บทที่ 1253 ม้ามืดปรากฎตัว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1253 ม้ามืดปรากฎตัว โดย Ink Stone_Fantasy

บอกไม่ถูกว่าทั้งห้าคนทำสายตาอย่างไร มองเซี่ยโห้วหลงเฉิงเงียบๆ แวบหนึ่ง ฝานอวี้เฟยถอนหายใจแล้วตอบว่า “พวกเราห้าคนได้อันดับที่หนึ่งพันหนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดเหมือนกัน”

“ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้?” เหมียวอี้พึมพำอย่างแปลกใจ พอหันกลับมามองเซี่ยโห้วหลงเฉิง ก็พบว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงเอามือไขว้หลังเดินเนิบนาบจากไปไกลแล้ว

เจี่ยงจ้งเซินเข้ามาใกล้แล้วถามเสียงต่ำว่า “พี่หนิว ท่านบอกความจริงพวกเรามาเถอะ ผลงานที่ท่านให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงมีจุดสำรวจที่ทำเครื่องหมายไว้กี่จุด?”

“สามจุด อย่าบอกนะว่าของพวกเจ้าไม่ใช่?” เหมียวอี้ถาม

“ว่าแล้วเชียว! พวกเราเดาไว้แล้วว่ามีคนเล่นไม่ซื่อ” หลู่ต๋าไคแสยะยิ้ม “ท่านนั้นให้พวกเราแค่สองจุด ขนาดเรื่องนี้ยังแอบอมไว้คนเดียวได้ ต่ำทรามจริงๆ เสียแรงที่ร้อยปีมานี้พวกเราคอยปรนนิบัติรับใช้เขา ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้บัญชาการใหญ่เซี่ยโห้วถึงมีพี่ชายแบบนี้ได้ การวางตัวของสองพี่น้องแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน!”

ผู้บัญชาการใหญ่เซี่ยโห้วที่เขาก็หมายถึงเซี่ยโห้วหู่เฉิง เซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูล พวกเขาล้วนเป็นคนที่เซี่ยโห้วหู่เฉิงจัดหามาให้พี่ชาย ครั้งนี้นับว่าได้กลืนแมลงวันตัวใหญ่ลงท้องแล้วจริงๆ สะอิดสะเอียนแทบแย่

เหมียวอี้อึ้งนิดหน่อย ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกแปลกอยู่บ้างเหมือนกัน เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะทำเรื่องแบบนี้ได้ ถ้าทุกคนได้อันดับเก้าเหมือนกันหมด ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อเซี่ยโห้วหลงเฉิงเสียหน่อย แต่จะว่าไปแล้ว การกระทำนี้ก็ช่างสอดคล้องกับนิสัยขี้งกของเซี่ยโห้วหลงเฉิงจริงๆ เหมียวอี้รับรู้ด้านนี้มาตั้งนานแล้ว เพียงแต่สงสัยว่าขนาดของแบบนี้ยังอมไว้คนเดียวอีกเหรอ?

“ช่างเถอะ ถึงยังไงอันดับหนึ่งพันหนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดก็ยังได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อยู่ดี คะแนนจะสูงขึ้นหรือต่ำลงนิดหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร” เหมียวอี้แปลกใจ

ฝานอวี้เฟยบอกว่า “พี่หนิวใจกว้างสบายๆ เกรงว่าคงจะไม่รู้อะไรบางอย่าง มองดูมองตามอันดับไปตลอดทาง คนที่อันดับเท่ากันมีเยอะเกินไป อันดับหนึ่งพันหนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดของพวกเราที่จริงแล้วอยู่เกือบถึงอันดับเจ็ดพัน เหลืออีกหนึ่งพันก็จะหลุดตำแหน่งแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์มีทั้งหมดแค่แดพันกว่าตำแหน่ง คนที่จะเอาตำแหน่งนั้นจะต้องอยู่ในแปดพันอันดับแรกแน่นอน คงไม่มีตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ว่างเพิ่มหรอกมั้ง? พี่หนิวลองคิดดูสิว่าอันตรายขนาดไหน ถ้าใครบางคนใจดำกว่านี้สักหน่อย ตัดของเราไปอีกจุดหนึ่ง พวกเราจะต้องโดนเตะออกมาแน่นอน นึกแล้วยังกลัวอยู่เลย เวรตะไลเอ๊ย!”

สามารถด่าออกมาต่อหน้าคนนอกได้ จะเห็นได้ว่าพวกเขาแค้นเซี่ยโห้วหลงเฉิงขนาดไหน เป็นเพราะไม่ว่าใครเจอถ้ากับนิสัยอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ต้องรังเกียจ

เหมียวอี้เข้าใจแล้ว เข้าใจความรู้สึกของคนพวกนี้แล้ว การกระทำของเซี่ยโห้วหลงเฉิงเกือบจะทำให้พวกเขาตกอันดับแล้ว จึงปลอบใจว่า “ช่างเถอะ เขาก็เป็นแบบนั้นแหละ ขอแค่ยังติดอันดับ ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์แปดพันตำแหน่ง ได้ครอบครองสักหนึ่งที่นั่งก็ดีแล้ว ส่วนความสูงต่ำของอันดับ ที่จริงก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากเลย”

แบบนั้นก็ใช่ วรยุทธ์ของทั้งห้าถึงระดับบงกชทองขั้นแปดขั้นเก้าแล้ว พอนึกว่าเดี๋ยวกลับไปตัวเองจะได้นั่งบัลลังก์ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ สามารถร่นเวลาในการบรรลุระดับบงกชรุ้งให้เร็วขึ้น พวกเขาก็เริ่มดีใจแล้ว หลัวชิ่งจื่อกุมหมัดขอบคุณ “ครั้งนี้โชคดีมากจริงๆ ที่ได้พี่หนิวช่วย ของขวัญล้ำค่าเกินไปจนพวกเราไม่รู้จะขอบคุณยังไง ในภายหลังถ้ามีอะไรให้ช่วย พี่หนิวก็เอ่ยปากมาได้เลย”

อีกสี่คนได้ยินแล้วพยักหน้ายิ้มเช่นกัน

“ก็ได้!” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ คำพูดไพเราะที่พูดออกมาปากเปล่าโดยไม่มีอะไรเสียหายใครๆ ก็พูดได้ เขาเองก็ไม่ได้หวังอะไรมากว่าในภายหลังทุกคนจะช่วยเหลือเขาหรือไม่ หลังจากเกิดเรื่องที่โดนห้าปราชญ์พักหลัง สภาพจิตใจของเขาก็สุขุมเยือกเย็นขึ้นเยอะ นี่เป็นเรื่องที่ถือโอกาสทำไปอย่างนั้น ไม่เคยหวังอะไรตอบแทน

รอจนกระทั่งเซี่ยโห้วหลงเฉิงกลับมาอีกครั้ง ทุกคนต่างก็ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแล้ว

หลังจากนั้นสองวัน คนที่เบียดกันอยู่หน้าอักษรศิลาส่วนใหญ่ก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว ผลการทดสอบออกมาแล้ว มีทั้งคนที่ดีใจและคนที่ทอดถอนใจ

คนที่ยอมถอยและไม่ได้ผลงานอะไรกลับมา เมื่อเห็นคนอื่นสู้จนประสบความสำเร็จ กำลังจะกลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ กอดเกียรติยศความร่ำรวยไปเปลี่ยนแปลงชะตาทั้งชีวิต ก็ไม่ต้องพูดถึงเลยว่านึกเสียใจทีหลังขนาดไหน ในเมื่อมาแล้วทำไมถึงไม่สู้สุดชีวิตดูสักครั้ง?

มีบางคนที่สู้สุดชีวิตแล้วแต่ไม่ได้คะแนนดีๆ คนพวกนั้นปวดใจยิ่งกว่า เหลืออีกแค่นิดเดียวเท่านั้น! ถ้ามีความกล้ากว่านี้อีกสักนิดก็คงดี!

สรุปว่าคนหลายแสนอยู่ในแอ่งกระทะนั้น บางคนก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา บางคนก็จับกลุ่มพูดคุยกัน ผูกมิตรกันอย่างสดชื่นกระปรี้กระเปร่า คุยกันประมาณว่าต่อไปก็จะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เหมือนกันแล้ว ถ้ามีโอกาสก็ไปมาหาสู่กันสักหน่อย บางคนก็สีหน้าท้อแท้สิ้นหวัง บางคนก็จิตใจเร่าร้อนฮึกเหิม

การทดสอบผ่านไปหนึ่งครั้ง ได้เห็นนิสัยและใจคน ทำให้สารพัดรูปแบบของชีวิตคนปรากฏออกมา

ส่วนเหมียวอี้ คนที่รู้จักเขามีเยอะกว่าคนที่รู้จักเซี่ยโห้วหลงเฉิงเสียอีก เพราะอย่างไรเสียตอนแรกเหมียวอี้ก็สู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้านด้วยตัวคนเดียวต่อหน้าฝูงชน เกิดภาพลักษณ์อีกแบบในสายตาของทุกคนแล้ว ทุกคนเคยเป็นศัตรูกับเขามาก่อน บวกกับที่เหมียวอี้เคยล่วงเกินคนไว้เยอะเกินไป จึงไม่มีใครเข้ามาผูกมิตรกับเขา เมื่อเห็นเขาเดินผ่านบางคนก็ถึงกับรู้สึกหวาดกลัว

ฉวยโอกาสตอนที่หน้าอักษรศิลามีคนน้อย เหมียวอี้นำพวกเซี่ยโห้วหลงเฉิงเดินไปตรวจดูตรงหน้าอักษรศิลาแล้ว พบว่าเป็นอย่างที่ฝานอวี้เฟยบอกจริงๆ คนที่ได้อันดับเดียวกันมีเยอะมาก

การทดสอบประเภทนี้ไม่มีคำตอบที่ตายตัว ตามหลักการแล้ว การตัดสินคะแนนจนได้อันดับเดียวกันควรจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นยากมาก ตอนนี้กลับมีคนมากมายได้อันดับเดียวกัน ความเป็นไปได้เดียวก็คนที่ได้อันดับเดียวกันน่าจะส่งผลงานขึ้นไปแบบเหมือนกันทุกอย่าง

เหมียวอี้เห็นแล้วยังนึกกลัวทีหลัง แค่พวกฝานอวี้เฟยขาดจุดสำรวจไปจุดเดียวก็ทำให้อันดับกระโดดไปเกือบเจ็ดพันกว่าแล้ว โชคดีที่ทางจินม่านเตรียมการไว้เพื่อให้เกิดความให้มั่นใจและเชื่อถือได้ ไม่อย่างนั้นตนอาจจะโดนเบียดไปอยู่อันดับที่มากกว่าแปดพันเพราะมีคะแนนเท่ากับคนอื่นก็ได้

ทำไมถึงมีคนอันดับซ้ำกันมากขนาดนี้ สาเหตุก็เดาได้ไม่ยากเลย มีคนโกงการทดสอบ!

เหมียวอี้แปลกใจแล้ว ในเมื่อเกาก้วนประหารลูกหลานผู้มีอำนาจไปมากมายขนาดนั้น แต่เรื่องที่ชัดเจนขนาดนี้กลับไม่ตรวจสอบงั้นเหรอ?

แต่ส่วนใหญ่อันดับซ้ำกันจะอยู่หลังจากอันดับหลักสิบ อันดับแรกๆ มีคนได้ซ้ำไม่เยอะ เหมียวอี้หันกลับมาถามว่า “พี่เซี่ยโห้ว พวกที่อยู่อันดับต้นๆ พวกนี้เป็นใครบ้าง?”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงกวาดตามองบนอักษรศิลาสองสามครั้ง แล้วชี้ไปที่รายชื่อพวกนั้น “จ้านหรูอี้ เจ้าเองก็รู้จัก คนนี้ คนนี้ แล้วก็คนนี้ ชื่อค่อนข้างคุ้นนะ ส่วนคนอื่นข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน คาดว่าคงไม่มีที่มาที่ไปอะไรละมั้ง”

“อ๋อ!” เหมียวอี้แปลกใจ ชื่อที่แม้แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงยังไม่มีติดอยู่ในความทรงจำสักนิด เช่นนั้นคนที่ได้อันดับต้นๆ ส่วนใหญ่ก็อาจจะไม่มีภูมิหลังอะไรจริงๆ

หรือพูดได้อีกอย่างว่า คนที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ มีจำนวนไม่น้อยที่กล้าเสี่ยงสู้สุดชีวิต ตอนแรกที่ตนโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน ก็ไม่เห็นว่าจะมีคนที่กล้าหาญแบบนี้เลย แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยาก อีกฝ่ายไม่มีเหตุผลอะไรให้ทุ่มชีวิตทำงานเพื่อลูกหลานผู้มีอำนาจพวกนั้น ไม่จำเป็นต้องมาสู้ตายกับตน อีกฝ่ายมาเพราะจะสู้เพื่ออนาคต ไม่ได้มาสู้ตายกับเขา ถ้าตายแล้วก็จะไม่คุ้มค่า

พอคิดจนเข้าใจเรื่องนี้แล้ว เหมียวอี้ก็รู้สึกปลงนิดหน่อย ขนาดจินม่านเตรียมผลงานให้เขาก็ยังได้แค่ที่เก้าเลย จะเห็นได้ว่าการปล่อยกำลังพลแสนกว่าของตำหนักสวรรค์เข้ามาในนรกก็มีประสิทธิภาพเหมือนกัน กำลังพลของหกลัทธิก็เฝ้าจับตาดูทุกคนไม่ไหวเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่ายังให้โอกาสคนที่สู้ไม่คิดชีวิตได้ผลประโยชน์อยู่บ้าง

ตุ้ง! ตุ้ง! ตุ้ง!

หลังจากนั้นสามวัน เสียงกลองสะท้านฟ้าดังขึ้นสามครั้ง ทำให้เสียงจ้อกแจ้กจอแจในแอ่งกระทะเงียบลง ดึงดูดให้ทุกคนมองขึ้นไปบนหน้าผา

เกาก้วนกับเถิงเฟยยืนเคียงข้างกันอยู่บนบันไดและกำลังมองลงมาด้านล่าง

จุยหย่วนยืนอยู่ริมหน้าผา กวาดสายตามองกลุ่มคนรอบหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงดังว่า “รายงานคะแนนทดสอบต่อตำหนักสวรรค์ ราชันสวรรค์ถ่ายทอดคำสั่งลงมา มอบรางวัลตามผลงาน!”

มอบรางวัลตามผลงาน? เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ก็มีคนไม่น้อยที่คะแนนดีทำสายตาเฝ้าคอย ตื่นเต้นและประหม่าทันที

“หวังติ้งเฉา! รับรางวัลหน้าตำหนัก!”

เสียงของจุยหย่วนดังก้องอยู่ระหว่างฟ้าดิน ทุกคนที่อยู่ข้างล่างหันหน้ามองหาไปทั่วทันที เป็นเพราะคนคนนี้สงบเสงี่ยมเหมือนกับชื่อของตัวเองจริงๆ ตอนนี้มีคนมากมายยังไม่เคยเห็ฯ เหมียวอี้เองก็เป็นหนึ่งในนั้น

ผ่านไปไม่นาน สายตาของทุกคนก็ไปรวมอยู่ที่มุมตรงริมสุดของแอ่งกระทะ เงาคนคนหนึ่งเหาะขึ้นมาแล้ว

เป็นชายหนุ่มวัยกลางคนผมขาวที่มีวรยุทธ์บงกชทองขั้นแปด ผมยาวยุ่งเหยิงเล็กน้อย หนวดสั้นหร็อมแหรม แววตาเด็ดเดี่ยว ใบหน้าดูเข้มแข็ง ในแขนเสื้อข้างหนึ่งว่างเปล่า เหลือแขนอยู่ข้างเดียวเท่านั้น ดูค่อนข้างสะบักสะบอมมอมแมม เหาะขึ้นไปทำความเคารพบนหน้าผาแล้ว

ทุกคนในแอ่งกระทะเห็นแล้วตกตะลึงนิดหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นผู้ชายที่ขาดแขนไปข้างหนึ่ง

จุยหย่วนเองก็มองเขาอย่างประหลาดใจเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าแขนของอีกฝ่ายขาดไปเพราะได้รับบาดเจ็บ เขาเอียงหน้ากล่าวว่า “ตรวจสอบตัวตน”

มีคนก้าวขึ้นมาสั่งให้หวังติ้งเฉาลงตราอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบทันที หลังจากตรวจสอบแล้วว่าไม่ผิดพลาด ก็บอกว่า “พ่อบ้าน เป็นหวังติ้งเฉาไม่ผิดแน่ขอรับ”

จุยหย่วนหันตัวหลีกทางให้ แล้วยื่นมือเชิญ “รับรางวัลหน้าตำหนัก!”

มีคนก้าวขึ้นมานำทางให้หวังติ้งเฉาทันที พาขึ้นบันไดไปตลอดทาง พอยืนบนบันไดแล้วก็ทำความเคารพ “หวังติ้งเฉาคำนับทูตสวรรค์”

เกาก้วนจ้องแขนของเขาพร้อมถามว่า “แขนของเจ้าเป็นอะไรไป?”

หวังติ้งเฉาตอบเสียงเรียบว่า “ตอนที่กลับมาเพราะการทดสอบจบ มีคนสกัดขวางข้าน้อยไว้ ให้ข้าน้อยแบ่งคะแนนทดสอบให้ขอรับ นี่คือของที่ข้าน้อยแลกมาด้วยชีวิต ข้าน้อยไม่ยอม อีกฝ่ายจึงฝืนแย่ง ข้าน้อยรอดจากเหตุกาณ์ที่เลวร้าย เสียแขนไปหนึ่งข้าง โชคดีรอดชีวิตกลับมาได้ขอรับ”

โค่วเหวินชิงยืนอยู่ตรงตีนบันไดไม่ไกล พอได้ยินแบบนั้นก็เครียดทันที คนคนนี้คือคนในอาณาเขตของตระกูลโค่ว ตระกูลโค่วเองก็ไม่ต่างกับตระกูลผู้มีอำนาจอื่นๆ อยากจะช่วงชิงคะแนนดีๆ ให้คนของตัวเองเหมือนกัน หลังจากติดต่อกันแล้วพบว่าหวังติ้งเฉาคนนี้ยังรอดชีวิต ก็ให้เขานำคะแนนออกมาแบ่งปันกัน พร้อมให้สัญญาด้วยว่า หลังจากกลับมาแล้วจะไม่ปฏิบัติต่อเขาอย่างขาดความยุติธรรม แต่ใครจะคิดว่าหวังติ้งเฉามีความมั่นใจกับคะแนนทดสอบในครั้งนี้ของตัวเองมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ยอมรับการใช้ผลประโยชน์หลอกล่อจากเบื้องบน

โค่วเหวินชิงเองก็ได้รับแจ้งจากตระกูลว่าให้จับตาดูคนคนนี้ไว้ นางถึงได้รู้ แต่ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าหวังติ้งเฉาจะได้อันดับหนึ่งจากการทดสอบครั้งนี้ หลังจากส่งข่าวกลับไปแล้วก็ทำให้ตระกูลโค่วตกใจมาก จู่ๆ บนอาณาเขตตัวเองก็มีม้ามืดโผล่มาตัวหนึ่ง ตระกูลโค่วจึงสืบที่มาที่ไปทันที หลีกเลี่ยงไม่ให้เบื้องบนถามแล้วตอบไม่ได้ พอสืบแล้วถึงได้พบว่าหวังติ้งเฉาคนนี้เป็นพวกยอมหักไม่ยอมงอ มีความสามารถ แต่ดื้อรั้นหัวแข็ง ไม่เป็นที่โปรดปรานของผู้บังคับบัญชา จึงทำให้วรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองขั้นแปดแล้วแต่ยังเป็นได้เพียงเทพแห่งภูผา

แต่แขนของหวังติ้งเฉาไม่ได้ขาดเพราะคนของตระกูลโค่ว ไม่รู้เหมือนกันว่าขาดเพราะฝีมือใคร แต่โค่วเหวินชิงค่อนข้างกังวลว่าชายคนนี้จะเปิดโปงเรื่องที่ตระกูลโค่วเอาผลประโยชน์มากดดันหลอกล่อให้มอบคะแนนให้

โชคดีที่เกาก้วนไม่ได้ถามลึกมาก ถามเพียงว่า “ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมแขนที่ขาดยังไม่ฟื้นตัวอีก?”

หวังติ้งเฉาตอบว่า “จน! ไม่มีทรัพยากรจะฟื้นฟูตัวเองขอรับ!” ตรงไปตรงมาใช้ได้เลย

นักพรตบงกชทองขั้นแปดผู้สง่าผ่าเผยคนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะจนถึงขั้นขาดทรัพยากรฝึกตนในการฟื้นฟูแขนตัวเอง คำตอบนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่หน้าตำหนักชำเลืองมองทันที ราวกับเห็นสัตว์ประหลาด ขนาดเถิงเฟยจอมพลเถิงก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองเขาหลายครั้ง

…………………………