ข้าสามารถทำให้เขาไม่อาจเข้ามาในเมืองหลวงต้าสุยได้ แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้น ศาลบุ๋นของพวกเจ้าต้องให้ความร่วมมือกับข้า ช่วยกันเปิดค่ายกลใหญ่ปกป้องเมืองด้วย”

พูดถึงขนาดนี้แล้วฮ่องเต้ต้าสุยก็ยังไม่หวั่นไหว เขาถามต่ออีกว่า “ไม่กลัวโจรมาขโมย กลัวก็แต่โจรจะคอยนึกถึง ถึงเวลานั้นต้องป้องกันโจรตลอดพันวัน จะป้องกันได้ไหวหรือ? หรือท่านหลินจะอยู่ในต้าสุยตลอดไป?”

หลินซวงเจี้ยงขมวดคิ้ว

และเวลานี้เอง ในทะเลสาบหัวใจของทุกคนก็มีน้ำเสียงอ่อนโยนทุ้มหนักดังขึ้น “หากหลี่เอ้อร์กล้ามาฆ่าคนที่เมืองหลวงต้าสุย ข้าจะเป็นคนรับหน้าที่ออกจากเมืองไปฆ่าเขาเอง ข้าแค่กล้ารับรองในเรื่องนี้ เรื่องอื่นๆ ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรก”

หยวนเกาเฟิงหัวเราะเหน็บแนม “ดีนักนะ ผู้ฝึกตนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางช่างร้ายกาจซะจริง สังหารผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่ง พูดเหมือนกับเด็กบีบคอลูกเจี๊ยบให้ตายอย่างไรอย่างนั้น”

หลินซวงเจี้ยงไม่ได้พูดอะไรมากอีก เพียงกล่าวเสียงหนักว่า “หากท่านฟ่านพูดได้ก็ต้องทำได้”

ฮ่องเต้ต้าสุยยิ้มกล่าว “จริงรึ?”

คนผู้นั้นที่อยู่ในตำหนักหน้ายิ้มบางๆ ตอบรับ “สำนักการค้าสืบทอดต่อกันมา มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นรากฐานในการหยัดยืน”

……

หลี่ไหวที่เล่นหมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกตามกติกาของเผยเฉียนพ่ายแพ้เสียยับเยิน

หลังจากยอมแพ้แล้วก็ยังโมโหไม่หาย ใช้สองมือปัดป่ายกระดานหมากที่วางเม็ดหมากไว้จนเต็ม “ไม่เล่นแล้วๆ น่าเบื่อนัก หมากแบบนี้ทำเอาข้าเวียนหัวตาลายท้องหิวไปหมดแล้ว”

ได้ยินเสียงใสกังวานที่เกิดจากเม็ดหมากกระทบกัน

ขนตาของเซี่ยเซี่ยที่ฝึกตนอยู่ตรงมุมหนึ่งของระเบียงที่ปูพื้นด้วยไม้ไผ่มรกตก็สั่นระริกเบาๆ จิตใจไม่ใคร่จะสงบนิ่งนัก จำต้องลืมตาหันหน้าไปชำเลืองมองทางฝั่งนั้น เผยเฉียนกับหลี่ไหวกำลังเลือกเม็ดหมากดำขาวของใครของมัน แล้วโยนใส่โถเก็บเม็ดหมากที่อยู่ข้างกายอย่างไม่ใส่ใจจนเกิดเสียงดังแกร๊กๆๆ

แม้ว่าโถเก็บเม็ดหมากจะเป็นภาชนะที่หลอมจากเตาทางการของต้าสุย มีมูลค่าอยู่หลายสิบตำลึงเงิน แต่เม็ดหมากพวกนั้นต่างหากที่เซี่ยเซี่ยรู้ดีว่ามีมูลค่าควรเมือง

หากเปลี่ยนมาเป็นก่อนหน้านี้ตอนที่ชุยตงซานยังอยู่ในเรือนเล็กแห่งนี้ บางครั้งเซี่ยเซี่ยก็จะถูกชุยตงซานลากให้มาเล่นหมากล้อมด้วยกัน แค่วางเม็ดหมากหนักมือนิดหน่อยก็ต้องถูกชุยตงซานตบจนร่างปลิวคว้างไปกระแทกกำแพง บอกว่าหากนางทำให้เม็ดหมากเม็ดใดแตก ก็เท่ากับว่าทำลายของสะสมของเขาให้ ‘ไม่สมบูรณ์แบบ’ กลายเป็นของมีตำหนิ รูปลักษณ์เสียหาย ต่อให้นางเซี่ยเซี่ยชดใช้ด้วยชีวิตก็ยังไม่พอ

เม็ดหมากบนโลกใบนี้ หากเป็นของครอบครัวคนทั่วไปก็แค่ทำมาจากหินที่งดงามหน่อยเท่านั้น หากเป็นของครอบครัวเศรษฐี โดยทั่วไปจะทำมาจากเนื้อกระเบื้อง แต่ถ้าเป็นของตระกูลเซียนบนภูเขาจะกลึงมาจากหยกที่งดงามมากเป็นพิเศษ

ทว่าเม็ดหมากสองโถนี้ของชุยตงซานมีประวัติความเป็นมาน่าตื่นตะลึง พวกมันคือ ‘หมากเมฆหลากสี’ ที่คนเล่นหมากล้อมทั่วหล้าอิจฉาตาร้อนอยากครอบครอง เมื่อพันปีก่อน ศิษย์น้องของเจ้านครจักรพรรดิขาว เจ้าของหอแก้วหลากสีแห่งนั้นได้ใช้วิชาลับเฉพาะอย่างการ ‘กลั่นหยด’ สร้างมันขึ้นมา เมื่อหอแก้วหลากสีพังทลายลง เจ้าของของมันหายเข้ากลีบเมฆไปนานนับพันปี วิธีการ ‘กลั่นหยดหลอมใหญ่’ ที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษจึงสาบสูญไปนับแต่นั้น เคยมีเซียนของแผ่นดินกลางที่รักการเล่นหมากล้อมดุจชีวิตได้หมากเมฆหลากสีไปหนึ่งโถครึ่ง เพื่อรวบรวมให้ครบถ้วน เขาถึงกับให้ราคาสูงเทียมฟ้า หมากหนึ่งเม็ดจ่ายด้วยเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ

ทว่าเวลานี้เมื่อหมากแก้วหลากสีมาอยู่ในมือของเผยเฉียนกับหลี่ไหว กลับไม่ได้ดีไปกว่าก้อนหินบนพื้นดินเลย

เซี่ยเซี่ยถอนหายใจอยู่ในใจ โชคดีที่ถึงอย่างไรหมากเมฆหลากสีก็เป็นวัตถุที่มีมูลค่า ต่อให้ชายฉกรรจ์ออกแรงเต็มที่ก็ยังไม่สามารถทำให้มันแตกร้าวได้ กลับจะยิ่งส่งเสียงดังกังวานมากขึ้น

หลี่ไหวไม่เต็มใจจะเล่นหมากเรียงไข่มุก เผยเฉียนจึงเสนอการละเล่นจับหินของชาวบ้าน หลี่ไหวเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในทันที เรื่องนี้เขาถนัด ปีนั้นมักจะเล่นกับเพื่อนร่วมห้องในโรงเรียนเป็นประจำ เด็กหญิงผมแกละที่ชื่อว่าสือชุนเจียผู้นั้นก็มักจะแพ้ให้เขา เล่นจับหินกับพี่สาวหลี่หลิ่วตอนอยู่ในบ้านก็ยิ่งไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน!

คนทั้งสองแบ่งกันหยิบหมากในโถของตัวเองขึ้นมาใหม่คนละห้าเม็ด เล่นจบไปรอบหนึ่งก็พบว่าระดับความยากมีน้อยเกินไป จึงคิดจะเพิ่มเป็นสิบเม็ด

เซี่ยเซี่ยได้ยินเสียงเม็ดหมากกระทบกระดานดังกังวานยิ่งกว่าเก่า จิตใจก็สั่นสะท้านน้อยๆ หวังเพียงว่าชุยตงซานจะไม่รู้เรื่องโศกนาฎกรรมในครั้งนี้

บางครั้งยังมีหมากเมฆหลากสีเม็ดสองเม็ดปลิวกระเด็นพ้นจากหลังมือไปตกอยู่บนพื้นหินในลาน จากนั้นก็ถูกเจ้าเด็กสองคนที่ไม่เห็นคุณค่าของพวกมันเก็บกลับมา

เซี่ยเซี่ยไม่มีอารมณ์จะเข้าฌานทำสมาธิอีกแล้ว นางเลือกลุกขึ้นยืนเดินกลับไปอ่านหนังสือในห้องปีกข้างของตัวเองเสียเลย

—–