โม่เทียนเกอตกใจแต่นางไม่มีเวลาให้คิด นางเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวกลับมาและไม่ช้าก็ส่งมันออกไปอีกทีเพื่อหลบการคว้าอย่างรุนแรงของผู้ฝึกตนหญิง
วิธีที่ผู้ฝึกตนหญิงใช้ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากทุกวิธีที่นางเคยเห็นมาก่อน นางไม่ได้ใช้เพียงแค่เวทมนตร์ แต่นางเหมือนกับนักสู้ศิลปะป้องกันตัวจากโลกมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองมือของนางถูกห่อหุ้มด้วยถุงมือซึ่งติดกรงเล็บแหลมคม ด้วยการใช้กรงเล็บเหล่านั้น วิธีการโจมตีของนางจึงเหมือนกับวิธีที่พวกสัตว์ปีศาจใช้กัน
เมื่อโม่เทียนเกอร่อนเร่ไปรอบคุนอู๋กับท่านอาของนางในอดีต นางก็ได้เห็นผู้ฝึกตนแบบนี้อยู่บ้าง ผู้ฝึกตนประเภทนี้โดยทั่วไปมักจะเรียกว่าผู้ฝึกตนนักสู้ พวกเขาเหมือนกับผู้ฝึกตนสายกระบี่แต่พวกเขาจะอาศัยการใช้ร่างกายและทักษะของตัวเองมากกว่าที่ผู้ฝึกตนสายกระบี่ใช้
ถึงอย่างนั้น ผู้ฝึกตนนักสู้ก็ไม่ใช่เส้นทางเดินที่เหมาะสมในโลกแห่งการฝึกตน ท่ามกลางคนนับพัน อาจจะไม่มีคนพวกนี้สักคนหรือสองคนด้วยซ้ำ ทั้งอย่างนั้น วิธีการของผู้ฝึกตนหญิงคนนี้ก็ไม่ได้อ่อนด้อย และจากสิ่งที่นางพูด ดูเหมือนว่านางจะมีอาจารย์ ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอจะไม่รู้ว่าอาจารย์ของนางคือใครก็ตาม
นอกจากนี้ พวกเขาอยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิง ทำไมผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นถึงต้องอยากฆ่านางทันทีหลังจากได้ยินว่านางเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหอด้วย ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่นี่เลย แต่แม้แต่ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่ผ่านไปมาก็สามารถจะฆ่าผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นได้ง่ายดายราวกับแค่ยกมือแล้ว
ขณะที่ความคิดเหล่านี้วาบเข้ามาในจิตใจ โม่เทียนเกอเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวกลับมาที่มืออีกครั้ง จากนั้นนางทำหน้าบึ้งตึงและพูดอย่างเย็นชา “ศิษย์พี่ นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน”
ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นเผยรอยยิ้มเย็นชาแต่ไม่ได้ตอบ ถึงแม้ว่านางยังดูเหมือนไม่ตั้งใจจะตอบโม่เทียนเกอ แต่ที่จริงนางประหม่ามาก นางใช้พลังเต็มที่ในการโจมตีด้วยกรงเล็บ แต่โม่เทียนเกอที่ดูเหมือนว่ายังไม่ได้ออกแรงเต็มที่ ใช้แค่เพียงผ้าเช็ดหน้าไหมขาวเพื่อสกัดกั้นการโจมตีของนางได้อย่างแทบไม่ต้องเปลืองแรง
ระดับการฝึกตนของนางอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว ดังนั้นนางจึงหยิ่งผยองมาโดยตลอด นางเชื่อว่าต่อให้นางสู้กับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังขั้นต้นและไม่มีแรงจะสู้กลับ มันก็คงไม่ยากนักสำหรับนางที่จะหนีอย่างไม่เจ็บตัว กระนั้นการโจมตีของนางกลับถูกปัดป้องได้อย่างง่ายดายโดยรุ่นน้องระดับการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลางด้วยการเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว! นางรู้สึกเป็นกังวลแต่ในขณะเดียวกันความโกรธก็เริ่มเพิ่มมากขึ้นในหัวใจ
นางเล็งไปที่ตัวของโม่เทียนเกอจากนั้นเหวี่ยงกรงเล็บของนางอีกครั้งทันที
โม่เทียนเกอรีบถอนตัวกลับ นางไม่มีแผนจะสู้กับพลังด้วยพลัง โม่เทียนเกอเป็นผู้ฝึกตนตามแบบแผนที่เชี่ยวชาญในเวทมนตร์ ในการต่อสู้กับผู้ฝึกตนนักสู้ มันจะดีที่สุดในการป้องกันคู่แข่งไม่ให้เข้ามาใกล้ตัวเรา แต่กระนั้นโถงด้านข้างล้วนเต็มไปด้วยผู้คน ดังนั้นสำหรับตอนนี้มันจึงค่อนข้างยากที่นางจะหลบได้ เพราะเหตุนั้นนางจึงแค่ขึ้นไปบนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและเผชิญหน้าสู้กับผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นอย่างจัง
ครั้งหนึ่งโม่เทียนเกอเคยเรียนรู้เกี่ยวกับทักษะตัวเบาของโลกมนุษย์มาก่อน และมันก็มีประโยชน์มากในช่วงที่นางอยู่ดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ดังนั้นด้วยทักษะตัวเบาและผ้าเช็ดหน้าไหมขาวที่คล่องแคล่วว่องไวมาก นางยังคงสู้อย่างสบายๆ ถึงแม้ว่านางจะเข้าใกล้ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้น โม่เทียนเกอก็ไม่ได้รู้สึกกดดันเพราะนางเลยแม้แต่น้อย
ในชั่วพริบตา ร่างของพวกนางเปลี่ยนตำแหน่งกันไปหลายต่อหลายหน ผู้ฝึกตนหญิงระดับการสร้างฐานแห่งพลังส่วนใหญ่ไม่สามารถเห็นร่างของพวกนางได้ชัด ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนหญิงระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณเลย พวกนางตกใจมากกับแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณจากการต่อสู้จนพวกนางตัวซีดเผือดและไม่รู้แล้วว่าต้องทำอะไร
หลังจากสังเกตเห็นช่องว่างระหว่างการโจมตีด้วยกรงเล็บ โม่เทียนเกอก็เหวี่ยงกระสวยอัปสราทันทีซึ่งพยายามจะพันรอบตัวผู้ฝึกตนหญิงเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของนาง โม่เทียนเกอตะโกน “พวกเจ้ามัวมึนงงอะไรอยู่ รีบไปรายงานเรื่องนี้ให้พวกปรมาจารย์การก่อเกิดแก่นขุมพลังเร็ว!”
ผู้ฝึกตนหญิงคนอื่นๆ ที่รับผิดชอบหน้าที่ดูแลแขกได้สติในที่สุดและพยายามจะออกจากห้องโถงอย่างลนลาน
ผู้ฝึกตนหญิงที่สู้กับโม่เทียนเกอสามารถสกัดกั้นกระสวยอัปสราไว้ได้ แต่ทันใดนั้นเอง นางก็ถอยกลับและยิ้มอย่างเศร้าหมอง “เจ้าอยากเรียกผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังเพื่อมาจัดการกับข้าหรือ ฮึ่ม! ข้าจะไม่สู้กับเจ้าอีกแล้ว คอยดูเถอะ!” ขณะที่นางพูดเช่นนี้ นางก็รีบล่าถอยจนกระทั่งนางหนีออกจากโถงด้านข้างออกไปทางประตูหลัก
แทนที่จะรีบตามนางไปทันที โม่เทียนเกอหันกลับไปมองเป็นอย่างแรกและสั่งคนอื่นๆ “พวกเจ้าทั้งหมดอยู่ที่นี่ก่อน อย่าออกไป”
ศิษย์ผูู้หญิงระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณพยักหน้าซ้ำๆ พวกนางเห็นคนสองคนสู้กันและแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณที่แผ่ออกมาจากการต่อสู้นั้นก็น่าเกรงขาม พวกนางจะกล้าออกไปได้อย่างไร พวกนางแค่มองตามขณะที่โม่เทียนเกอออกจากโถงด้านข้างเพื่อไล่ตามผู้ฝึกตนหญิงคนนั้น
โม่เทียนเกอสังเกตเห็นว่าความเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นเกิดขึ้นหลังจากนางได้ยินเสียงผิวปาก เสียงนั้นสั้นและแหลมสูงมาก คาดว่าผู้ฝึกตนในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและระดับต่ำกว่าคงไม่สามารถได้ยินเสียงนั้น แต่สำหรับโม่เทียนเกอ ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณของนางทำให้นางรับรู้ได้ดีถึงการผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นไม่เพียงแต่นางจะได้ยินเสียง แต่นางยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณประหลาดที่เหมือนจะถูกสะกดกลั้นไว้ด้วย
ขณะที่รักษาระยะห่างที่ปลอดภัย โม่เทียนเกอตามผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นไป เป็นตามที่นางคาด นางเห็นผู้ฝึกตนหญิงมุ่งหน้าไปทางแหล่งต้นทางของแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณ
โม่เทียนเกอรู้สึกค่อนข้างสงสัย ทิศทางนี้… แน่นอนว่าพวกนางกำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่ซึ่งผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่รวมตัวกันอยู่
“ฉินจิ้งเหอ!” ทันใดนั้นเสียงคำรามกึกก้องก็ดังขึ้น โม่เทียนเกอตกใจ เลือดและพลังวิญญาณในร่างกายนางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างพลุ่งพล่าน ทำให้นางตกลงจากผ้าเช็ดหน้าไหมขาว
นางเงยหน้ามองและเห็นเมฆดำทะมึนดูแปรปรวนปรากฏขึ้นเหนือโถงหลักที่ซึ่งพวกผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อยู่ บนเมฆนั้น ใบหน้ามุ่งร้ายสามารถเห็นได้รางๆ โดยไม่คาดคิด ผู้ฝึกตนหญิงที่โม่เทียนเกอกำลังไล่ตามกลับไม่สะทกสะท้านกับแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นมองกลับมาเพื่อยิ้มน่ารักให้โม่เทียนเกอ และในชั่วพริบตานางก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
สีหน้าของโม่เทียนเกอเปลี่ยนไป นางไม่มีเวลามาครุ่นคิดว่าผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นใช้วิชาแบบไหนเพื่อหายตัวเพราะนางสัมผัสได้ว่าแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณนี้… เป็นของผู้ฝึกตนที่อยู่ในดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่หรือเหนือกว่าอย่างแน่นอน!
หลังจากเสียงคำรามกึกก้องดังขึ้นให้ได้ยิน ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งหมดภายในโถงหลักล้วนออกมาข้างนอก
โรงเรียนเสวียนชิงมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่รวมทั้งหมดหกคนในตอนนี้ พร้อมกับแขกระดับจิตวิญญาณใหม่ราวๆ สิบกว่าคนที่ปรากฏตัวอยู่ ฝั่งของพวกเขามีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มากกว่ายี่สิบคน โม่เทียนเกอกวาดสายตามองพวกเขาและในที่สุดก็รู้สึกวางใจ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ตั้งมากมายอยู่ที่นั่น ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามของพวกเขาจะน่าเกรงขามแค่ไหน แต่พวกเขาก็คงจะไม่เป็นไร
ถึงอย่างนั้นนางก็ค่อนข้างสับสน นอกเหนือจากความจริงที่ว่ามีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มากมายมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ พวกเขาอยู่บนเขาไท่คัง ม่านพลังปกป้องขุนเขาอันยิ่งใหญ่ที่โรงเรียนเสวียนชิงมีก็ไม่ใช่แค่เพื่อแสดงไว้เฉยๆ แต่คนผู้นี้กลับกล้าที่จะทำลายมัน? ยิ่งไปกว่านั้น จากแรงเคลื่อนไหวของเขา เขาน่าจะเป็นมารผู้ฝึกตน! โม่เทียนเกอสงสัยจริงๆ ว่าอาจารย์ขี้งกของนางไปทำอะไรไว้ให้คนประเภทนี้ขุ่นข้องหมองใจเข้า
เมื่อผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สิบกว่าคนเห็นเมฆดำทะมึน พวกเขาดูไม่สงบนิ่งไม่ก็ดูงุนงงอย่างที่สุด
“นี่มัน…”
“ท่านอาจารย์ซงเฟิง!” ใครบางคนพึมพำ
ทีละคน ทีละคน ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่ดูงุนงงมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ผู้ฝึกตนหัวล้านพูดด้วยความประหลาดใจ “ปรากฏว่าเขายังมีชีวิตอยู่!”
ในหมู่คนกลุ่มนี้ คนเดียวที่ยังดูสงบนิ่งคือประมุขเต๋าเจิ้นหยางและประมุขเต๋าจิ้งเหอ ขณะนั้นเอง ประมุขเต๋าจิ้งเหอผู้ที่เหาะขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว พูดอย่างหนักแน่น “ซงเฟิง! วันนี้คือพิธีก่อจิตวิญญาณของศิษย์ข้า ถ้าเจ้ามาเพื่อแก้แค้น ค่อยมาวันอื่น!”
เสียงหัวเราะเยือกเย็นดังขึ้นจากภายในเมฆดำทะมึน ใบหน้าชั่วร้ายเหมือนปีศาจบนเมฆบูดเบี้ยวขึ้น “อะไรนะ มีเวลาที่ฉินจิ้งเหอไม่อยากจะสู้กลับด้วยเรอะ วันพิธีก่อจิตวิญญาณของศิษย์เจ้านี่ล่ะเป็นวันดีสำหรับการต่อสู้ ถ้าศิษย์ของข้ายังมีชีวิตอยู่ บางทีเขาจะอาจจะสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาได้แล้วตอนนี้!”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอเยาะเย้ย “ตาแก่ซงเฟิง ข้าแค่พยายามแสดงความเคารพต่อเจ้านิดหน่อย! เราอยู่ที่เขาไท่คังของโรงเรียนเสวียนชิงและมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่หลายคนที่นี่ ถึงแม้เจ้าจะเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้าย แต่เจ้าก็ยังไม่มีโอกาสทำสำเร็จอยู่ดีหากเจ้าลงมือที่นี่!”
เสียงหัวเราะแปลกประหลาดดังขึ้นจากภายในเมฆดำทะมึน เมื่อเสียงหัวเราะจบลง อย่างไรก็ตาม ใบหน้าบนเมฆนั้นแสดงสีหน้าดุดัน “ฉินจิ้งเหอ เจ้าไม่กลัวสวรรค์หรือโลกมนุษย์ไม่ใช่รึ นี่หรือว่าเจ้ากำลังลากคนตั้งหลายคนเพื่อมาต่อกรกับข้างั้นหรือ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอดูสงบนิ่ง เขาไม่โกรธกับคำพูดส่อเสียดพวกนั้น “เจ้าเห็นข้า ฉินจิ้งเหอ เป็นคนที่ทำอะไรโดยไม่ใช้สมองคิดรึ มีชีวิตอยู่มาจนอายุปูนนี้ เจ้าคิดหรือว่าข้ายังสนใจกับการรักษาชื่อเสียงที่ดีไว้ ข้ายอมรับว่าข้าเอาชนะเจ้าไม่ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วข้าจะรนหาที่ตายไปเพื่ออะไร”
“ดี ดี ดี!” เมฆดำทะมึนหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฉินจิ้งเหอ ข้าประเมินเจ้าต่ำไป! แต่ต่อให้พวกเจ้าทั้งหมดอยู่ที่นี่กันวันนี้ ข้าก็ยังอยากสนุกอยู่ดี!”
เมื่อเขาพูดจบ แรงเคลื่อนไหวของเมฆดำทะมึนพุ่งสูงขึ้นทันที แม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นด้านล่างก็ยังรู้สึกยากจะหายใจได้เพราะแรงนั้น
ขณะนั้นเอง พลังทางจิตวิญญาณภายในร่างกายของโม่เทียนเกอกระเพื่อมอย่างบ้าคลั่งยิ่งขึ้น นางทนไม่ไหวและ “อุก” นางกระอักเลือดออกมา ดวงตาของนางมองกวาดผ่านสภาพรอบตัว พอเห็นว่าตอนนี้นางอยู่ในมุมและไม่มีใครเห็นนาง นางเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวมาทันที นางต้องการใช้ความปั่นป่วนของพลังทางจิตวิญญาณที่เกิดจากอาวุธเวทของนางเพื่อปิดบังแสงจากการเปิดโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน หลายวินาทีถัดมา นางก็สามารถหนีเข้ามาในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางได้
ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน หลังจากกลืนยาโคมเขียวและทำลมปราณให้สงบนิ่ง โม่เทียนเกอชี้ไปที่พื้นที่ว่างตรงหว่างคิ้วซึ่งไข่มุกปรากฏออกมา นางใช้ศาสตร์ลับกับไข่มุกและทันทีหลังจากนั้นท้องฟ้าก็แยกเปิดออก เกิดเป็นช่องว่างซึ่งทำให้นางมองเห็นสถานการณ์ภายนอกได้
ภายในช่วงเวลาอันสั้นนี้ ประมุขเต๋าเจิ้นหยางก้าวขึ้นมาและเหาะไปอยู่ข้างประมุขเต๋าจิ้งเหอ เขาพูดด้วยเสียงดัง “พี่ซงเฟิง! ถ้าศิษย์น้องคนนี้ของข้าทำอะไรให้เจ้าขุ่นเคืองใจ ข้าหวังว่าเจ้าจะนึกถึงข้าและปล่อยวางเรื่องนั้นไปก่อนสำหรับตอนนี้ เราเพิ่งจัดพิธีก่อจิตวิญญาณสำหรับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณคนใหม่ของโรงเรียนเสวียนชิง ถ้าเจ้ามีปัญหา เราค่อยคุยกันวันอื่นดีไหม”
ใบหน้าบนเมฆดำทะมึนอ้าปากและหัวเราะ เสียงของมันฟังดูเป็นมิตรขึ้นเล็กน้อย “พี่เจิ้นหยาง เป็นเวลานานทีเดียวตั้งแต่เราเจอกันครั้งสุดท้าย หลังๆ มานี้กฎแห่งเต๋าของเจ้ายิ่งดีกว่าเมื่อก่อนเสียอีก!”
ประมุขเต๋าเจิ้นหยางยิ้มและประสานมือไปทางเมฆดำทะมึน “เจ้าชมข้าเกินไป หลายร้อยปีมาแล้วตั้งแต่พี่ซงเฟิงปรากฏตัวครั้งสุดท้าย เจ้าทำให้ตาแก่อย่างพวกเราคิดถึงเจ้าเหลือเกิน!”
“อย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้น ข้าต้องมาเยี่ยมเยียนเจ้าให้เหมาะสมเข้าสักวันหนึ่ง!”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ประมุขเต๋าเจิ้นหยางคิดว่าอาจารย์ซงเฟิงยอมรับข้อเสนอของเขา ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นทันที “งั้นข้าก็ต้องขอบคุณพี่ซงเฟิงสำหรับการพิจารณา”
“ยังเร็วเกินไปที่จะขอบคุณข้า!” อาจารย์ซงเฟิงส่งเสียง “ฮึ่ม” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปทันทีและเขาพูดอย่างเย็นชา “พี่เจิ้นหยาง เรื่องของพรุ่งนี้ก็ควรจัดการพรุ่งนี้ วันนี้ข้ามาเพื่อฉินจิ้งเหอ ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องพยายามทำดีให้ข้าพอใจ!”
เขาหยาบคายเป็นอย่างมาก เขาปฏิบัติกับประมุขเต๋าเจิ้นหยางผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้ายผู้สูงส่งอย่างกับเป็นรุ่นน้องของเขา!
ใบหน้ายิ้มแย้มของประมุขเต๋าเจิ้นหยางเปลี่ยนเป็นสีม่วงในชั่วพริบตา เขาเป็นทั้งผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้ายและประมุขผู้อาวุโสสูงสุดของกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันดับสองในขั้วท้องฟ้าทั้งหมด เคยมีใครพูดกับเขาเช่นนี้หรือ? ด้วยสีหน้าเยือกเย็นขึ้น เขากล่าว “พี่ซงเฟิง ข้าคงทำอะไรไม่ได้หากเจ้าไม่อยากจะเห็นแก่ข้า อย่างไรก็ตาม วันนี้เป็นวันดีสำหรับโรงเรียนเสวียนชิง ถ้าตัวเจ้าผู้น่านับถือมาเพื่อแค่หาเรื่องกับศิษย์น้องของข้า ตัวข้าในฐานะศิษย์พี่ของเขาก็ไม่สามารถนั่งเฉยๆ และไม่ทำอะไรได้ ถ้าตัวเจ้ามีความไม่สบายใจอันใด เชิญพูดมาได้ตามสบาย!” นี่เป็นคำขู่อย่างเห็นได้ชัด ถ้าอาจารย์ซงเฟิงไม่ยอมถอยกลับไป ประมุขเต๋าเจิ้นหยางก็จะร่วมมือกับประมุขเต๋าจิ้งเหอเพื่อโจมตีเขาจากทุกด้าน