บทที่ 1845 - ถ้าไม่มีข้าก็จะไม่มีลูกของเจ้า

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

AST
  บทที่1845 – ถ้าไม่มีข้าก็จะไม่มีลูกของเจ้า
  ชิงสุ่ยตกตะลึงเล็กน้อย”ทำไมเจ้าถึงพูดเช่นนี้?”
  ”แล้วทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าถึงพูดเช่นนี้ละ?”จักรพรรดินีผีดูดเลือดเป็นคนที่ตรงไปตรงมาซึ่งแตกต่างจากการกระทำครั้งล่าสุดของชิงสุ่ยที่เปลี่ยนแปลงไปตรงกันข้าม ราวกับทั้งสองคนกำลังสลับบทบาทกัน
  ”พวกเรานั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเจ้าไม่จำเป็นต้องมาที่นี่หรอก จักรพรรดินีผีดูดเลือดมีวิธีการใช้ชีวิตของตนเองเสมอ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบที่แห่งนี้ เจ้าคงอึดอัดใจอย่างยิ่งที่เข้ามาในที่แห่งนี้”เธอกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความน่าหลงใหล
  ชิงสุ่ยได้ยินคำพูดของเธอคำพูดที่ตอกย้ำความใจแคบของเขา ส่งผลให้เขานึกหวนกลับไปถึงตอนที่เขากล่าวคำขับไล่ไม่พอใจในสายเลือดของเธอ ก่อนที่เขาจะส่ายหน้าเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ต้อนรับข้าเลยสินะ”
  เธอมองดูใบหน้าอันข่มขืนของชิงสุ่ยจากนั้นก็เผยให้เห็นรอยยิ้ม “ที่จริงตัวข้านั้นยังคงมีจิตใจที่เปิดกว้าง และอยากจะกล่าวขอบคุณเจ้า ตัวของข้านั้นไม่เคยโกรธเจ้าเลย มันก็คงขึ้นอยู่กับความคิดของเจ้าแล้วล่ะ ว่าเจ้ายังรู้สึกโกรธอีกหรือไม่?”
  พูดคำแก้ตัวอะไรออกไปก็คงเป็นเรื่องที่สายเกินไปแก้ไข
  ”เนื่องจากมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นข้าจิตสำนึกและระลึกได้ว่าเจ้าคือผู้บริสุทธิ์ไม่ได้ผิดอะไรเลย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นสายเลือดของข้าก็อยู่ในตัวเจ้าแล้ว”ชิงสุ่ยไม่สามารถบอกให้เธอยกโทษให้กับความคิดที่ผิดพลาดของเขา แต่เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วการวิ่งหนีก็คงเป็นเพียงการกระทำของคนขี้ขลาด
  สิ่งที่เขามันเป็นการกล่าวโทษคนคนหนึ่งโดยที่เขาไม่ได้ทำดังนั้นชิงสุ่ยจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อลดความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทั้งหมด
  ”ถ้าหากข้าจะบอกเจ้ากับข้าเราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน และข้าไม่ต้องการให้เจ้าเข้ามาในที่แห่งนี้เจ้าจะทำอย่างไร?”จักรพรรดินีผีดูดเลือดจ้องมองเข้าไปในแววตาชิงสุ่ยเหมือนกับพยายามมองเข้าไปในหัวใจของเขา
  ชิงสุ่ยอยู่นี่เงียบเขาพยายามแสดงให้เห็นถึงความอดทน แต่ก็รู้สึกโศกเศร้าที่รู้ว่าผลลัพธ์จะต้องเป็นเช่นนี้
  เขาไม่เคยมีความคิดที่จะบังคับใครโดยเฉพาะการที่เขาเป็นคนทำให้เรื่องราวมาถึงจุดนี้เองเขาไม่อาบมองข้ามความมุ่งมั่นของเธอไปได้ และตัวของเขาเองก็รู้สึกสับสนไม่เข้าใจอะไรเลย
  ”ถ้าหากว่าเจ้าเกลียดชังข้าข้าจะพยายามไม่มาที่นี่ อย่างไรก็ตาม มันพอมีหนทางเป็นไปได้บ้างหรือไม่ที่ข้าจะได้พบเจอนางตัวน้อยในท้องของเจ้า?”ชิงสุ่ยพยายามเจรจาต่อรอง
  จักรพรรดินีผีดูดเลือดยิ้มอย่างมีความสุขขณะจ้องมองชิงสุ่ย”ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นคนบอกเองว่าเด็กในท้องว่าไม่ใช่ลูกของเจ้าอย่างนั้นหรอกหรือ?”
  ”ก็อย่างที่ข้าเคยพูดไปนางคือผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา และนางก็เป็นลูกสาวของข้าด้วยจึงไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอื่นใดสำคัญอีกแล้ว”
  ”แล้วตัวข้าละ?”จักรพรรดินีผีดูดเลือดกล่าวหยอกล้อชิงสุ่ยแน่นอนว่าชิงสุ่ยก็รู้ว่าเธอกำลังล้อเล่นกับเขา
  ”แล้วตัวเจ้า?”ชิงสุ่ยไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเธอต้องการคำตอบแบบใด
  เธอกล่าวตอบทันทีว่า”ในเมื่อลูกสาวของข้าเป็นลูกสาวของเจ้า แล้วข้าล่ะเป็นอะไรกับเจ้า?”
  ”เอ่อเจ้าอยากเป็นอะไรล่ะ”ชิงสุ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง  จักรพรรดินีผีดูดเลือดกระพริบตาแววตาของเธอทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งจนโงหัวแทบไม่ขึ้น “เจ้าก็ยังคงมีอคติต่อคนเผ่าผีดูดเลือดจริงๆ”
  ชิงสุ่ยส่ายหน้า”ข้าไม่ได้ลำเอียงเลยจริงๆ เพียงแค่ข้าไม่ยอมรับการกระทำที่ไปขโมยชีวิตผู้อื่นโดยจงใจก็เท่านั้น”
  ”ผู้ที่แข็งแกร่งคือผู้อยู่รอดนี่คือกฎและสัจธรรมของโลกใบนี้ เนื่องจากสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีสิทธิ์ที่จะเอาตัวรอด อาหารและเนื้อที่พวกเจ้ากิน ก็เป็นการสังหารสิ่งมีชีวิตอื่น นั่นก็หมายความว่าการกระทำของพวกเจ้าก็ไม่ได้ต่างอะไรจากพวกเราเลย”จักรพรรดินีผีดูดเลือดกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
  ตัวของจักรพรรดินีผีดูดเลือดก็มักจะดูดเลือดของสัตว์อสูรเป็นหลักส่วนผู้ที่กินเลือดแนวมนุษย์มีเพียงแค่หยิบมือ และน่าจะถูกการต่อต้านจากมนุษย์เป็นอย่างหนักจึงทำให้ก่อเกิดการกวาดล้าง แต่ผู้ที่ดื่มเลือดมนุษย์จะได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าถึงพลัง จึงทำให้กลุ่มของผู้ดูดเลือดมนุษย์ยังพอมีเหลืออยู่
  ชิงสุ่ยเข้าใจสัจธรรมที่เธอกลายเป็นอย่างดีชีวิตที่ผ่านมาของเขา เขาเองก็ได้เรียนรู้ศิลปะทำและตรรกะมากมายจากผู้คนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บางคนก็ยึดหลักคุณธรรม บางคนก็ยึดหลักอยุติธรรม แน่นอนว่าแต่ละคนย่อมมีสิทธิ์มีเสียงเป็นของตนเอง หากผู้ใดพลั้งพลาด โอกาสที่จะได้รับคืนบนโลกใบนี้แทบเป็นไปไม่ได้
  เพื่อให้ได้ประโยชน์กับตัวเองมากที่สุดผู้คนส่วนใหญ่จึงมักออกกฎเกณฑ์ที่ใช้กดขี่ผู้อื่นโดยเลือกประโยชน์ให้กับตนเองด้วยกันทั้งนั้น
  เขาจึงไม่กล้าวิจารณ์จักรพรรดินีผีดูดเลือดกลับเพราะรู้ดีว่ามนุษย์ทุกคนต้องสังหารสัตว์ป่าฆ่าสัตว์อสูรเพื่อกินเลือดกินเนื้อเป็นพื้นฐานของชีวิต และสำหรับชนเผ่าผีดูดเลือดก็ดื่มเลือดเพื่อประทังชีวิตไม่ต่างจากสิ่งที่มนุษย์กระทำ
  ที่สำคัญมนุษย์ที่กินเนื้อสัตว์คงไม่มีทางเกิดอารมณ์โกรธแค้นในเผ่าพันธุ์เดียวกันหากไม่มีเหตุและแรงจูงใจมากพอแต่สำหรับสิ่งมีชีวิตอื่นๆจะกินเลือดกินเนื้อมนุษย์ แน่นอนว่ามนุษย์จะต้องรู้สึกโกรธแค้นทันทีต่อให้ไม่ได้กินเลือดเนื้อของญาติมิตรของตนเอง
  ”ข้าเชื่อว่าพวกเราจะไม่พูดนอกเรื่องมากไปกว่านี้ข้ามาที่นี่เพื่อรอเจอลูกสาวของข้า”ชิงสุ่ยตอบกลับคำถามโดยไม่เต็มใจมากนัก
  ประโยคเดียวสร้างความตกตะลึงให้กับจักรพรรดินีผีดูดเลือดอย่างมากใบหน้าของนางค่อยๆถูกเติมเต็มไปด้วยอารมณ์ และเธอเองก็อยากจะหัวเราะเยาะเย้ย มันเป็นอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความสุขและสนุกสนาน “แต่เด็กคนนี้ก็เป็นลูกสาวของข้าด้วย”
  ”แต่ถ้าหากไม่มีข้าเจ้าก็จะไม่สามารถให้กำเนิดเด็กสาวคนนี้ได้”ชิงสุ่ยโต้ตอบกลับ
  ”ทำไมทำไมเจ้าถึงเป็นคนเช่นนี้………”จักรพรรดินีผีดูดเลือดรู้สึกโมโหและอับอายขณะที่เธอกล่าว
  ชิงสุ่ยไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับคำพูดที่เขากล่าวไปยิ่งเปิดใจ เขาก็ยิ่งมองเห็นเสน่ห์ในตัวของเธอ แม้ว่าเธอจะกัดริมฝีปากแสดงท่าทางโกรธ
  ”ไหนๆเจ้าก็ใกล้จะให้กำเนิดบุตรธิดาแล้วซึ่งเวลาก็คงอีกไม่เกินครึ่งเดือน ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะอยู่ที่นี่อีกสักพัก”ชิงสุ่ยกล่าว
  จากนั้นเขาก็มองไปรอบๆพร้อมสังเกตเห็นกระท่อมไม้บนต้นไม้ใหญ่”ที่ตรงนั้นว่างเปล่าอยู่ใช่หรือไม่ ถ้าหากข้าพักอยู่ที่นี่ก็คงดีเพราะจะได้อยู่ใกล้ชิดกับเจ้า”
  ”ไม่เขาให้เจ้าอยู่ที่นี้ไม่ได้ ผู้ชายจะไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในอาณาเขตแห่งนี้ ถ้าเจ้าต้องการอยู่ที่นี่ ก็ต้องออกไปข้างนอกและสร้างที่พักเอาเอง”จักรพรรดินีผีดูดเลือดกล่าวตอบกลับอย่างช่วยไม่ได้
  ชิงสุ่ยรับรู้ได้ว่าอีกไม่นานลูกของเขาก็จะให้กำเนิดและสถานที่แห่งนั้นก็เป็นสถานที่ว่าง หากเขาได้เตรียมการ โอกาสที่เด็กจะเกิดมาผิดพลาดก็จะไม่มี
  ”แต่ว่าข้าเป็นหมอหมอสวรรค์ หากไม่มีหมออยู่รอบๆใจเจ้า ข้าเกรงว่า………….”
  ”ตายซะเถอะ”
  ชิงสุ่ยไม่เข้าใจว่าเหตุใดหญิงสาวผู้นี้ถึงได้มีอารมณ์ผันแปรมากมายนักสุดท้ายเขาก็คงต้องย้ายตัวเองไปอยู่รอบนอกหุบเขาสีเพลิงแห่งนี้จริงๆ