ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 42 โจรเสี่ยงหม่าที่ฉลาด

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ลำธารระหว่างเขา ดวงอาทิตย์อยู่ที่เขาอีกด้าน ถึงแม้ทางเล็กจะขรุขระแต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเดินทางโดยรถม้า นี่เป็นส่วนหนึ่งของถนนโบราณยุคราชวงศ์ฉิน เนื่องจากมีทางเล็กมากมายเหล่านี้ทำให้ที่ราบกวนจงมีการคมนาคมที่อิสรเสรีอย่างมากที่สุด แต่ก็นำพาภัยที่ซ่อนเร้นต่อความปลอดภัยของฉางอันอย่างมาก หากเข้าหันกู่ได้ที่ราบก็จะรักษาไม่อยู่

 

 

แต่โบราณมาที่ว่าทหารฉินเก่งทางอดทนสู้รบ คำพูดนี้ไม่ถูกต้อง ทหารฉินก็มีวันล่มสลายเช่นกบฏอันสื่อ ชีวิตที่สุขสบายนับร้อยปีจะกัดกร่อนจิตวิญญาณจนกระทั่งร่างกายของคนทุกคน การที่จะใช้พลังคนเดียวขัดขวางทุกสิ่ง นี่เป็นฝันหวานที่อยู่ลึกที่สุดในจิตใจของฮ่องเต้ทุกยุคทุกสมัย ช่วยไม่ได้ที่ฝันหวานชนิดนี้มักถูกทำลายไปทุกครั้ง เป็นเรื่องตลกทางประวัติศาสตร์

 

 

ในห้องดนตรียักษ์ธรรมชาตินี้ การไม่ออกเสียงร้องเพลงถือว่าทำผิดต่อตัวเอง หวนนึกถึงที่ซินเย่ว์แต่ก่อนนี้มักจะร้องเพลงอะไรให้ฟัง เพลงนกยูงบินสู่ตงหนัน เพลงวนเวียนอยู่ห้าลี้ ร้องไปร้องไปจนร้องห่มร้องไห้ คนโง่ที่ซาบซึ้งอยู่กับตัวเอง ร้องไห้จบยังมีหน้าเช็ดน้ำมูกถามว่าหากนางต้องโดดน้ำสระชิงฉือตาย อวิ๋นเยี่ยจะแขวนคอตายที่กิ่งไม้ตงหนันหรือไม่

 

 

“ไม่ทำแน่นอน ละแวกบ้านเราไม่มีสระชิงฉือ แต่หากเจ้าโดดหน้าผาอิงจุ่ยไม่ติดร่มก็สามารถบรรลุเป้าหมายได้ ข้าไม่มีวันแขวนคอตัวเองไม่ว่ากิ่งไม้ไหนๆ หลังจากฝังเจ้าอย่างเอิกเกริกแล้วข้าจะแต่งภรรยาใหม่ที่สวยงามเลิศล้ำทันที ให้นางใช้กระจกของเจ้าใส่เสื้อผ้าใหม่ของเจ้ากินอาหารอร่อยของเจ้าอีกทั้งถอดบรรดาศักดิ์ของเจ้า ฮ่าๆ ชีวิตช่างสุขสมยิ่งนัก”

 

 

ได้ยินเช่นนี้แล้ว ซินเย่ว์หยุดร้องไห้ทันทีแต่โดดขึ้นขี่หลังอวิ๋นเยี่ยทั้งหยิกทั้งข่วนตอนหลังยังกัดด้วยสลัดไม่ยอมหลุด มื้อเย็นกินเซาไม่คนเดียวทั้งซึ้งนึ่ง ไม่ได้มีความคิดอยากตายแม้เพียงนิดเดียว

 

 

ผู้หญิงน่ะหรือก็เป็นเช่นนี้เอง คนที่มักคิดฆ่าตัวตายเป็นพวกโง่เง่าที่ไม่มีความหวังใดๆในชีวิตเหลืออยู่ ซินเย่ว์ไม่เคยเป็นเช่นนั้น ต่อให้อวิ๋นเยี่ยตายไปนางก็เป็นผู้หญิงที่จะต้องมีชีวิตอยู่ต่ออย่างเข้มแข็ง นิสัยนางไม่ใช่พวกอ่อนแอเป็นแต่ร้องห่มร้องไห้ ครั้งนั้นเคยเจออวิ๋นเยี่ยเพียงครั้งเดียวก็ตัดใจเป็นตายร้ายดีต้องมาแต่งงานด้วยเพราะเชื่อตาตัวเองว่าไม่ได้ดูคนผิด ฆ่าตัวตายหรือ คนทั้งโลกตายไปนางก็ยังจะต้องอยู่ต่อไปได้อย่างดี ตระกูลใหญ่ขาดผู้หญิงเช่นนี้ดูแลได้อย่างไร

 

 

ทุกอย่างเกิดจากหลี่อันหลานที่สมควรตาย พอนางมีครรภ์แรงกดดันของซินเย่ว์ก็เพิ่มขึ้นมาหลายเท่า พอมีแรงกดดันแล้วนางก็ร้อนรน พอนางร้อนรนอวิ๋นเยี่ยก็เดือดร้อน ฤดูม้าลาผสมพันธุ์ยังมีแค่สิบกว่าวัน อวิ๋นเยี่ยกลับต้องโดนเพลงบรรเลงทุกคืน ขี่ม้าเวลาเช้าแทบไม่มีแรงยืดเอวได้

 

 

 นั่งอยู่บนหลังม้าใช้พลังเต็มที่อ้าปากร้องเพลง “เดือนหกแม่น้ำฮวงโหคงเป็นน้ำแข็งอยู่ คนที่จับข้าแต่งงานคือผู้ใหญ่ข้า ไม่มีธัญพืชใดกลมกว่าเม็ดถั่ว ในหมู่ผู้คน ลูกสาวน่าสงสารที่สุด ลูกสาวเอ๋ย”

 

 

ยังพอได้ยังรักษาเส้นเสียงได้ดีแต่ทำให้เฉิงฉู่มั่วที่อยู่ข้างๆสะดุ้งเฮือก หมู่นกในหุบเขาต่างกางปีกบินว่อนแล้วบินวนอยู่ไม่ยอมลงมา ไก่ฟ้าสีสันสวยงามบินเพิ่งขึ้นจากกอหญ้าก็โดนซ่านอิงใช้หินขว้างตายถูกหัวนกแตกละเอียด

 

 

ซินเย่ว์ยื่นศีรษะออกมาจากรถม้ามองสามีด้วยความประหลาดใจเพราะนึกว่าเขาเกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมาอีก

 

 

“เยี่ยจื่อ ที่ร้องเมื่อครู่นี้เรียกว่าอะไรให้พลังเสียงได้ดีมาก บอกข้าหน่อย พวกเราร้องด้วยกัน” คำพูดแค่นี้ก็ทำให้อวิ๋นเยี่ยดีใจจนออกนอกหน้าที่มีคนรู้จักชื่นชมว่าอะไรคือความดีงามแล้ว สุดทนกับเพลงยุคราชวงศ์ถังที่อ่อนระโหยโรยแรงแห้งแล้งเ**่ยวเฉา มีหรือที่จะมีพลังแบบ’ซิ่นเทียนโหยว’ พูดไปแล้วเดินอยู่ในร่องเขาไม่ร้อง’ซิ่นเทียนโหยว’แล้วจะให้ร้อง’นกยูงบินตงหนัน’หรือ

 

 

“ดีแล้วข้าจะสอนให้ เพลงนี้ชื่อ’ซิ่นเทียนโหยว’เป็นเพลงผู้ชายร้อง มีพลังมาก ข้าจะสอนให้ เนื้อเพลง…” อวิ๋นเยี่ยไม่ใส่ใจสายตาดูแคลนของหนิวเจี้ยนหู่แต่พูดกับเฉิงฉู่มั่วอย่างออกรสแล้วทั้งคู่ก็ตะเบ็งเสียงด้วยกัน

 

 

“ข้ายืนอยู่บนเขาเหลียง เจ้ายืนอยู่ในลำธารร่องเขา อยากพบหน้านั้นง่าย แต่พูดคุยลำบาก คิดถึงมากจนปวดใจ ได้แต่โบกมือ”

 

 

พวกขี่ม้าข้างๆต่างรีบออกห่างทั้งคู่ไปไกล ถือคันธนูไว้ในมือ เกรงว่าถ้าทำให้เหล่าสัตว์ร้ายออกมาทำร้ายคนก็คงลำบาก ทั้งคู่สนุกสนานกันมากร้องพลางหัวเราะพลาง อวิ๋นซันฟังได้สองเที่ยวก็เริ่มเปิดปากตะเบ็ง เขาเชื่อว่าสิ่งที่โหวเหยียของเขาทำนั้นล้วนเป็นสิ่งดีงาม

 

 

ร้องเพลงก็สามารถร้องจนเกิดภัยได้ ใครจะคิดว่าสถานที่ห่างจากลู่หยางเพียงไม่ถึงร้อยลี้จะพบโจรเสี่ยงหม่าได้ มีเสียงปรบมือดังขึ้นแล้วสองข้างทางมีคนขี่ม้าออกมาสองคน ต้นไม้เล็กสองข้างทางโยกเยกไม่หยุดราวกับมีคนมากมายซ่อนตัวอยู่

 

 

คนอ้วนข้างหน้าขี่ม้าที่ใหญ่กว่าลาเล็กน้อยตะโกนเสียงดังว่า “เฮ้ย ขุนนางข้างหน้าฟังไว้ ต้นไม้นี้ข้าเป็นคนปลูกถนนนี้ข้าเป็นคนสร้างหากต้องการผ่านทางนี้ให้ทิ้งเงินค่าผ่านทาง”

 

 

“ทิ้งเงินค่าผ่านทางแล้วข้าก็จะไว้ชีวิตพวกเจ้า หากไม่แล้วต้องโดนฆ่าทิ้งหมด” พูดจบยังแกว่งไกวดาบหนาใหญ่ในมือ อีกคนขยับค้อนใหญ่กว่าหัวคนสองหัวแสดงอาการข่มขู่

 

 

เหล่าเจียงมองดูค้อนสายโซ่ขนาดแคนตาลูปที่เอวตัวเอง ทั้งมองค้อนใหญ่โตจนผิดธรรมดาในมือชายร่างใหญ่แล้วส่ายหน้าถามอวิ๋นเยี่ยว่า “โหวเหยีย เจ้าเบื๊อกสองคนนี้ท่านนึกอยากย่างหรือปิ้งดี”

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่พูดแต่หันหน้าไปมองซ่านอิง เฉิงฉู่มั่วและหนิวเจี้ยนหู่ก็หันดูเหมือนกัน สุดท้ายแล้วทุกคนต่างหันดูซ่านอิงพร้อมกัน เห็นหน้าซ่านอิงแดงจนแทบจะกลายเป็นผ้าแดงไปแล้ว

 

 

ซ่านอิงภายใต้เป้าสายตาของทุกคนคิดเพียงอยากหนีหัวซุกหัวซุน น่าขายหน้าจริงๆ น่าขายหน้าวงการโจรลู่หลินเต้าจริงๆ วันนี้คนผ่านทางเป็นขุนนางบู๊ตั้งสามตระกูล เหล่าบ่าวไพร่ล้วนแต่มีประสบการณ์ช่ำชอง ขนาดสิงโตหินในบ้านยังโดนพวกนายใหญ่นายเล็กเอาไปเล่นเป็นตุ๊กตาหิน เจ้าไม่เห็นหรือว่าแม้แต่สาวใช้ยังยื่นหัวออกมาดูว่าโจรเสี่ยงหม่าตัวเป็นๆนั้นเป็นอย่างไร พวกหน่วยคุ้มกันหลายสิบคนต่างเข้าป่าไปหากองโจรใหญ่ที่เจ้าว่ากันหมดแล้ว เจ้ายังถืออาวุธที่ทำจากไม้มาหลอกคนอยู่อีก เขาอยากฉีกเนื้อเจ้าเบื๊อกสองคนนี้ให้เป็นชิ้นๆ น่าขายหน้าแท้ๆ เมื่อคืนยังคุยโม้คุยโตให้อวิ๋นเยี่ย เฉิงฉู่มั่ว หนิวเจี้ยนหู่ ฟังว่าวงการโจรลู่หลินเต้ามีผู้เยี่ยมยุทธร้ายกาจมากแค่ไหน มีความดีงามแค่ไหน รักษาคำพูดแค่ไหน ตัวคนเดียวฆ่าหมู่โจรผู้ร้ายเป็นเรื่องปกติ พันลี้เด็ดศีรษะคน หมื่นลี้เพื่อสู้รบ เป็นความใจกว้างอย่างมาก ที่ไหนได้เพิ่งพูดเสร็จก็มีสองไอ้เบื๊อกโผล่มา เจ้าไม่ดูเลยว่าแม้แต่ขาลาที่เจ้าขี่ยังกำลังสั่นแล้วจะรับน้ำหนักอาวุธของเจ้าได้หรือ

 

 

ยังไม่ทันรอให้ซ่านอิงลงมือ ค้อนสายโซ่ของเหล่าเจียงก็บินไปแล้ว โจรเสี่ยงหม่าที่ถือดาบใหญ่ไม่ทันหลบจึงต้องยกดาบขึ้นกันไว้เกิดเสียงดังแคล้ก ดาบใหญ่แหลกละเอียดไปแต่แรงค้อนสายโซ่ไม่ลดลงจนกระแทกหน้าอกโจรเสี่ยงหม่าเกิดเสียงดังตึ้ง โจรเสี่ยงหม่าแม้แต่ร้องยังไม่ทันร้องก็ร่วงลงจากหลังม้าในปากมีแต่เลือด

 

 

คนใช้ค้อนเห็นแล้วร้องลั่น “น้องรอง!” ทิ้งค้อนแล้วลงม้าแบกโจรเสี่ยงหม่าที่บาดเจ็บเตรียมวิ่งหนี หน่วยคุ้มกันที่โอบมาจากด้านหลังชักดาบเตรียมฟันสองคนนี้

 

 

คนที่ใช้ค้อนวางน้องเขาลงแล้วมือกุมศีรษะร้องลั่นว่า “น้องข้าป่วย จะฟันให้ฟันข้า ข้าเป็นคนต้นคิด ฟันข้า อย่าฟันน้องข้า ข้าเป็นคนต้นคิด”

 

 

หน่วยคุ้มกันเห็นอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ต้องการฟันสองคนนี้จึงหาเชือกมัดสองคนนี้ไว้ เหล่าเจียงสางผมที่เหลือน้อยเดินเข้ามาล้วงลงไปที่หน้าอกโจรเสี่ยงหม่าที่บาดเจ็บ ควักกระจกป้องกันหน้าอกที่แตกแล้วออกมาแล้วจึงผงกศีรษะอย่างพอใจบอกอวิ๋นเยี่ยว่า “โหวเหยีย เมื่อครู่ข้ายังสงสัยว่าเจ้านี่โดนค้อนข้าแต่ไม่ตาย ที่แท้มีกระจกป้องกันหน้าอกคุ้มไว้”

 

 

หน่วยคุ้มกันที่เข้าป่าไปก็ออกมาทั้งจูงแพะสี่ห้าตัวออกมาด้วยแล้วบอกอวิ๋นเยี่ยว่า “โหวเหยีย ในป่าไม่มีคน โจรกระจอกสองคนนี้เอาแพะผูกไว้ที่ต้นไม้เล็กพอแพะเตะขา ต้นไม้ก็โยกเยกทำเหมือนคนซุ่มอยู่ นับว่าฉลาดดีมาก”

 

 

พวกบ่าวไพร่สาวใช้ในขบวนต่างหัวเราะกันลั่นแต่ละคนหัวเราะกันจนตัวเอียงไปมา รถม้าใหญ่ตระกูลอวิ๋นก็แว่วเสียงหัวเราะจนแทบขาดใจออกมา ท่าทางผู้หญิงทั้งสามคนในรถคงขำจนพูดไม่ถูก

 

 

ใบหน้าซ่านอิงดำจนเหมือนก้นหม้อ ยกเท้าเขี่ยทีเดียวค้อนยักษ์ก็อยู่ที่มือ สะบัดมือสองทีเสียงลมดังอู้จนน่าตกใจ หากไม่ใช่สามตระกูลนี้ เป็นสำนักคุ้มภัยเจ้าอื่น หน่วยคุ้มกันคงทิ้งทรัพย์สินวิ่งหนีไปแล้วกระมัง

 

 

อิ๋นเยี่ยก็เก็บขึ้นมาอันหนึ่งอย่างมากแค่สิบกว่าชั่ง เข้าท่ามากนี่เป็นคู่โจรเสี่ยงหม่าที่ฉลาด ระยะนี้คนใช้สมองปล้นคนมีไม่มากแล้ว การที่ไม่มีกำลังสังหารก็หมายความว่าสองคนนี้ไม่ได้ฆ่าคน ฉากพี่น้องรักกันเมื่อครู่นี้ทำให้ทุกคนซาบซึ้งใจ คนมีความสามารถ ตระกูลอวิ๋นต้องการคนฉลาดเช่นนี้

 

 

หลังต้นไม้ใหญ่ยังมีรถลากอีกคันหนึ่ง หน่วยคุ้มกันเอาม้าของพวกเขาเทียมไว้ลากรถ โจรเสี่ยงหม่าทั้งคู่ถูกมัดมือไพล่หลังโยนไว้บนรถลากตามขบวนรถเดินทางต่อไป

 

 

คราวนี้สดใหม่กันใหญ่แล้วได้เห็นโจรเสี่ยงหม่าตัวเป็นๆกันแล้ว สาวใช้น้อยตระกูลอวิ๋นไม่เคยเห็นเห็นโจรเสี่ยงหม่า ได้ยินแต่ว่าเป็นปิศาจตาแดงคิ้วเขียว ตอนนี้โหวเหยียจับได้ตัวเป็นๆสองคนจะไม่ดูได้อย่างไร แต่ละคนอ้างว่าจะให้น้ำโจรเสี่ยงหม่านิดหน่อย แต่มาดูว่าโจรเสี่ยงหม่าหน้าตาเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้กลับไปเล่าให้พี่น้องคนอื่นฟังประสบการณ์ที่ประหลาดของตัวเอง

 

 

คนเดียวให้น้ำฉีเฉิงรู้สึกว่าเป็นเรื่องดี มือเล็กขาวให้น้ำถือเป็นความสุนทรีทางอารมณ์ เขาอยากลองกัดดูว่ากัดแล้วจะมีน้ำออกมาหรือไม่ จนกระทั่งสาวใช้สิบกว่าคนต่างให้น้ำจนครบรอบแล้ว พุงอืดจนไม่คิดจะเห็นสาวงามอีกแล้ว มีสาวใช้ที่ใจกล้ายังดึงหนวดเคราตัวเองดูว่าเป็นของจริงหรือของปลอม ต้องแยกเขี้ยวคำรามทำให้สาวใช้กลัวจนลนลานหันหลังวิ่งกลับไป แล้วก็โดนคนที่รักใคร่สาวใช้เล่นงานจนน่วมอีก

 

 

ตั้งค่ายพักแรมในที่มีเขามีน้ำห่างจากลั่วหยางสามสิบลี้ ชื่อของโจรเสี่ยงหม่าสองคนก็รู้แล้วว่าคนหนึ่งเรียกฉีเฉิงหรือมู่เติง อีกคนเรียกหม่าชื่อหรือกาลา ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาจึงตั้งชื่อประหลาดให้ตัวเองเช่นนี้ แต่ก็เหมาะสมกับฐานะพวกเขาดี ได้ยินชื่อพวกเขาแล้วอวิ๋นเยี่ยรู้สึกพอใจที่ตัวเองไม่รังเกียจชื่อนี้

 

 

คนโกงริมสะพานเทียนจินในซีจิงลั่วหยางอยู่รอดด้วยการโกหกหลอกลวง ไม่กี่วันก่อนถูกเจ้าถิ่นหลงซันไล่ออกจากซีจิงบอกว่าหากพวกเขาสองพี่น้องปรากฏตัวที่ซีจิงอีก จะตัดเส้นเอ็นทั้งมือและเท้าไว้ใช้เป็นตัวอย่างทวงหนี้

 

 

ทั้งคู่หมดหนทางจึงใช้เงินสะสมทั้งหมดแล้วจัดซื้อของตามที่เห็นนี้ ไม่นึกว่าทำครั้งแรกก็เจอของแข็งยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ฉีเฉิงอ้อนวอนอวิ๋นเยี่ยตลอดเวลาให้จัดการเขาแล้วปล่อยน้องเขาไป ศีรษะน้องเขาเคยถูกตีมาจากนั้นก็ไม่ค่อยปกติ เรื่องที่เลวร้ายทั้งหลายเขาเป็นคนทำเองหมดไม่เกี่ยวกับคนทึ่มคนนี้

 

 

“ต้าเหยีย หากท่านอยากท่องเที่ยวซีจิงข้านำทางให้ได้ ผู้หญิงซ่องนางโลมที่นั่นดีที่สุด นักร้องร้องเพลงเพราะที่สุด นางระบำคนไหนอ่อนช้อยที่สุดข้าล้วนรู้หมด รับรองว่าท่านจะต้องสุขจนลืมฉู่แน่นอน”

 

 

“รู้จักตั้งชื่อให้ตัวเองทั้งรู้จักสุขจนลืมฉู่ ฉีเฉิงเอ๋ย ความรู้ของเจ้าได้มาจากไหนกัน” อวิ๋นเยี่ยถามยิ้มๆ