วิธีดูม้า

 

ทั้งลู่ชิงหยาและหยางเว่ยเมื่อได้ยินคำสนทนาเหล่านั้นก็รู้สึกประหลาดใจ ทำไมซูจิ้งถึงอยากจะเริ่มทำฟาร์มม้าหล่ะ เขาเข้าใจมันด้วยหรอ ฉือชิงเองก็ไม่แน่ใจเรื่องนี้เหมือนกันที่จึงเลือกที่จะฟังอยู่เงียบๆ เธอรู้แค่ว่าซูจิ้งมีลูกม้าเลี้ยงไว้แค่นั้นเอง

 

“พี่จิ้ง พี่มีม้าแข่งด้วยหรอ” หลิวฉิงเองก็เกิดความรู้สึกแปลกใจพร้อมทั้งมีความสุขไปพร้อมกัน เขานั้นมีความหลงใหลในเรื่องการแข่งม้ามากกว่าการแข่งรถ ถ้าจะให้พูดล่ะก็เขาอยากให้การแข่งโอลิมปีกนั้นมีการแข่งม้าวิบาก แข่งม้าข้ามแดน และแข่งม้าสามวันสามคืน แทนการแข่งรถไปเลยด้วยซ้ำ

 

“ฉันก็ฝึกไว้อยู่เหมือนกันนะ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ในระดับไหน เอาเป็นว่าลองดูเองเลยละกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

“ใช่แล้ว ต้องเห็นด้วยตาตัวเองยังไงก็ดีกว่าอยู่แล้ว ว่าแต่ม้าอยู่ไหนหรอ” หลิวฉิงเอ่ยถามออกมา

 

ทันใดนั้นซูจิ้งได้ทำการผิวปาก เมื่อสิ้นเสียงก็มีเสียงม้าร้องมาจากข้างบนตึก ซักพักนึงก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นมา และค่อยๆดังขึ้นเรื่อย จนกระทั่งม้าสีขาวทั้งตัวที่ดูแล้วสวยมากๆ ได้ปรากฎกายขี้นที่มุมเลี้ยวของบันได และมันก็ได้รีบวิ่งลงมาอย่างช้าๆ ถ้าจะให้พูดแล้วในความจริงนั้นการที่ม้าตัวหนึ่งจะลงบันไดมาด้วยตัวของมันเองถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่กับม้าขาวตัวนี้อย่าว่าแต่ยากเลย มันเดินลงมาได้ดีกว่าคนเดินด้วยซ้ำ พอลงมาถึงมันก็พุ่งเข้าไปคลอเคลียที่หน้าของซูจิ้ง พร้อมทั้งเลียไปทั่วใบหน้า

 

เจ้าม้าขาวตัวนี้มันอาศัยอยู่ที่สวนมานานพอสมควรแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่มันอยากเจอซูจิ้งมันก็จะวิ่งขี้นบันไดไปหา ตอนแรกมันใช้บันไดไม่เป็นหรอกแต่พอลองได้ซักพักมันก็แทบจะวิ่งเล่นได้เลย ไม่เสียแรงที่กินอำพันมังกรเข้าไปตั้งห้าชิ้น

 

“ม้าตัวนี้ช่างสวยจริงๆ” หลิวฉิงตะลึงจนแทบทำอะไรไม่ถูก

 

“มันสวยมาก”

 

“เจ้านี่คือม้ายูนิคอร์นนั่นรึเปล่า เป็นไปได้ด้วยหรอที่จะมีม้าสวยขนาดนี้”

แม้แต่หยางเว่ยและลู่ชิงหยาก็ยังตกตะลึง

ลู่ชิงหยาคิดอย่างมั่นใจเลยว่านี่ต้องเป็นยูนิคอร์นแน่นอนซึ่งก็ว่าเธอไม่ได้หรอก นั่นก็เพราะว่าม้าตัวนี้สวยมาก รูปร่างสมบูรณ์แบบ ขนขาวเหมือนหิมะ นุ่มละมุน และเปล่งประกายสะท้อนแสง และมีดวงตาที่สุกสกาว ม้าแข่งที่เธอรู้จักนั้นต่อให้ดียังไงก็ยังสู้ตัวนี้ไม่ได้เลย ไม่ว่าใครที่ได้เห็นก็ต้องคิดในทันทีว่าไม่ใช่ม้าธรรมดา

 

พอเห็นเจ้าม้าตัวนี้คลอเคลียซูจิ้งแล้วทั้งสามคนมีความรู้สึกอยากจะลองสัมผัสตัวมันบ้าง แต่พวกเขาก็กลัวที่จะสัมผัสเหมือนกันจึงยังไม่กล้าทำอะไร ฉือชิงเห็นดังนั้นจึงได้เข้าไปใกล้ๆม้าเพื่อที่จะทำเป็นตัวอย่างให้ดูว่าต้องเข้าหาม้ายังไง เธอนั้นก็มาที่บ้านหลังนี้บ่อยๆ และก็คุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี ซึ่งที่จริงแล้วนั่นเป็นเพราะว่าเจ้าม้าน้อยตัวนี้มีสติปัญญาทำให้มันรู้ว่าฉือชิงนั้นมีสายสัมพันธ์อันดีกับเจ้านายของมัน

 

“ให้ฉันทำให้ดูแล้วกันว่ามันทำอะไรได้บ้าง” ซูจิ้งบอกพร้อมวางมือไว้บนหลังแล้วก็ดันตัวขึ้นไปแล้วนั่งอยู่บนหลังเหมือนมันเป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับเขา เขาพลางนึกไปว่าเจ้าม้าน้อยตัวนี้ขนาดยังไม่โตเต็มที่ แต่ยังตัวโตพอๆ กับม้าที่โตเต็มที่แล้วเลย ซึ่งนั่นไปผลมาจากให้มันกินอำพันมังกรไปมากพอสมควร

 

“สุดยอดเลยพี่ พี่ไม่ต้องใช้บังเหียนกับอานม้าเลยหรอ” หลิวฉิงถามด้วยความประหลาดใจ

 

“ไม่ต้องนะ” ซูจิ้งยิ้มออกมาแล้วพูดต่อว่า “ในเมื่อพื้นที่ตรงนี้ค่อนข้างจำกัด เอาเป็นเดี๋ยวชั้นจะแสดงวิธีการเดินของมันให้ดูแล้วกัน”

หลังจากได้เห็นวิธีการเดินของม้าแล้ว

 

หลิวฉิงทำได้เพียงแค่พยักหน้าเหมือนกับเป็นไก่กำลังจิกข้าวสาร ถ้าจะให้อธิบายว่าวิธีการเดินของม้านั้นคืออะไร ก็ต้องท้าวความกันให้รู้ก่อนว่าการขี่ม้าหรือว่าแข่งม้านั้น เป็นกีฬาที่พัฒนามาจากการฝึกฝนม้าทหาร โดยในการฝึกจะต้องมีการทดสอบม้าในสามอย่างนั่นคือ ความเชื่องของม้า ความหยืดหยุ่นของร่างกายม้า และความสามารถในการประสานงานกับคนขี่ม้า

 

“เอาหล่ะนะ” ซูจิ้งนั่งอย่างสบายอารมณ์และทันใดนั้นเจ้าม้าน้อยก็ได้เริ่มเคลื่อนไหว มันก้าวเดินอย่างช้าๆ แต่ทำอย่างกระชับกระเชง มันเริ่มวิ่งเยาะๆ ไปที่พื้นที่ว่างๆ ในสวนเหมือนมันกำลังเต้นรำอยู่ เมื่อไปถึงแล้วมันก็ได้เริ่มเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเดินก้าวสั้น เดินก้าวธรรมดา เดินก้าวยาว การวิ่งเรียบ การวิ่งโขยก การวิ่งห้อ เปลี่ยนลู่วิ่ง วิ่งถอยหลัง สลับตำแหน่งการวิ่ง วิ่งข้ามสิ่งกีดขวาง มันวิ่งทุกรูปแบบที่ม้าตัวอื่นทำได้ยากเย็น แต่กับเจ้าม้าน้อยทำได้อย่างไม่มีที่ติ เสมือนกับว่ามันเป็นม้าแข่งชั้นเลิศไปเรียบร้อยแล้ว

คนอื่นๆ เมื่อได้เห็นดังนั้นก็ทำได้แค่มองยืนตะลึง พวกเขาไม่เคยเห็นม้าที่ไหนไม่ว่าจะเห็นด้วยตาหรือเห็นผ่านจอทีวีที่มีวิธีการเดินที่สง่าผ่าเผยและนิ่มนวลกระทั่งเหมือนกับเต้นรำอยู่แบบนี้มาก่อน

 

บางคนบอกว่าวิธีการเดินของม้าเป็นตัวชี้วัดคุณภาพของม้า

 

บางคนก็พูดว่าการก้าวเดินของม้าเป็นจุดสูงสุดของศาสตร์แห่งการขี่ม้า จะบอกว่าการก้าวเดินของม้าน้อยตัวนี้ช่างสมบูรณ์ไร้ที่ติก็ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย

 

“มันเป็นยังไงบ้าง ฉันลองดูในทีวีแล้วลองให้มันทำตามดูน่ะ” ซูจิ้งถามออกมา

 

“อย่าพูดแค่คำว่าผ่านเลยดีกว่าพี่ มันสมบูรณ์ สมบูรณ์แบบจนแบบไร้ที่ติเลยด้วยซ้ำ” หลิวฉิงไม่ได้พูดออกมาเพราะต้องการเอาใจซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย ด้วยวิธีการเดินที่ดูสง่าผ่าเผยและนุ่มนวลนี้ ต่อให้เขาพูดเอาใจแบบสุดกู่ก็ไม่มีทางได้เห็นจากคนขี่ม้าคนไหนมาก่อนแน่นอน

 

“ม้าตัวนี้เยี่ยมยอดจริงๆ”

 

“มันช่างน่ารักสุดๆเลย ฉันอยากได้ไว้ซักตัวจัง”

 

หยางเว่ยและลู่ชิงหยาอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา อันที่จริงพวกเขาไม่เคยสนใจการขี่ม้าเลยแม้แต่น้อยเพราะทุกคนต่างก็คิดว่ามันอันตรายอย่างมาก แต่เมื่อได้เห็นเจ้าม้าน้อยตัวนี้และวิธีการที่มันเดิน หัวใจของพวกเขาต่างหลอมละลายหลงรักมันหมดใจ ถ้าพวกเขาสามารถขี่เจ้าม้าน้อยนี้ได้และได้มันเป็นสัตว์เลี้ยงพวกเขาคงจะรู้สึกดีอย่างที่สุด

 

“เดี๋ยวก่อนนะพี่ ไม่ใช่ว่าพี่ขี่มันได้คนเดียวหรอกนะ” หลิวฉิงพูดออกมาทันทีหลังจากสังเกตุปัญหาที่เขาพบ ถึงแม้ว่าซูจิ้งกับเจ้าม้าน้อยจะเข้าขากันได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าสั่งอะไรก็ทำตามได้แต่การให้คะแนนม้านั้นไม่ได้ดูแค่ลักษณะวิธีการเดินของม้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องดูความเข้าขา และความเชื่อง ทุกๆ ความเคลี่อนไหวของม้าถูกควบคุมโดยผู้ขี่ ผ่านบังเหียนและสัญญาณจากเท้า ทั้งหมดนี้คือการให้คะแนนที่ถือได้ว่ายุติธรรมที่สุดแล้ว

 

“แล้วใครบอกนายว่าฉันสั่งมันได้คนเดียวหล่ะ นายลองสั่งมันดูสิ” ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม

 

“ได้อย่างงั้นหรอ” หลิวฉิงลังเลก่อนที่จะพูดออกมาว่า “งั้นไปทางซ้าย”

ทันใดนั้นเจ้าตัวน้อยก็เดินไปทางซ้าย สายตาของหลิวฉิงเป็นประกายขึ้นมา เขาลองสั่งเจ้าม้าน้อยๆหลายๆอย่างซึ่งเจ้าม้าน้อยตัวนี้ก็ทำตามได้หมด ตอนแรกหลิวฉิงยังเข้าใจว่าเจ้าม้านี่จริงๆ แล้วไม่ได้ทำตามคำสั่งเขา แต่ซูจิ้งเป็นคนบังคับ แต่พอคิดดูแล้วซูจิ้งไม่มีทั้งบังเหียน อานม้า หรือที่พักเท้าเลยแล้วเขาจะไปสั่งมันได้ยังไงกัน ซึ่งสำหรับคนขี่แล้วถือว่าเป็นอุปกรณ์สำคัญแต่สำหรับซูจิ้งแล้วอุปกรณ์พวกนั้นไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย

 

“บิงโกกกก ม้าตัวนี้สมบูรณ์แบบ ให้ผมเป็นผู้จัดการให้มันเถอะนะ” หลิวฉิงตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น

 

“อย่าทำให้ฉันผิดหวังแล้วกัน แต่เจ้านี่เป็นของฉันนะบอกไว้ก่อน ถ้านายไม่รีบหล่ะก็ฉันสามารถฝึกม้าให้นายอีกตัวทีหลัง” ซูจิ้งพูดออกมา

เมื่อได้ยินดังนั้น หลิวฉิงได้ฝันหวานไปไกล เขาไม่คิดแปลกใจเลยว่าทำไมซูจิ้งถึงอยากซื้อฟาร์มม้า ซูจิ้งนั้นสามารถฝึกม้าชั้นเลิศได้อย่างง่ายดาย ต่อให้ไม่ดีเท่าตัวนี้แต่ขอให้ดีพอๆกับม้าที่ให้ฉินซูหลานไปก็พอแล้ว

 

“นายโทรหาเจ้าของฟาร์มม้านั่นได้เลย พรุ่งนี้เราจะเข้าไปดูกัน นายว่าไงล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา

 

“ดีเลยครับ” หลิวฉิงตอบทันที เขารีบโทรไปหาเจ้าของฟาร์มม้า เจ้าของฟาร์มม้าเองก็ตบปากรับคำกลับมาว่าพรุ่งนี้เข้าไปดูได้เลย ทันทีที่วางสายเขาก็หันมาพูดกับซูจิ้งว่า “พี่จิ้ง ที่จริงแล้วเจ้าของฟาร์มนี้เขาเป็นคนที่รักม้ามากและเขาก็ยังกังวลม้าที่เขาเลี้ยงไว้อยู่ ไม่อยากขายฟาร์มให้คนที่ไม่เข้าใจเรื่องม้าดีพอ ถ้ายังไงลองถ่ายวิดีโอวิธีการเดินของม้าตัวนี้ให้เขาดูก่อนดีไหมครับ พรุ่งนี้เราจะได้คุยเรื่องซื้อขายกับเขาง่ายขึ้น” หลิวฉิงเสนอความคิดออกมา

 

“ตกลง” ซูจิ้งได้ให้เจ้าม้าน้อยลองทำวิธีการเดินแบบต่างๆ โดยมีหลิวฉิงช่วยถ่ายรูปและวิดีโอไว้ให้ เมื่อเห็นดังนั้น หยางเว่ยและลู่ชิงหยาก็อดใจไม่ได้หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปไว้เช่นกันเพื่อที่จะได้เอาไปอวดเพื่อนๆ หลังจากขี่ไปได้ซักพัก ทุกคนต่างก็กลับบ้านเพราะว่าเริ่มมืดแล้ว จนกระทั่งเช้าวันต่อมา หลิวฉิงได้มาที่บ้านอีกครั้งแล้วซูจิ้งกับหลิวฉิงก็ได้ไปที่ฟาร์มม้าด้วยกัน