TB:บทที่ 155 เสี่ยวเฮย

 

หลังจากเขาแลกเปลี่ยน “สูตรกระบวนท่าอสูรทั้งหมื่น” แล้วเฉินหลงบอกลาโอเรียและออกจากระบบไป

ตอนที่เขาออกมาจากระบบก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว เฉินหลงจึงใส่ไข่ที่ได้มาลงแหวนอวกาศและไปพักผ่อน

วันต่อมาเฉินหลงฝึกการใช้ “สูตรกระบวนท่าอสูรทั้งหมื่น” ทันที “สูตรกระบวนท่าอสูรทั้งหมื่น”นี้แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นส่วนของการหล่อเลี้ยงด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณ อีกส่วนคือวิธีการควบคุมอสูร เช่นมนต์ผูกวิญญาณ

อย่างไรเสียด้วยพลังที่เฉินหลงมีเขาผ่านการหล่อเลี้ยงด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณไปได้ทันที

การที่จะสร้างมนต์เพื่อผนึกตัววิญญาณจะมีคาถาสำหรับร่ายเวทมนต์เพื่อสะกดวิญญาณที่จะร่ายลงไปบนวิญญาณของอสูรเพื่ออสูรจะฟังคำสั่งของผู้ใช้ได้

เมื่อเขาเรียนรู้การร่ายคาถาแล้วเฉินหลงจึงเริ่มต้นร่ายมนต์นั้นกับไข่ของสัตว์เขี้ยว

หลังจากที่เขาเริ่มร่ายคาถา เฉินหลงได้รู้ในท้ายที่สุดว่าการร่ายคาถานั้นไม่เพียงแต่ต้องใช้พละกำลังแต่ยังจำต้องใช้ความจำอย่างมากอีกด้วย ด้วยความยาวของคาถาเฉินหลงต้องท่องจำมนต์ยาวเหยียดกว่าสองนาที

แน่นอนว่ายังมีคาถาที่ต้องอาศัยวิญญาณขั้นสูงใน“สูตรกระบวนท่าอสูรทั้งหมื่น”อยู่ แต่มีเพียงไม่กี่บทเท่านั้นที่ต้องเปลี่ยนพลังจิตของตนเป็นพลังวิญญาณที่จะผูกไว้กับมนต์ อีกทั้งในการรักษาให้คงไว้ยังใช้ได้เพียงพลังจิตวิญญาณเท่านั้น

ตอนที่คาถาที่ร่ายคาถาใส่ไข่ของสัตว์เขี้ยว เฉินหลงรู้ในเวลาต่อมาว่าคาถาที่เขาร่ายไปได้เปลี่ยนพลังจิตของเขาให้ผูกติดอยู่กับร่างของสิ่งมีชีวิตและค่อยๆประสานเข้ากับร่างนั้น

และหลังจากที่คาถาผสานกับร่างสิ่งมีชีวิตนั้นแล้ว เฉินหลงก็รู้ตัวว่าเขาเองได้เชื่อมต่อกับร่างนั้นด้วย เขาควบคุมร่างนั้นได้โดยเป็นความรู้สึกคล้ายกับเป็นมือและเท้าของเขาเอง

เฉินหลงเสียเสี้ยวสุดท้ายของพลังจิตวิญญาณของเขาไป แม้ว่าร่างมีชีวิตจะยังไม่มีความนึกคิดในตอนนั้น แต่เมื่อได้ผสานกับจิตวิญญาณเฉินหลงแล้ว เขาความรู้สึกผูกผันตามสัญชาตญาณที่ส่งออกมาทำให้เขารู้สึกราวกับเป็นความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูก

และเมื่อคาถาประสานเข้ากับร่างมีชีวิตแล้ว ช่วงเวลาการฟักของเดรัจฉานระดับต่ำคือสิบกว่าวัน ระดับกลางคือยี่สิบกว่าวัน และระดับสูงคือสามสิบกว่าวัน

แล้วจากนั้นเฉินหลงมัดไข่ของสัตว์เขี้ยวไว้ด้วยเชือกโยงเส้นเล็กและถือไปกับเขา

เพราะในตอนนี้ที่ไข่ได้เริ่มใช้งานแล้วจะถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิต ที่ไม่สามารถใส่ในแหวนอวกาศได้

เฉินหลงพักอยู่ในเมืองเป็นเวลาหลายสิบวันเพื่อรอให้ไข่ของ “สัตว์เขี้ยว” ฟักออกมา

เขาไม่รู้ว่าสัตว์ที่ฟักออกมาจะเป็นตัวอะไร สิบวันต่อมาสัตว์เขี้ยวกระเทาะเปลือกของไข่ขนาดเท่าลูกบาสเกตบอลออกมา ราวกับเป็นสัตว์เนซ่าในตำนานที่เติบใหญ่แบบทันควัน เพราะเพียงไม่กี่วินาที สัตว์เขี้ยวที่เพิ่งฟักก็มีขนาดเท่ากับสุนัขโดเบอร์แมนที่โตเต็มที่

เฉินหลงรู้ว่าสัตว์เขี้ยวที่โตแล้วจะไม่มีขนาดใหญ่ไปมากกว่านี้แม้จะยังโตเป็นตัวเต็มวัยได้อีก อย่างไรก็ตามพลังของมันจะค่อยๆเพิ่มขึ้นมาตามเวลา

ความคิดเป็นสิ่งเดียวที่เฉินหลงต้องใช้ในการควบคุมมัน

และจากการควบคุมของเฉินหลง สุนัขอสูร ที่มีพลังในระดับที่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งนั้นก็เปรียบเสมือนสุนัขดีๆนี่เอง มันกระโดดไปมา กลิ้งไปบนพื้น และยื่นมือให้เฉินหลงอยู่พักใหญ่ และในหลายๆสถานการณ์ก็มีคำสั่งอื่นๆอีกมากมาย

“ถ้าเชื่อฟังขนาดนี้ ฉันจะตั้งชื่อให้แกว่าเสี่ยวเฮย” เฉินหลงว่าและมองสุนัขอสูรที่รูปร่างคล้ายสุนัขตัวหนึ่ง

เมื่อได้ยินว่าเจ้านายได้ตั้งชื่อให้มันแล้วสัตว์เขี้ยวมีความสุขเป็นอย่างมาก มันวิ่งวนรอบเฉินหลงพร้อมกับหางสั้นๆนั้นที่กระดิกไม่หยุดเลย เฉินหลงยังไม่รู้ว่าเสี่ยวเฮยกินอะไร แต่ตราบใดที่เจ้านายตั้งชื่อให้แล้วมันก็มีความสุขดี

“ฉันมีอันนี้นะ กินไหม” เฉินหลงว่า เขาหยิบ “หินแห่งแสง” ออกมา

เมื่อเสี่ยวเฮยเห็นหินแห่งแสง มันรู้ว่าเป็นของดีได้ด้วยสัญชาตญาณ เป็นของดีที่ดีกับตัวมันเสียด้วย แต่ของชิ้นนั้นอยู่ในมือเฉินหลงมันจึงทำได้เพียงมองเฉินหลงอย่างกระตือรือร้น

“ถ้านายอยากได้ละก็ ฉันจะให้นาย” ว่าแล้วเฉินหลงโยนหินแห่งแสงในมือเขาออกไป

เสี่ยวเฮยกระโดดขึ้นทันทีและงับหินแห่งแสงไว้ในปาก

แล้วก็มันกลืนลงไปในทันใด

เมื่อกลืนลงไปแล้ว แสงสีขาวได้เปล่งออกมาและห่อหุ้มร่างของเสี่ยวเฮยไว้

ตอนแรกเฉินหลงคิดว่าการพัฒนาของเสี่ยวเฮยจะกินเวลามากเหมือนตอนกู่เฟ่ย แต่เขาไม่คาดคิดว่าการพัฒนาจะกินเวลาเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น

สิบนาทีต่อมา เสี่ยวเฮยรับแสงสีขาวเข้าไปทั้งหมด

และแม้จะรับพลังจากหินแห่งแสงไปหมดแล้วนั้น ร่างของเสี่ยวเฮยก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก

แต่ถึงกระนั้นเฉินหลงรู้สึกได้ว่ามีพลังงานที่น่าหวาดกลัวอยู่ในร่างกายเขา พลังงานนี้แข็งแกร่งเกินกว่าระดับปรมาจารย์ขั้นสูงและมากถึงระดับของขอบเขตพลังลมปราณที่ยิ่งใหญ่มากๆได้

“เกิดอะไรขึ้นกัน” เฉินหลงสับสนเล็กน้อย

หลังจากเขาครุ่นคิดชั่วครู่หนึ่ง เฉินหลงก็ยังคิดถึงสาเหตุไม่ออกอยู่ดี แต่เฉินหลงไม่กังวลแล้ว

อย่างไรเสียหากพลังของเสี่ยวเฮยทรงพลังเพียงไร ความปลอดภัยของครอบครัวเขาก็มากขึ้นเพียงนั้น

และแม้จะเป็นเช่นนั้นอีกครึ่งเดือนต่อมา เฉินหลงได้พัฒนา “สัตว์เขี้ยว” อีกและได้ค้นพบถึงสาเหตุนั้น

จากนั้นเฉินหลงได้กลับไปหาครอบครัวพร้อมด้วยเสี่ยวเฮย

ตอนแรกหากการพัฒนามีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นแม้เล็กน้อย เฉินหลงไม่มีทางเอามันกลับบ้านไปด้วย

“เสี่ยงหลง ทำไมเอาหมากลับมาด้วยละ” เมื่อเห็นเฉินหลงที่กลับมาพร้อมเสี่ยวเฮย สีหน้าของหลิ่วซิงหลานก็แสดงชัดถึงความหวาดกลัว

ความยาวตัวของเสี่ยวเฮยที่มากถึงแปดสิบเซนติเมตรและน้ำหนักถึงห้าสิบกิโลกรัม ทำให้ไม่ว่าใครได้เห็นหมาที่ดูดุร้ายนี้เป็นครั้งแรกจะต้องหวาดกลัวทุกครั้งไป

“แม่ไม่ต้องห่วงไปครับ นี่คือเสี่ยวเฮย มันเชื่อฟังมากๆ” เฉินหลงว่าพร้อมด้วยรอยยิ้ม เขาหันไปยิ้มให้เสี่ยวเฮย “เสี่ยวเฮย ตอนที่ฉันไม่อยู่บ้าน นายต้องเชื่อฟังพ่อแม่และน้องสาวฉันนะ แล้วก็ต้องปกป้องพวกเขาด้วย รู้ใช่ไหม”

หลิ่วซิงหลานเห็นเฉินหลงพูดกับหมาอย่างจริงจังเช่นนี้แล้ว เธอคิดว่าลูกเธอช่างน่ารักเหลือเกิน

แต่ถึงเช่นนั้นเมื่อเธอเห็นว่าเสี่ยวเฮยพยักหน้าอย่างตั้งใจแล้ว เธออึ้งไปพักหนึ่ง

“ไม่ต้องห่วงไปครับเจ้านาย ทุกอย่างที่เจ้านายว่าผมจะทำตามให้สำเร็จ” เสี่ยวเฮยมองเฉินหลงด้วยสายตาแน่วแน่

เฉินหลงเห็นสีหน้าดูตลกของแม่เขาแล้ว เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “แม่ครับ เสี่ยวเฮยนี่มีความเหนือจริงมาก เขาเข้าใจทุกอย่างที่แม่พูดเลยนะ ถ้าไม่เชื่อผม แม่ลองดูได้”

“เข้าใจฉันหรือ” หลิ่วซิงหลานมองสิ่งมีชีวิตจากอีกโลก เหมือนกับว่าความใคร่รู้จะเอาทำให้เธอลืมความหวาดกลัวไป

เฉินหลง พยักหน้า

หลิ่วซิงหลานมองสัตว์ที่น่าหวาดกลัวนั่น “มานี่สิ กลิ้ง”

สิ้นคำพูด หลิ่วซิงหลาน เสี่ยวเฮยก็ทำท่า “กลิ้ง” ให้ดูด้วย

การกลิ้งบนพื้นทันที

“เจ้านายบอกว่า ไม่ว่าพวกเขาจะสั่งอะไรก็ให้ทำตามอย่างเด็ดขาด”

“จริงๆด้วย” หลิ่วซิงหลานว่าอย่างตื่นเต้น “ยืนขึ้น”

เมื่อได้เห็นว่าเสี่ยวเฮยทำตามอย่างที่สั่ง หลิ่วเสี่ยวหลานก็เกิดความเอ็นดูขึ้นทันที

หลังจากเล่นกับเสี่ยวเฮยไปสักครู่หลิ่วซิงหลานก็ตกหลุมรักเสี่ยวเฮยที่ดูดุร้ายแต่กลับเชื่อฟังมากๆในทันที

แต่ถ้าหากหลิ่วซิงหลานรู้ว่าเสี่ยวเฮยกัดหินให้ทลายได้ เธอคงไม่นับว่าเสี่ยวเฮยเป็นสัตว์เลี้ยงที่แสนเชื่อฟัง

“เสี่ยงวหลง แล้วเสี่ยวเฮยกินอะไรน่ะ” หลิ่วซิงหลานจับหัวของเสี่ยวเฮยและหยอกล้อมันไปพร้อมกับถามคำถามนี้กับเฉินหลง

เฉินหลงคิดพักหนึ่งและกล่าว “เนื้อน่ะ”

ตอนนี้พลังของเสี่ยวเฮยไปถึงขั้นของพลังลมปราณแล้ว แม้มันไม่กินอะไรหลายๆวันก็ไม่หิวเลยแม้แต่น้อย แต่หากจะให้แม่เขาไม่สงสัยแล้ว เขาจึงบอกไปว่ากินเนื้อ เพราะอย่างไรเสี่ยวเฮยก็เป็นสัตว์กินเนื้อมาก่อน