บทที่ 642 ความจริง

บัลลังก์พญาหงส์

หลังจากฟังความเห็นจากถาวจวินหลันแล้ว หลี่เย่ก็ยิ้มๆ มองถาวจวินหลัน และพูดขึ้นว่า “ที่บอกว่า เมื่อใจสื่อถึงกัน ทำการใดก็สอดคล้องกัน คิดว่าคงเป็นเช่นนี้” 

 

 

ถาวจวินหลันพูดด้วยท่าทางยินดี “ท่านก็คิดเช่นนี้หรือเพคะ” 

 

 

หลี่เย่พยักหน้า พูดว่า “แต่ข้าคิดว่าไม่เพียงแค่ข่มขู่เท่านั้น พวกเราก็สืบพบเบาะแสของเจ้าเก้าบ้างแล้ว บางทีอาจจะพากลับมาเองได้ แต่ก็ไปลองเชิงฮองเฮาดูก่อนได้ แต่ครั้งนี้จำต้องถอนรากถอนโคนตระกูลหวังให้สิ้นเสียที” 

 

 

“ท่านคิดจะใช้เรื่องอะไรมาถอนรากถอนโคนตระกูลหวังเพคะ” ถาวจวินหลันอดถามอย่างแปลกใจไม่ได้ “แม้ว่าหลายปีมานี้ตระกูลหวังจะทำเรื่องสกปรกเอาไว้มาก แต่ก็มีหลักฐานไม่เยอะ หากคิดจะกำจัดตระกูลหวังภายในครั้งเดียว เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายเพคะ อีกทั้ง…คนตระกูลหวังยังตามอู่อ๋องไปออกรบด้วย หากลงมือกับตระกูลหวังตอนนี้…”  เห็นชัดว่าไม่ง่ายขนาดนั้น  

 

 

“ยังต้องกลัวอะไรอีก?” หลี่เย่ยิ้มน้อยๆ ท่าทางมั่นใจเต็มเปี่ยม ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อย ทำให้สีหน้าของเขาดูอบอุ่นมากกว่าเดิม “ยิ่งลงมือกับตระกูลหวังมากเพียงใด อีกฝ่ายก็ต้องพยายามมากขึ้น หลายปีมานี้ตระกูลหวังไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ต้นไม้ใหญ่แตกกิ่ง นี่ถือเป็นเรื่องยากหลีกเลี่ยง” 

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งมองหลี่เย่ “หรือท่านจะบอกว่า…” 

 

 

“มีบางเรื่องที่พวกเรารู้ดีอยู่แก่ใจ ระวังกำแพงมีหู ประตูมีช่อง” หลี่เย่ยิ้มอ่อนโยนพลางจิบชา พร้อมกับส่งสายตาเย้าหยอกให้นาง คล้ายกำลังหยอกล้อถาวจวินหลันเล่นอยู่อย่างนั้น 

 

 

ถาวจวินหลันกลืนคำพูดครึ่งหลังลงไป ฉับพลันก็รู้สึกมั่นใจ หลี่เย่ต้องซื้อตระกูลหวังบางส่วนแล้วแน่ นี่ทำให้นางแปลกใจ เพราะอย่างไรนางก็คิดว่าหลี่เย่แค้นฝังลึกกับตระกูลหวังเช่นนั้น จนมาถึงขั้นที่เรื่องไม่จบก็จะไม่ยอมแพ้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่า…สุดท้ายควรจะพูดว่าหลี่เย่ใจกว้างมีน้ำใจ หรือเขาให้ความสำคัญกับภาพรวม ถาวจวินหลันเริ่มรู้สึกล่องลอย 

 

 

“ต้นไม้ต้นหนึ่งงอกงามมากเกินไป ไม่ใช่สิ่งที่จะโค่นลงมาได้ง่าย แต่ถ้าจะขุดให้กลวงจากข้างในเล่า? อีกอย่างตระกูลสาขาอีกมากมายที่ไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ว่าคนตระกูลหวังทุกคนจะเป็นคนเลว และยิ่งไม่ใช่ทุกคนจะเป็นศัตรูของข้า ภายในตระกูลหวังก็ยังมีชายหนุ่มอายุน้อยมากความสามารถอีกมาก” เขารู้สึกได้ว่าถาวจวินหลันกำลังเหม่อลอย จึงอธิบายออกมาเบาๆ พูดไปพลางก็จิบชาต่อไปพลาง นิ้วเรียวยาวและซีดขาวของเขา แม้ว่าข้อต่อนิ้วไม่ชัดเจน แต่ก็ไม่ได้ลดความเป็นชายลงไป ไม่ว่ามือคู่นี้ทำอะไรก็ดึงดูสายตาผู้คนเสมอ 

 

 

ถาวจวินหลันมองมือของหลี่เย่ ไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดท่าถือพู่กันเขียนหนังสือของเขาเมื่อก่อน ตอนนั้นมีบ่อยครั้งที่นางมองเพลิน ยังอดคิดไม่ได้ว่าที่แท้มือของบุรุษก็น่ามองเช่นนี้ แต่ก่อนนางคิดว่ามีแค่มือของสตรีที่น่ามอง มิเช่นนั้นในบทกลอนจะพรรณนาถึงได้อย่างไร? แต่พอเห็นมือของหลี่เย่ นางถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วไม่ได้มีแค่มือของสตรีที่น่ามอง และดึงดูดสายตาคนได้เท่านั้น 

 

 

หลายปีผ่านมานี้ ความอ่อนเยาว์และเงียบขรึมของหลี่เย่ในวันวานได้ลดลงไป ยิ่งดูเป็นผู้ใหญ่มั่นคงมากขึ้น แต่นิสัยชวนให้เชื่อถือและเป็นกันเองกลับไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ต่อให้ปากจะพูดอุบายดำมืด แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงรักษาท่าทีอบอุ่นเช่นนั้นอยู่ดี  

 

 

ถาวจวินหลันมองดูแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ ส่ายหน้าพูดว่า “จะคิดเยอะเช่นนั้นไปทำไมเพคะ ที่ท่านคิดว่าใช้ได้ก็เก็บเอาไว้ หนี้ที่ควรต้องชำระก็ไปชำระเท่านั้นเองเพคะ คิดมากมายเช่นนี้ไม่ใช่เพราะตัดสินใจได้อย่างเสรีหรือเพคะ” 

 

 

คำพูดนี้นางพูดให้ตนเองและพูดให้หลี่เย่ฟังด้วย 

 

 

หลี่เย่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา จากนั้นก็พยักหน้า “อืม เป็นเช่นนั้น” 

 

 

“มิเช่นนั้นก็ฟื้นฟูตระกูลถาวด้วยเลย” ถาวจวินหลันคิดถึงแผนการของตน “ท่านยังจำตระกูลข่งได้หรือไม่เพคะ” 

 

 

“ตระกูลข่งที่ยกเลิกงานแต่งตอนนั้นหรือ?” หลี่เย่ความจำดี ถาวจวินหลันเพิ่งพูดขึ้นมา เขาก็รู้ว่ากำลังพูดถึงใคร “ทำไมหรือ พวกเขามีหลักฐานหรือ?” 

 

 

“ไม่เพคะ ไม่มีหลักฐาน” ถาวจวินหลันยิ้ม เสียงก็เริ่มดิ่งต่ำลง “ตอนนั้นพวกเขาซ้ำเติมตระกูลถาว ก็เพราะมีคนจงใจออกคำสั่ง พวกเราสามารถสืบตามเบาะแสนี้ได้เพคะ” 

 

 

สุดท้ายถาวจวินหลันก็ถอนหายใจเบาๆ พูดผลลัพธ์ออกมา “ท่านพ่อของข้าถูกใส่ร้าย เขาเป็นแพะรับบาปของตระกูลหวัง แม้ว่าท่านพ่อในตอนนั้นมีหน้ามีตา แต่สุดท้ายแล้วก็มีรากฐานเบาบางเกินไป ไม่อาจเทียบกับตระกูลใหญ่เก่าแก่เช่นนั้นได้ อีกทั้งท่านพ่อยังสร้างศัตรูกับตระกูลใหญ่ไว้ไม่น้อย เพราะเรื่องผลักดันระบบปกครองใหม่เพคะ” 

 

 

ถาวจวินหลันพูดเช่นนี้ หลี่เย่ก็คิดถึงอีกเรื่องขึ้นมา ตอนนั้นถาวจื้ออู้ยื่นฎีกาเสนอเรื่องผลักดันระบบปกครองใหม่ขึ้นมาจริงๆ  เพราะตอนนั้นที่ดินทั้งหมดอยู่ในมือของตระกูลใหญ่และตระกูลเก่าแก่ ไม่มีที่ให้เหล่าราษฎรปลูกไร่ทำนา และภาษีที่ราชสำนักเก็บไปก็ไม่มีที่ให้สำแดง การปกครองรูปแบบใหม่นี้ถือเป็นการกระทำที่พุ่งตรงไปที่บรรดาตระกูลใหญ่เก่าแก่ทั้งหลาย 

 

 

ตอนนั้นมีคนเป็นปฏิปักษ์กับถาวจื้ออู้มากมาย ตระกูลหวังก็เสียหายไปไม่น้อย คิดว่าคงจะต้องลงมือกำจัดเขาจริง 

 

 

อีกทั้งหลี่เย่ยังคิดความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งได้ บางทีถาวจื้ออู้ไม่ได้ถูกคนอื่นทำร้ายตั้งแต่แรก แต่เป็นเหยื่อเพื่อดับไฟแค้นของบรรดาตระกูลใหญ่ทั้งหลาย เพราะอย่างไรราชสำนักก็ได้ประโยชน์จากระบบราชการใหม่ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความโกรธของตระกูลเก่าแก่ ก็ยังต้องปลอบประโลมอยู่บ้าง 

 

 

แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง…ฉับพลันหลี่เย่ก็ไม่กล้าคิดต่อ และไม่กล้าแม้แต่มองตาถาวจวินหลัน ทว่าครุ่นคิดเงียบๆ ในใจ ว่าบางทีเขาควรแอบไปถามต้นสายปลายเหตุจากไทเฮา 

 

 

“เรื่องเดียวเกรงว่าจะไม่พอเพคะ” ถาวจวินหลันถอนหายใจ เห็นหลี่เย่นิ่งเงียบไม่พูด ก็พูดต่อไปว่า “หม่อมฉันคิดว่าเอาเรื่องกู้กุ้ยเฟย…” 

 

 

พูดถึงกู้กุ้ยเฟย หลี่เย่ก็มีท่าทางเปลี่ยนไป ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้นย่อมไม่พูดอีก ที่จริงนางยกเรื่องนี้ขึ้นมาก็ด้วยคิดอยากช่วยหลี่เย่แก้แค้นสักเล็กน้อย อีกอย่างยังเป็นความคิดส่วนตัว เพียงแค่ดูระดับความโปรดปรานที่กู้ซีได้รับก็รู้ว่าฮ่องเต้ยังคงไม่ลืมกู้กุ้ยเฟย 

 

 

ตอนนี้ฮ่องเต้ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากตระกูลหวังอีกแล้ว ยิ่งไม่จำเป็นต้องหวาดระแวง หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกมา ฮ่องเต้ย่อมไม่ปล่อยตระกูลหวังไว้เป็นแน่ หลายปีมานี้ผลงานและชื่อเสียงของตระกูลหวังที่มีต่อราชสำนักก็ได้สลายหายไปจากเรื่องโรงฝึกซ้อมแล้ว โดยเฉพาะการกระทำนั้นของฮองเฮาก็ถือว่าทำลายความสัมพันธ์ลงเรือลำเดียวกันของฮองเฮาและฮ่องเต้ในหลายปีนี้ลงไปหมดแล้ว 

 

 

หากเกิดเรื่องกับตระกูลหวังอีก ต่อให้ฮองเฮาถอดชุดประจำตำแหน่งมาขออภัยอีกครั้งก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นครั้งนี้โทษของตระกูลหวังกลายเป็นจริง ฮ่องเต้ก็ไม่ยอมให้อีก เช่นนั้นก็ไร้ตัวช่วยอย่างแท้จริง 

 

 

ถาวจวินหลันคิดว่าฮ่องเต้ไม่ได้ใจกว้างเช่นนั้นเป็นแน่ และยิ่งไม่ได้มีความผูกพันลึกซึ้งเช่นนั้น ขนาดลูกแท้ๆ เขายังยืนมองอีกฝ่ายตายไปต่อหน้าต่อตาได้เลย สำหรับฮองเฮาที่ไม่ได้รักชอบสักเท่าไร…ยิ่งไม่ต้องพูดถึง 

 

 

คิดถึงคำพูดของฮองเฮา ถาวจวินหลันก็อยากจะพูดให้หลี่เย่ฟัง แต่เกรงว่าพูดไปแล้วจะทำให้เขาเสียใจ จึงต้องหยุดไว้ 

 

 

กลับเป็นหลี่เย่ที่สุดท้ายก็พยักหน้า “เรื่องนี้ข้าจะคิดดู ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้ตระกูลหวังก็ไม่รอดแน่” 

 

 

หลี่เย่พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าต่อให้ไม่พูดถึงเรื่องกู้กุ้ยเฟย เขาก็คงจะมั่นใจอยู่แล้ว ในเมื่อเขามั่นใจ เช่นนั้นถาวจวินหลันก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก เพียงแค่พูดว่า “เรื่องตระกูลถาว…” 

 

 

“อืม” หลี่เย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ตอบตกลงถาวจวินหลัน ไม่ว่าความจริงในตอนนั้นคืออะไร อย่างไรก็ต้องกอบกู้ตระกูลถาวกลับมารุ่นเรือง และพยายามประคองตระกูลถาวให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นถาวจวินหลันอาจจะถูกคนหาเรื่องได้ง่ายดาย เขาต้องทำเรื่องนี้เพื่อถาวจวินหลันอย่างแน่นอน อีกทั้งนี่เป็นความปรารถนาของถาวจวินหลันมาเนิ่นนาน เขาย่อมต้องช่วยสานฝันของนางแน่นอน 

 

 

“คนตระกูลข่ง เจ้าคิดจะจัดการอย่างไร?” จู่ๆ หลี่เย่ก็นึกถึงข่งอวี้ฮุยขึ้นมา รวมถึงเรื่องที่ข่งอวี้ฮุยวางยาถาวจวินหลันตอนนั้นด้วย หากเขาไปช้ากว่านั้น เกรงว่าถาวจวินหลันคงกลายเป็นคนของข่งอวี้ฮุยไปจริงๆ แล้ว ฉับพลันเขาก็หงุดหงิด ไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก 

 

 

ถาวจวินหลันย่อมจำเรื่องเหล่านี้ได้ แม้จะบอกว่าข่งอวี้ฮุยตายไปแล้ว แต่นั้นก็ไม่ได้หยุดความคิดอยากแก้แค้นคนตระกูลข่งของเขา นางจึงพูดเนิบๆ ว่า “ใส่ร้ายขุนนางใหญ่ในราชสำนัก รวมกับเรื่องลับหลายอย่างของตระกูลข่งในช่วงหลายปีนี้ เท่านี้ก็มากพอให้บุรุษของตระกูลข่งถูกเนรเทศแล้วเพคะ แต่ใจกว้างกับสตรีและเด็กได้เพคะ แต่ปล่อยข่งฮูหยินทั้งสองคนไปง่ายๆ ไม่ได้ รับมาเป็นบ่าวในวังเถิดเพคะ” 

 

 

ความลำบากของนาง ความลำบากที่ครอบครัวของนางเคยเผชิญ นางต้องเรียกคืนกลับมาให้ครบ หยุดไปครู่หนึ่งนางก็พูดเสียงเย็น “ไม่เพียงคนตระกูลข่งเท่านั้น แต่ต้องจัดการคนอื่นที่ใส่ร้ายตระกูลถาวด้วยเพคะ” 

 

 

หลี่เย่มองถาวจวินหลันทีหนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ โอบนางเข้ามาในอ้อมกอดเงียบๆ ในใจของเขารู้ดีว่าถาวจวินหลันคิดถึงอดีตเหล่านั้น ก็คงจะรู้สึกไม่ดีเช่นเดียวกัน 

 

 

ถาวจวินหลันก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์แปรปรวนของตนเอง จึงไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่นั่งอิงแอบไปกับอกของหลี่เย่ 

 

 

ผ่านไปครู่ใหญ่หลี่เย่ก็ถามถาวจวินหลันว่า “เหตุใดเมื่อครู่ถึงหยุดพูดไป?” 

 

 

ทันใดนั้นถาวจวินหลันก็นึกถึงคำพูดของฮองเฮาขึ้นมา คิดดูแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าควรบอกหลี่เย่ อย่างน้อยก็ทำให้หลี่เย่ป้องกันตนไว้ก่อน จึงถ่ายทอดคำพูดของฮองเฮาอย่างกระชับได้ใจความ “ฮองเฮาบอกว่าที่จริงแล้วก่อนที่องค์รัชทายาทจะถูกตลบหลัง ฮ่องเต้รู้ทุกอย่างหมดแล้ว แต่เขาไม่ทำอะไรเลยเพคะ” 

 

 

หลี่เย่ไม่ได้พูดอะไร แต่ถาวจวินหลันสัมผัสได้ว่าบรรยากาศเปลี่ยนไป 

 

 

หากบอกว่าบรรยากาศเมื่อครู่นี้อบอุ่น เช่นนั้นบรรยากาศตอนนี้คงอึมครึมและกดดัน เห็นชัดว่าหลี่เย่สลดใจกับเรื่องนี้ 

 

 

ถาวจวินหลันรออีกครู่หนึ่ง คิดว่าบางทีตนเองควรเปลี่ยนเรื่องพูด แต่กลับได้ยินหลี่เย่เอ่ยพูดเสียงเบา “อืม ข้าก็เคยเดามาก่อน แต่ไม่กล้ามั่นใจ ในเมื่อฮองเฮาพูดเช่นนี้ ก็คงต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน” 

 

 

น้ำเสียงของหลี่เย่นิ่งเรียบ ไม่รู้ถึงความแปรปรวนของอารมณ์เลยแม้แต่น้อย 

 

 

แต่ถาวจวินหลันตั้งใจฟัง กลับรู้สึกเจ็บปวดอย่างไม่มีที่มาที่ไป สุดท้ายนางก็กอดหลี่เย่เอาไว้ พูดเสียงเบาว่า “ท่านต้องระวังตัวด้วย ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ยังมีข้ากับลูกๆ นะเพคะ” 

 

 

หลี่เย่นิ่งไป จากนั้นก็ผ่อนคลายลง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “อืม” 

 

 

ถาวจวินหลันผ่อนลมหายใจเล็กน้อย ถูหน้าของตัวเองไปบนอกของเขาอย่างออดอ้อนและหลงใหล สุดท้ายก็ยังทำใจปล่อยไม่ได้ “ท่านยังจะออกไปอีกหรือไม่เพคะ”