ตอนที่ 216-2 คลื่นยักษ์ในพิธียกน้ำชา

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

“ดูสิ เด็กคนนี้คิดมากยิ่งนัก เพียงแค่ความสะเพร่าของคนใช้เจ้าก็คิดเยอะเพียงนั้น หลังจากนี้ห้ามทำแบบนี้อีก” พระชายาจิ้นอ๋องสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครา เผยรอยยิ้มเอ็นดูให้เสิ่นเวย

 

 

เสิ่นเวยหยุดร้องไห้แล้วยิ้ม หน้าแดงกล่าวเสียงเบา “เป็นความผิดของลูกที่ขี้ขลาด เข้าใจเสด็จแม่ผิด เสด็จแม่ไม่รังเกียจลูกก็ดีแล้ว” นางแสดงท่าทางรู้สึกผิด

 

 

จิ้นอ๋องกลับหงุดหงิดแล้ว “พอแล้ว รีบยกน้ำชาเถอะ” ภรรยาของโย่วเอ๋อร์ขี้ขลาดเกินไปไม่อาจพาออกงานสังคมได้กระมัง หน้าตาดีแล้วจะมีประโยชน์อะไร แต่เขาก็ทำได้เพียงคิดเช่นนี้ หลังจากนั้นก็โยนทิ้งไป

 

 

“ท่านอ๋องพูดถูก ยกน้ำชา รีบยกน้ำชา” พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวคล้อยตาม

 

 

เบาะทรงกลมถูกแม่นมซือวางลงก่อนแล้ว ชาเองก็เปลี่ยนแก้วแล้ว เสิ่นเวยคุกเข่าลงบนเบาะ มือทั้งคู่ส่งแก้วชาออกไปด้วยความเคารพ “เสด็จแม่เชิญดื่มชา”

 

 

“เด็กดี” พระชายาจิ้นอ๋องรับแก้วชามาด้วยความดีใจ เปิดฝาออกแล้วดื่มหลายอึกจึงวางลงบนโต๊ะ กล่าวด้วยท่าทางอ่อนโยน “หลังจากนี้ก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว โย่วเอ๋อร์อารมณ์ค่อนข้างร้อน เจ้าก็ให้อภัยเขาหน่อย พวกเจ้าสองคนรักใคร่ปรองดองกัน ข้ากับพ่อก็วางใจแล้ว ขาดเหลืออะไร หรือมีอะไรไม่เข้าใจก็มาขอแม่ แม่จะช่วยเหลือเจ้าเอง”

 

 

นางมอบผ้าคลุมหน้าหนึ่งชุดให้เสิ่นเวย เลี่ยมอัญมณีสีฟ้า ข้างบนยังมีขนนกยูงหนึ่งกระจุกเล็กอยู่ด้วย มองดูก็รู้ว่ามูลค่าไม่ธรรมดา

 

 

“ขอบคุณเสด็จแม่เจ้าค่ะ” เสิ่นเวยรับมาด้วยความเคารพแล้วส่งให้สาวใช้ข้างหลัง จากนั้นก็หยิบของขวัญแสดงความกตัญญูของนางมาจากมือหลีฮวา กล่าวอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย “เสด็จแม่เป็นถึงชินพระชายา มีของดีๆ อะไรบ้างที่ไม่เคยเห็น ลูกเป็นคนโง่ คิดไม่ออกว่าควรแสดงความกตัญญูต่อเสด็จแม่อย่างไรดี จึงทำรองเท้าหนึ่งคู่ด้วยตัวเอง แม้ว่าจะไม่ดีนัก แต่ก็เป็นเจตนาอันดีของลูก”

 

 

นี่คือรองเท้าปักลายด้ายทองพื้นเขียวหนึ่งคู่ บนหน้ารองเท้าประดับไข่มุกเม็ดใหญ่ ฝีมือไม่ถึงกับดีมาก แต่ก็ไม่นับว่าแย่ รอยเย็บกลับละเอียดถี่ พระชายาจิ้นอ๋องถือดูอยู่ในมือ กล่าวชม “ภรรยาโย่วเอ๋อร์มีน้ำใจ แม่ดีใจยิ่งนัก”

 

 

เสิ่นเวยพูดในใจ เจ้าดีใจบ้าอะไร มุมปากเบ้ลงเรียกดีใจหรือ แต่เจ้าไม่ดีใจก็ถูกแล้ว ข้าดีใจ รองเท้าหนึ่งคู่แลกกับผ้าคลุมหน้าราคาสูง คุ้มค่า

 

 

“เสด็จแม่ไม่รังเกียจก็พอแล้ว” บนใบหน้าของเสิ่นเวยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

 

 

ต่อมาก็ถึงตายกน้ำชาให้จิ้นอ๋อง เสิ่นเวยคุกเข่าลงสองข้าง มือทั้งคู่ยกแก้วจรดศีรษะ “ลูกยกน้ำชาแด่เสด็จพ่อ”

 

 

จิ้นอ๋องรับชามาจิบหนึ่งคราจากนั้นก็วางลง หยิบซองแดงหนึ่งซองที่ยังอยู่บนถาด พูดหนึ่งประโยคอย่างเรียบเฉย “ชักจูงโย่วเอ๋อร์ดีๆ ใช้ชีวิตให้ดี”

 

 

“เพคะ ลูกจะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของเสด็จพ่อ” ของขวัญแสดงความกตัญญูของเสิ่นเวยยังคงเป็นรองเท้าหนึ่งคู่ เพียงแต่สีต่างออกไปก็เท่านั้นเอง จิ้นอ๋องก็ไม่ได้สนใจ บอกเป็นนัยให้บ่าวรับใช้ข้างหลังเก็บไป

 

 

พิธีมอบของขวัญพบหน้าต่อไปไม่จำเป็นต้องให้เสิ่นเวยคุกเข่าแล้ว เพราะว่าต่างก็อายุน้อยกว่าสวีโย่ว

 

 

เดิมพิธียกน้ำชามอบของขวัญพบหน้าในวันแรกของการแต่งงานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ผู้อาวุโสจำนวนมากในวงศ์ตระกูลควรอยู่กันทั้งหมด แต่จวนจิ้นอ๋องเป็นราชนิกุล ญาติในวงศ์ตระกูลมีเยอะเกินไป หากมากันทั้งหมด ในห้องโถงก็คงจะนั่งไม่พอ จึงถือโอกาสไม่เชิญเสีย อย่างไรเสียภายหลังก็มีโอกาสได้พบหน้า

 

 

“นี่คือน้องสะใภ้รองและน้องสะใภ้สาม” สวีโย่วพาเสิ่นเวยลุกขึ้นยืนอยู่ข้างหน้าสวีเยี่ยสองสามีภรรยาแล้วกล่าวแนะนำ

 

 

สวี่เยี่ยกับอู๋ซื่อทำความเคารพสวีโย่วกับเสิ่นเวยก่อน “คารวะพี่ใหญ่พี่สะใภ้” อู๋ซื่อมองประเมินเสิ่นเวย แอบถอดทอนใจในใจที่พี่สามีโชคดีได้ภรรยางาม หน้าตาของพี่สะใภ้ใหญ่ผู้นี้ดีจริงๆ

 

 

เสิ่นเวยคารวะกลับ มอบของขวัญที่เตรียมมา ปิ่นระย้าพันด้ายทองหนึ่งอันกับจี้หยกสลักลายมงคลหนึ่งชิ้น อู๋ซื่อรับของขวัญแล้วกล่าวขอบคุณ แววตากะพริบวาบ แต่กลับไม่ได้พูดอะไรต่อ

 

 

ของขวัญที่มอบให้สวีเหยียนและหูซื่อก็เป็นปิ่นระย้าและจี้หยกเช่นกัน เพียงแค่แตกต่างกันที่ลวดลายก็เท่านั้นเอง แววตาหูซื่อมีความผิดหวังแวบผ่าน สินเดิมของคนผู้นี้นางเห็นมาแล้ว แต่ของขวัญพบหน้ากลับนับได้ว่าธรรมดา ดูท่าแล้วจะเป็นคนตระหนี่

 

 

ของขวัญที่มอบให้คุณชายสี่สวีฉั่งกลับเป็นดาบหนึ่งเล่ม ก่อนหน้านี้เสิ่นเวยทำการบ้านมา คุณชายสี่ผู้นี้เป็นคนชอบเที่ยวเล่น กินดื่มเล่นพนันจนเชี่ยวชาญ ในด้านศิลปะการต่อสู้ก็หละหลวมอย่างยิ่ง แต่กลับมีงานอดิเรก นั่นก็คือชอบดาบ เก็บสะสมส่วนตัวไว้ไม่น้อย

 

 

บังเอิญว่าเสิ่นเวยก็มีดาบเยอะ ในคลังวางดาบอยู่เกือบร้อยเล่ม ทั้งหมดเป็นดาบที่พวกจางสยงมอบให้ด้วยความกตัญญู เสิ่นเวยก็เลือกเล่มที่งามประณีตและนับว่าแหลมคมมาหนึ่งเล่มส่งเป็นของขวัญให้สวี่ฉั่ง

 

 

“ดาบดี” สวีฉั่งชักตัวดาบออกมาทันที ในแววตามีความดีใจ กล่าวชมเสียงดัง “น้องขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ยิ่งนัก” ความประทับใจที่เขามีต่อเสิ่นเวยก็ดีขึ้นมา พี่สะใภ้ใหญ่ผู้นี้ไม่เพียงแต่หน้าดี อีกทั้งยังรู้เรื่องรู้ราว เพียงแค่ขี้ขลาด อืม สตรีก็เป็นเช่นนั้นกันหมดมิใช่หรือ กลับไม่นับว่าเป็นจุดอ่อนอะไรนัก

 

 

เสิ่นเวยเม้มปากยิ้ม “น้องชอบก็ดีแล้ว”

 

 

สวีฉั่งรู้สึกเพียงเบื้องหน้ามีดอกไม้งามพัดพลิ้ว ดวงตามองจนตะลึงงัน ยังคงเป็นสวีโย่วที่แค่นเสียงเย็นชาหนึ่งครา เขาจึงได้สติกลับมา เขามีความกล้ามาก ยังล้อพี่ใหญ่ของเขาเล่นหลายประโยค “พี่สะใภ้ใหญ่ดูก็รู้ว่าเป็นคนอ่อนโยนอ่อนหวาน พี่ใหญ่โชคดีได้ภรรยางาม น้องอิจฉาแล้ว”

 

 

สุดท้ายก็เป็นบุตรชายบุตรสาวอนุภรรยาหนึ่งคู่ในจวนจิ้นอ๋อง บุตรชายอนุภรรยาชื่อสวีสิง อายุเท่ากับคุณชายสี่สวีฉั่ง แต่เด็กกว่าเขาสามเดือน ถูกคนเจาะหาโอกาสตอนที่พระชายาจิ้นอ๋องตั้งครรภ์สวีฉั่ง กว่านางจะรู้ครรภ์ของอี๋เหนียงผู้นั้นก็ใหญ่แล้ว พระชายาจิ้นอ๋องเคียดแค้นยิ่งนัก เพื่อที่จะสั่งสมบุญให้ลูกในครรภ์ นางอดทนแล้วอดทนอีกจึงห้ามตัวเองไม่ให้ลงมือได้ ปล่อยให้สวีสิงเกิดมา แต่แค่คิดก็รู้แล้วว่าสวีสิงมีชีวิตเช่นไรในจวน

 

 

บุตรสาวอนุภรรยาชื่อสวีเจียนจยา มีมารดาเดียวกับสวีสิง จะว่าไปจางอี๋เหนียงที่คลอดสวีสิงกับสวีเจียนจยาก็เป็นผู้มีความสามารถจริงๆ คาดไม่ถึงว่านางสามารถคลอดบุตรชายบุตรสาวหนึ่งคู่ออกมาภายใต้การป้องกันอย่างสุดชีวิตของพระชายาจิ้นอ๋อง แม้จะไม่ได้รับความโปรดปราน แต่กลับล้มลุกคุกคลานเลี้ยงมาจนโตได้อย่างปลอดภัย

 

 

เดิมจางอี๋เหนียงคิดจะอาศัยบารมีลูกชายเลื่อนขั้นเป็นเช่อเฟย (ชายารอง) แต่พระชายาจิ้นอ๋องเกลียดนาง จะให้นางสมปรารถนาได้อย่างไร ดังนั้นจนกระทั่งตอนนี้นางก็ยังเป็นเพียงอี๋เหนียงเล็กๆ อยู่ อย่าว่าแต่เช่อเฟยเลย แม้แต่ฮูหยินนางยังเป็นไม่ได้

 

 

เสิ่นเวยรู้เรื่องเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นอาจารย์ซูผู้มีความสามารถสารพัดอย่างของนางเป็นคนบอกนาง บางครั้งเสิ่นเวยก็สงสัยจริงๆ อาจารย์ซูของนางเป็นบุคคลที่มีคุณธรรมสูงส่งเพียงนั้น เหตุใดถึงชอบนินทาเรื่องผิดๆ ถูกๆ ในเรือนหลังของคนอื่นเช่นนั้นเล่า

 

 

ของขวัญที่เสิ่นเวยมอบให้สวีสิงคือสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ[1]หนึ่งชุด ของไม่นับว่าดีแต่ก็ไม่แย่ ของขวัญที่มอบให้สวีเจียนจยาคือกำไลหินปะการังหนึ่งคู่ ทั้งสองคนกล่าวขอบคุณด้วยความเกรงใจ

 

 

ถึงตอนนี้พิธีมอบของขวัญพบหน้าของเสิ่นเวยก็จบสิ้นลงแล้ว จิ้นอ๋องเดินนำหน้าออกไป ต่อมาท่านซื่อจื่อ คุณชายสาม คุณชายสี่และคุณชายห้าก็หาข้ออ้างออกไปเช่นกัน ภายในห้องเหลือเพียงสตรีและสวีโย่วผู้หนึ่ง

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องยิ้มกล่าว “ให้นายท่านทั้งหลายไปทำงานเถิด พวกเราสตรีก็มานั่งสนทนากัน”

 

 

สวีโย่วได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เคร่งขรึม แค่นเสียงหนักๆ หนึ่งครา ร่างของเสิ่นเวยก็สั่นน้อยๆ ทันที หันหน้ากลับไปกล่าวกับพระชายาจิ้นอ๋องด้วยความลำบากใจ “เสด็จแม่ พรุ่งนี้ลูกค่อนมาสนทนากับท่านได้หรือไม่ ในเรือนยังมีงานอยู่อีกกองมิใช่หรือ ตอนบ่ายลูกยังต้องเข้าวังไปน้อมสำนึกพระมหากรุณาธิคุณอีกด้วย”

 

 

ดวงตาของพระชายาจิ้นอ๋องกะพริบวาบเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ยิ้มกล่าว “ดูสิแม่ลืมไป เจ้าเพิ่งจะมาถึง มีเรื่องมากมายให้ต้องจัดการมิใช่หรือ คนรับใช้พอหรือไม่ หากไม่พอ แม่ให้เจ้าเพิ่มสองคน หวาฉังหวาลู่ ต่อจากนี้เจ้าทั้งสองไปรับใช้คุณชายใหญ่ฮูหยินใหญ่”

 

 

“เพคะ” สาวใช้โฉมหน้างดงามทั้งสองขานรับเดินออกมา

 

 

ไอหยา พระชายาจิ้นอ๋องฉวยโอกาสเก่งจริงๆ เพิ่งจะวันแรกก็ยัดคนเข้ามาข้างกายนางแล้ว

 

 

“ลูกขอบคุณในความเห็นใจของเสด็จแม่ คนข้างกายของเสด็จแม่ล้วนดีอย่างยิ่ง แม่นางสองคนนี้ดูก็รู้แล้วว่ามีความสามารถ เพียงแต่ เพียงแต่…” เสิ่นเวยละสายตาลอบมองสีหน้าของสวีโย่ว ไม่กล้าพูดต่อ เจตนานั้นชัดเจนอย่างยิ่ง ‘เสด็จแม่คนที่ท่านมอบให้ดีอย่างยิ่ง ลูกเองก็ยินดีจะรับไว้ เพียงแต่ลูกเป็นคนตัดสินใจไม่ได้ ทั้งหมดต้องดูความคิดเห็นของสามี’

 

 

สวีโย่วขมวดคิ้วมุ่น “เจตนาดีของเสด็จแม่ลูกต้องขอปฏิเสธ ลูกไม่ขาดแคลนคนใช้ สองคนนี้เสด็จแม่เก็บไว้เองดีกว่า” เขาชายตามองหวาฉังกับหวาลู่ปราดหนึ่ง ความรังเกียจบนใบหน้านั้นชัดเจนอย่างยิ่ง “ตัวเปื้อนอะไรมา เหม็นจะตายชัก สวมเสื้อผ้าเช่นนี้จะทำงานเป็นหรือ เอาไว้ที่เรือนเสด็จแม่ดีกว่า อย่าได้ทำให้ภรรยาของลูกเสียคนเลย”

 

 

หวาฉังกับหวาลู่ที่ถูกเรียกชื่อวิจารณ์เช่นนี้ต่างก็มีสีหน้าอับอายอย่างยิ่ง นางทั้งสองหน้าตาดี ย่อมมีความทะนงตนสูง วันนี้ถูกคนรังเกียจเช่นนี้ อยากจะแทรกแผ่นดินหนีเสียยิ่งนัก

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องโมโหจนแทบจะเป็นลมแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าก็จางลงสามส่วน “ในเมื่อโย่วเอ๋อร์ไม่รับน้ำใจ เช่นนั้นก็คิดเสียว่าแม่คิดไปเองแล้วกัน”

 

 

เสิ่นเวยเห็นพระชายาจิ้นอ๋องโกรธ ก็หวาดกลัวขึ้นมา อ้ำอึ้งขอความเมตตา “เสด็จแม่ ท่านพี่พูดไม่เก่ง อันที่จริงในใจไม่ได้ตำหนิที่ท่านก้าวก่ายเกินไป ท่านอย่าโกรธ ลูกขออภัย” นางก้มหน้า ท่าทางลำบากใจอย่างถึงที่สุด

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องสูดหายใจหนึ่งครา กล่าวอย่างจริงใจ “เด็กดีไม่ต้องกลัว แม่ไม่ได้โกรธ คนเป็นแม่ไหนเลยจะโกรธลูกตัวเองได้ ไปเถอะ ตามโย่วเอ๋อร์กลับไปพักผ่อน เมื่อวานก็ยุ่งมาทั้งวันแล้ว เหนื่อยแย่เลยใช่หรือไม่”

 

 

“เสด็จแม่” เสิ่นเวยซาบซึ้งอย่างถึงที่สุด น้ำตาสั่นคลออยู่ในเบ้า พระชายาจิ้นอ๋องเห็นแล้วก็สงสาร ตบมือของนางปลอบขวัญไม่หยุด

 

 

ทว่าสวีโย่วกลับหงุดหงิดแล้ว “ไปสิ เจ้าจะยืนบื้ออยู่ตรงนั้นทำไม” พูดจบก็ไม่รอเสิ่นเวย หันหน้าเดินออกไปข้างนอก

 

 

เสิ่นเวยกะพริบตา คารวะพระชายาจิ้นอ๋อง “ลูกขอตัวก่อน” จากนั้นก็ไล่ตามสวีโย่วไปด้วยความร้อนรน

 

 

 

 

 

 

[1] สี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ ได้แก่ กระดาษ หมึก พู่กันและแท่นฝนหมึก.