ก่อนจะออกเดินทาง ซือหยูมุ่งหน้าไปที่เรือนไป่ชานเหลียง ไป่ชานเหลียงฟื้นฟูขึ้นมากในเวลาแค่ครึ่งวัน ปิงหวูชิงที่มาเยี่ยมก็อยู่ที่นี่ด้วย นางจ้องซือหยูที่เดินผ่านประตูเข้ามาและละสายตาไป
ไป่ชานเหลียงหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสอง
“สามีภรรยาไม่ทะเลาะกันานนักข้าไม่คิดเลยเรื่องล้อเล่นที่เคยได้ยินมาจะเป็นเรื่องจริง ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ด้วยกันแล้ว พวกเจ้าน่าจะขอบคุณที่ข้าเป็นพ่อสื่อให้นะ”
ปิงหวูชิงจ้องไป่ชานเหลียง
“ใครอยู่กับเขากัน?”
“หวูชิงเจ้าผิดเองนะ ข้าได้ยินจากคนที่มาเยี่ยมข้าแล้วว่าเจ้าประกาศเองว่าเขาเป็นคู่หมั้นเจ้า มาถึงขั้นนี้ยังไม่นับว่าเจ้าสองคนอยู่ด้วยกันอีกหรือ?” ไป่ชานเหลียงลูบมือเขาพูดด้วยรอยยิ้ม
เขามองซือหยูและปิงหวูชิง
“ข้าชอบช่วยเหลือผู้คนนะข้าคงไม่ขอสิ่งตอบแทน แต่ถ้าเจ้าอยากจะให้ของขวัญข้าเป็นแก้วสักล้านดวงหรือสักล้านคะแนน ถ้าก็จะรับไว้ด้วยความเต็มใจ ข้ายินดีกับทุกสิ่งที่พวกเจ้ายินดีจะให้ข้า”
ปิงหวูชิงหัวเระอย่างเย็นชา
“เจ้าอยากชิมกระบี่ข้าไหมล่ะ?”
ไป่ชานเหลียงยังคงใจเย็นและผ่อนคลายเขาหันไปมองซือหยูด้วยรอยยิ้ม
ซือหยูมองร่างของไป่ชานเหลียงที่ยังไม่หายดีเขาคิดก่อนจะเรียกหยดน้ำพุแห่งชีวิตออกมา
“ศิษย์พี่นี่อาจจะรักษาบาดแผลได้ เอาไปดูสิ”
ไป่ชานเหลียงตกใจเล็กน้อยเขาเพียงแค่พูดเล่นและไม่คิดว่าซือหยูจะให้อะไรกับเขาจริง เขาอยากจะปฏิเสธ แต่เขาก็ต้องทึ่งเมื่อเหลือบมอง
“น้ำพุแห่งชีวิตเรอะ?สิ่งที่มีแต่เผ่าไม้ที่จะสร้างได้เท่านั้นน่ะ?”
ฟึ่บ!
ซือหยูรู้สึกถึงลำแสงที่แล่นผ่านประเดี๋ยวเดียวจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่ในมือเขา มันเป็นความเร็วเทียบเท่าสายฟ้า
ซือหยุพูดไม่ออกกับความตื่นเต้นของไป่ชานเหลียงเขาตอบรับได้เร็วอยู่แล้ว แต่ไป่ชานเหลียงก็แย่งของในมือเขาไปได้อย่างง่ายดาย จะประมาทไป่ชานเหลียงไม่ได้เลย
ซือหยูถึงได้คิดว่าไม่มีใครเลยในเขาอสูรที่อ่อนแอกายาวิญญาณชาวกระบี่สวรรค์ของปิงหวูชิงแทบจะสังหารจ้าวเทวะระดับเก้าอย่างรองเจ้าดินแดนเสี่ยวได้ กงซุนหวูซื่อเองก็มีกำลังจากตระกูลและสมบัตินับไม่ถ้วนในครอบครอง นางยังมีหน้าไม้สวรรค์สร้างที่ใช้พลังได้รุนแรง ไป่ชานเหลียงมีพิษอยู่ทั่วร่าง เขารอดพ้นจากกระดูกโลหิตมาได้สำเร็จ นั่นแสดงถึงความสามารถที่หลบซ่อนอยู่ ซือหยูรู้ดีเพราะเขาแทบจะหนีไม่ได้เมื่อเจอกับอสูรเนรมิตรเมื่อหกเดือนก่อน
ไป่ชานเหลียงเก็บน้ำพุแห่งชีวิตไว้ในขวดหยกเขาตาเป็นประกายดั่งแก้ว รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เกิดขึ้นราวกับได้สมบัติล้ำค่ามาครอง
“หึหึยอดเยี่ยม สมบัติยอดเยี่ยม! ดูจากกลิ่น มันคือน้ำพุจากอสูรเนรมิตร!”
“คงน่าเสียดายหากใช้รักษาบาดแผลในการต่อสู้ หากได้หยดน้ำพุนี้ ต่อให้มีชีวิตเหลือเพียงลมหายใจเดียวก็ฟื้นกลับคืนได้ในครึ่งชั่วยาม!”
ไป่ชานเหลียงยังไม่คิดจะใช้มันรักษาตัวในตอนนี้
จากนั้นเขามองไปที่แหวนมิติบนนิ้วซือหยู ด้วยแววตาเฉียบคม เขากอดอกจากนั้นก็หน้าซีด เขาตัวสั่นไม่หยุด
“อ๊าาา!อ๊าาา! แผลข้าฉีกอีกแล้ว น้ำพุแห่งชีวิตหยดเดียวไม่พอแน่เลย”
การแสดงอันไร้ราคาของเขาทำให้ซือหยูและปิงหวูชิงหงุดหงิดไป่ชานเหลียงหน้าด้านขนาดนี้ได้ยังไงกัน?
ซือหยูหมดคำพูด
“เลิกแสดงสักที”
เขาคิดก่อนจะเรียกขวดหยดที่มีน้ำพุแห่งชีวิตยี่สิบหยดออกมาเขารินเจ็ดหยดออกมาและส่งที่เหลือให้ไป่ชานเหลียง
“แดนมณีเต็มไปด้วยอันตรายเก็บมันไว้รักษาตัว”
ซือหยูไม่อยากจะให้คนที่เขาคุ้นหน้าต้องตายในแดนมณี
เจ็ดหยดของน้ำพุแห่งชีวิตนี้ทำให้เขามีโอกาสรอดชีวิตเจ็ดครั้งมันจะใช้ได้หากเจอกับศัตรูที่มีพลังใกล้เคียงกับเขา แต่ถ้าหากเจอกับคนที่แข็งแกร่งมาก ไม่ว่าจะมีน้ำพุสักกี่หยดก็ไม่พอ
ไป่ชานเหลียงดีใจมากเขาจับมือซือหยูเขย่าอย่างกระตือรือร้น ในแววตาเต็มไปด้วยน้ำตา “ศิษย์น้องเจ้าเป็นครอบครัวข้า!”
“ไสหัวไป!”
ซือหยูไม่ชอบการแสดงเช่นนี้เขารู้สึกขยะแขยง
เขาเรียกอีกเจ็ดหยดออกมาใส่ขวดหยกและยื่นให้ปิงหวูชิง
“เจ้าเอาไปด้วยถือว่าชดใช้กับอุบัติเหตุครั้งนั้น”
ปิงหวูชิงตัวแข็งทื่อเล็กน้อยนางไม่คิดว่าซือหยูจะมอบมันกับนาง นางหันไปมองน้ำพุแห่งชีวิตและขบริมฝีปาก นางไม่อยากจะยอมรับของขวัญจากซือหยูง่าย ๆ เพราะมันจะดูเหมือนว่านางยอมแพ้
แต่ก็อย่างที่ซือหยูพูดแดนมณีนั้นเต็มไปด้วยอันตราย ไม่มียอดฝีมือคนใดที่กล้าพูดว่าจะมีชีวิตรอดกลับมา น้ำพุแห่งชีวิตอันล้ำค่าทั้งเจ็ดหยดนี้คือสมบัติช่วยชีวิตชั้นเยี่ยม แม้แต่เงินทองก็มิอาจแลกซื้อได้
และก็ยิ่งยากที่นางจะปฏิเสธเพราะซือหยูให้น้ำพุแห่งชีวิตกับกงซุนหวูซื่อไปหลายหยดจากครั้งที่แล้วแต่เขาไม่ได้ให้อะไรกับนางที่เป็นคู่หมั้นเลย นางจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไป นางจึงอ่อนไหวมากเมื่อเห็นน้ำพุแห่งชีวิตอีกครั้ง
ปิงหวูชิงลังเลความอ่อนโยนก่อเกิดในส่วนลึกของแววตา แต่สีหน้าของนางก็ยังคงเย็นชาดั่งเคย นางคว้าขวดหยกไปแต่ก็ยังไม่ยอมอ่อนข้อ
“ฮื่มครั้งนี้ข้าติดค้างเจ้า”
ความยินดีในแววตาสื่อถึงความอ่อนหวานในหัวใจนางพลิกขวดไปมาในมือก่อนจะเก็บมัน
ไป่ชานเหลียงมองดูทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
“หึหึหวูชิง หยูเซี่ยน พวกเจ้าจะต้องวิวาห์กันในอีกไม่นานแน่นอน”
“ไปลงนรกซะ!”
ซือหยูกับปิงหวูชิงตะโกนพร้อมกัน
“ทำไมถึงส่งเสียงดีใจกันนัก?” กงซุนหวูซื่อเดินเข้ามาพร้อมกับหาวนางมองซือหยูกับปิงหวูชิงเหมือนเด็กขี้สงสัย
ซือหยูถาม
“เจ้าพร้อมไปหรือยัง?”
“ข้าพร้อมมานานแล้วข้าพร้อมจะบอกลาร่างอมตะของข้าแล้วฟื้นคืนร่างสาวงดงามของข้ากลับมา!”
กงซุนหวูซื่อหัวเราะเบาๆ นางอยากจะได้ไม้เท้าเซียนมณีมาครอง
ซือหยูพยักหน้า novel-lucky
“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวออกเดินทางได้เจ้าเอาน้ำพุแห่งชีวิตนี่ไป”
กงซุนหวูซื่อไม่รู้ว่าทำไมนางถึงได้มันมาอีกนางเพียงแค่รับเอาไว้ด้วยความดีใจ
จากนั้นสายตานางก็เปลี่ยนไปนางพูดกับปิงหวูชิงอย่างจริงใจ
“พี่หวูชิงเอาของข้าไปบ้างสิ”
ปิงหวูชิงจ้องกงวุนหวูซื่อและสัมผัสได้ถึงความท้าทายนางแสยะยิ้ม
“เจ้าเก็บเอาไว้เยอะข้ามีของข้าแล้ว”
นางมั่นใจว่ากงซุนหวูซื่อมีความรู้สึกกับซือหยูและอยากจะให้นางหึงมันทำให้นางรำคาญใจมาก และตอนที่ซือหยูตามจีบกงซุนหวูซื่อในอดีตทำให้นางพูดว่าจะไม่มีทางยอมรับเขา และเมื่อนางประกาศว่าจะแต่งงานกับซือหยู กงซุนหวูซื่อก็ก้าวเข้ามาในสังเวียนอีกครั้ง นั่นทำให้นางหงุดหงิดมาก
กงซุนหวูซื่อตกใจเล็กน้อยนางเหลือบมองซือหยูขณะที่ยังยิ้มหวาน
“โอ้อย่างนั้นก็ดีแล้ว ไปแดนมณีกันเถอะ!”
กงซุนหวูซื่อที่กระอักกระอ่วนเดินไปที่ข้างซือหยูนางทำแก้มป่อง
นางเบิกตาโพลงเมื่อเห็นกล่องกระบี่ที่ซือหยูแบกบนหลัง
“เอ๋พี่หยูเซี่ยนใช้กระบี่ด้วยรึ? มันคือกระบี่อะไรกัน? มันสวยมากเลย” นางมองด้วยความโลภนางอยากจะให้ซือหยูมอบกระบี่ให้กับนาง
ปิงหวูชิงหันมองและจ้องกระบี่เงินสามเล่มนั้นเช่นกันนางขมวดคิ้วเบา ๆ
“ข้าก็อยากรู้เจ้ารู้วิธีใช้กระบี่ด้วยรึ?”
พวกเขารู้จักกันมานานแต่ก็ไม่มีใครเคยเห็นซือหยูใช้วิชากระบี่เลยสักครั้ง
ไป่ชานเหลียงหันมองเขาลูบคางและพูด
“กลิ่นอายกระบี่ถูกกล่องปกปิดไว้ระดับมิอาจระบุได้…”
“แต่ดูจากวัตถุดิบมันดูยอดเยี่ยมมาก สีเงินเหมือนกับโลหะและไม้ในเวลาเดียวกัน ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องวัตถุดิบนี้มาก่อนเลยจริง ๆ”
“ช่วงนี้ข้าเพิ่งจะสนใจเรื่องกระบี่ข้าแค่ลองเท่านั้น ทุกคนคิดมากไปแล้ว…”
ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
ทั้งสามยังคงสงสัยแต่ซือหยูก็ไม่เคยใช้กระบี่มาก่อนเลย ทั้งสามจึงไม่ถามต่อ ทั้งสี่มุ่งหน้าไปตำหนักในด้วยกันตลอดทาง พวกเขาได้พบยอดฝีมือหนุ่มสาวจากตำหนักนอกหลายคน แต่ทุกคนก็หลีกห่างเมื่อกลุ่มของซือหยูผ่านมา
เขาอสูรคือสถานที่อันยิ่งใหญ่แห่งตำหนักนอกหรือแม้แต่ตำหนักในเองอสูรทุกตนมีความพิเศษที่แตกต่างกัน ในสายตาคนนอก เขาอสูรแห่งตำหนักโลหิตนั้นมีชื่อเสียงเสียยิ่งกว่าศิษย์ตำหนักใน
พวกซือหยูมาถึงตำหนักในในไม่นาน
โถงหลักมีคนอยู่แน่นซือหยูเห็นคนราวพันคนที่นี่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เกือบทั้งหมดเป็นศิษย์ใน มีตั้งแต่ที่เป็นภูติระดับเก้าและจ้าวเทวะ
ด้วยการปิดประตูฝึกตนพวกเขาแทบจะไม่ปรากฏตัวออกมา และซือหยูก็มักจะไม่มาที่ตำหนักใน เขาจึงไม่รู้จักใครเลย แต่แน่นอนว่ามีอยู่หลายคนที่เขาคุ้นเคย
ในบรรดาคนมากมายนี้มีอยู่หยิบมือหนึ่งที่น่าสงสัยจะมีคนเว้นที่ว่างให้พวกเขาสามสิบศอกเสมอ พวกเขามีราวแปดคนทั้งบุรุษและสตรี
ซือหยูจำชายหนุ่มที่สวมชุดดำได้เขาคือคนที่หยุดซือหยูเมื่อวานและเตือนให้เขาไม่เข้าใกล้ปิงหวูชิงอีกคนอีก เขายืนอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้นด้วยพลังจ้าวเทวะระดับเจ็ดของเขา
หนุ่มสาวที่เหลือเองก็เป็นจ้าวเทวะระดับแปดขึ้นไป
ซือหยูสับสนเล็กน้อยทำไมกลุ่มจ้าวเทวะระดับแปดเจ็ดคนนี้ถึงอายุน้อยขนาดนี้? ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขาคือคนชั้นสูงในตำหนักใน เหล่าหนุ่มสาวที่แข็งแกร่วที่สุด
“หยูเซี่ยนมีบางคนที่เจ้าต้องรู้จัก พวกเขาคือสิบลำดับแรกแห่งตำหนักใน ถ้าเจ้าได้เจอปัญหาในแดนมณี พวกเขาอาจจะช่วยเจ้าได้”
ไป่ชานเหลียงพูดเขาใช้มือแหวกผู้คนตรงไปยังวงตรงกลาง ผู้คนโกรธเมื่อถูกแหวกทางแต่เมื่อเห็นว่าเป็นไปชานเหลียง แม้แต่พวกเขาที่เป็นศิษย์ในก็ชักสีหน้า พวกเขารีบถอยหลบราวกับเห็นผี
ความสะพรึงกลัวแผ่ขยายไปทั่วไม่นานทุกคนก็แหวกทางเป็นวงกว้าง เหล่าศิษย์ในตรงกลางเห็นความวุ่นวายจึงหันมามอง
พวกเขามองไป่ชานเหลียงและปิงหวูชิงครู่เดียวและเหลือบมองกงซุนหวูซื่อกับซือหยูพวกเขาจ้องซือหยูนานอีกสักครู่ด้วยความสับสน พวกเขาปิดประตูฝึกตนมาตลาดปีจึงไม่ได้ยินเรื่องการถือกำเนิดของอาจารย์ซือที่นามกระฉ่อนไปทั่วดินแดนพรสวรรค์
“ศิษย์พี่เป็นอย่างไรบ้าง?ข้าคิดถึงพวกท่านมากเลลยนะ”
ไป่ชานเหลียงหัวเราะเดินเข้าไปทักทาย
เหล่าสิบลำดับแรกแสดงความเคารพตอบกลับเช่นกันพวกเขาคุยกับไป่ชานเหลียงราวกับเป็นพวกตัวเอง หลังจากบรรยากาศอบอุ่นขึ้นไป่ชานเหลียงได้ดึงตัวซือหยูเข้ามาในกลุ่ม
“พวกท่านบ่มเพาะพลังมาทั้งปีคงจะยังไม่รู้จักเขาสินะ?”
พวกเขามองซือหยูหัวจรดเท้า…ภูติระดับเก้าฐานพลังระดับทั่วไป แต่สิ่งที่แปลกคือรูปลักษณ์ของเขาที่ดูแก่ชรา เขาคงจะอายุเจ็ดสิบหรือแปดสิบปีกระมัง?