เฉินฉางเซิงมองเห็นสวีซื่อจีก่อน ใบหน้าที่เย็นชานั้นทำให้เขานึกถึงเงาที่อยู่ในรถม้านอกสำนักเทียนเต้าเมื่อปีก่อนคันนั้นในชั่วพริบตา หลังจากนั้นเขาถึงได้สังเกตเห็นชายวัยกลางคนผู้นั้นที่กำลังเดินอยู่ด้านหน้าของสวีซื่อจี ช่วงตาของชายวัยกลางคนผู้นั้นมีความองอาจ ซึ่งดูคุ้นตาอยู่บ้าง เขาไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร แต่ดูจากการที่ทั้งสองคนเดินอยู่ด้านหน้าและด้านหลังก็สามารถเดาได้ว่าสถานะของคนผู้นี้น่าจะสูงส่งเป็นอย่างมาก
เขาทำความเคารพสวีซื่อจีก่อน เพราะว่าเขาเป็นเด็ก นี่เป็นมารยาทที่จำเป็น เขาไม่ได้เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน ซึ่งก็เป็นมารยาทเช่นกัน แต่ที่จริงเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับอีกฝ่าย ถึงแม้หลังจากการสอบใหญ่ ท่าทีของสวีซื่อจีที่มีต่อเขาจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน และยังเชิญให้เขาไปกินอาหารตามประสาครอบครัวที่จวนขุนพลเทพตงอวี้ แต่การทานอาหารในครั้งนั้นก็จบลงอย่างไม่ค่อยดีนัก
สัญญาหมั้นฉบับนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังเดินทางไปไม่ถึงจุดหมายสุดท้ายของมัน
ตอนที่เขายื่นตัวขึ้นมา ก็พบว่าถังซานสือลิ่วกำลังทำความเคารพต่อชายวัยกลางคนผู้นั้น นี่เป็นเรื่องที่เห็นได้น้อยอย่างมาก เพราะว่าถังซานสือลิ่วเป็นคนที่ไม่ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์อย่างมาก พูดให้ชัดเจนก็คือ เขาดูถูกคนที่เคร่งกฎระเบียบเกินไปเหล่านั้น ในตอนแรกถึงจะเจอกับใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซา เขาก็ยังไม่เคยอยู่ในกฎระเบียบขนาดนี้
เทียนไห่เฉิงอู่มองถังซานสือลิ่วแล้วถามขึ้น “ปู่ของเจ้ายังสบายดีไหม”
ด้วยสถานะประมุขตระกูลเทียนไห่ คนที่ต้องให้เขาถามไถ่ มองไปทั่วทั้งโลกใบนี้ก็มีอยู่ไม่มากแล้ว ถึงจะเป็นตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย ก็มีเพียงท่านปู่ผู้นั้นที่จะมีคุณสมบัตินี้แล้ว
ถังซานสือลิ่วยิ้มแล้วเอ่ยตอบ “ร่างกายแข็งแรงอย่างมาก จดหมายจากที่บ้านส่งมาว่า ในตอนนี้มื้อหนึ่งยังกินข้าวถึงสี่ชาม มื้อดึกเองก็ไม่พลาดเลยสักวัน”
ในตอนที่พูด เขาก็ดูเรียบร้อยอย่างมาก ดูเหมือนเด็กที่รู้ความอย่างมากผู้หนึ่ง ไม่ได้มีท่าทีกำเริบเหมือนในตอนปกติเลยสักนิด
เฉินฉางเซิงยิ่งตกตะลึงเข้าไปใหญ่ ในใจคิดว่าชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นใครกันแน่
ในตอนนี้เองสวีซื่อจีก็พูดกับเขา “ผ่านไปอีกไม่กี่วัน หรงเอ๋อร์จะกลับจิงตูแล้ว หาเวลามากินข้าวที่จวนสิ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ภายในทางเดินก็เงียบอย่างหาใดเปรียบขึ้นมาในทันที
เทียนไห่เฉิงอู่มองไปที่สวีซื่อจี ค่อยๆ หรี่ตาลงมา
เฉินฉางเซิงถึงได้รู้ว่าที่แท้…สวีโหย่วหรงจะกลับจิงตูแล้ว เขาเงียบไปครู่หนึ่ง มองสวีซื่อจีแล้วตอบกลับด้วยมารยาทอย่างมาก “ท่านก็รู้ว่าสำนักฝึกหลวงในช่วงนี้มีเรื่องค่อนข้างมาก ไม่แน่ใจว่าเมื่อถึงตอนนั้นจะมีเวลาหรือไม่”
หลังจากที่สวีซื่อจีพูดประโยคนี้ออกมา สายตาของถังซานสือลิ่วก็อยู่ที่เขากับเทียนไห่เฉิงอู่มาโดยตลอด เหมือนอยากจะมองให้เห็นอะไรบางอย่าง
เทียนไห่เฉิงอู่ยกยิ้มขึ้นมาอย่างกะทันหัน หลังจากนั้นก็หุบยิ้มลง มองไปทางเฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้น “ในเมื่อมีเรื่องมากมาย ก็ยังมีอารมณ์มากินข้าวที่นี่อีกหรือ”
เพียงแค่คำถามที่แสนธรรมดาประโยคหนึ่ง เฉินฉางเซิงก็รู้สึกถึงความกดดันอันมหาศาล โดยเฉพาะความเยือกเย็นที่อยู่ในน้ำเสียงของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าจะแช่แข็งหัวใจของเขาก็ไม่ปาน
ในตอนนี้เอง เสียงของถังซานสือลิ่วที่แสนสุดจะเป็นเอกลักษณ์และแสนจะไร้เหตุผลอย่างถึงที่สุดก็ดังขึ้นมาพอดี “ได้ยินว่าท่านชอบมากินอาหารที่หอเฉิงหูที่สุดหรือ” ที่เขาถามก็คือเทียนไห่เฉิงอู่
เทียนไห่เฉิงอู่กำลังมองเฉินฉางเซิงอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่ได้สนใจเขาเลย
ถังซานสือลิ่วเองก็ไม่เขินอาย แย้มยิ้มแล้วพูดขึ้นต่อ “ท่านก็รู้ การต่อสู้ของเฉินฉางเซิงกับโจวจื้อเหิงเมื่อหลายวันก่อนนั้น ข้าทำเงินมาได้ไม่น้อย รวมไปรวมมา ก็รวมเงินได้พอ และซื้อหอแห่งนี้เอาไว้แล้ว วันนี้พวกข้ามาก็เพื่อมารับช่วงต่อ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป หอเฉิงหูก็จะต้องปิดทำการลงเพื่อทำการตกแต่งใหม่ หลายวันนี้เป็นไปได้ว่าท่านอาจจะไม่ได้กินกุ้งมังกรสีครามแล้ว”
เทียนไห่เฉิงอู่มองไปทางเขา แล้วพูดขึ้นอย่างถากถาง “นิสัยเด็กน้อย”
ถังซานสือลิ่วแย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “เพียงแค่พูดกับท่านสักคำ ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็จะถึงช่วงฤดูปู ทางหออาจจะเปิดไม่ทันกาล อาจจะต้องให้คนดูแลของจวนไปหาสถานที่ดีๆ สักแห่งอีก”
เทียนไห่เฉิงอู่มองเขาแล้วพูดขึ้น “หลายปีมานี้ มีคนกล้าท้าทายข้าต่อหน้าน้อยลงเรื่อยๆ สมแล้วที่เป็นหลานเพียงคนเดียวที่ผู้เฒ่าถังชื่นชอบที่สุด ความกล้าช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ”
ถังซานสือลิ่วเบิกตาโต แสร้งทำเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วพูดขึ้น “ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของท่าน”
เทียนไห่เฉิงอู่ยิ้มขึ้นมา แล้วพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “เดิมทีเพียงแค่อยากให้สำนักฝึกหลวงคึกคักขึ้นมาหน่อย ในตอนนี้ดูท่าแล้วจะต้องให้พวกเจ้าต้องลำบากเสียหน่อยแล้ว”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ เขาก็เดินตรงไปข้างหน้า
ทางเดินไม่ได้แคบ แต่ก็ไม่ได้กว้าง โดยเฉพาะเมื่อมีร่างของเซวียนหยวนผ้อที่เหมือนกับภูเขาลูกเล็กขวางอยู่ตรงกลาง
เทียนไห่เฉิงอู่เดินไปด้านหน้า เด็กหนุ่มทั้งสามคนจากสำนักฝึกหลวงก็จะต้องหลีกทาง
เซวียนหยวนผ้อรู้สึกว่าบรรยากาศ ณ ที่นี้อึดอัดอย่างน่าประหลาด เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจะเดินเข้ามาเช่นนี้ ก็โมโหอย่างมาก จึงเตรียมที่จะเอาตัวเจ้าไปขวาง
ทว่า นี่ไม่ใช่การทะเลาะกันของเหล่าเด็กๆ ในเผ่าหมี และก็ไม่ใช่การเล่นกันของเพื่อนร่วมสำนักฝึกหลวง
สีหน้าของถังซานสือลิ่วสั่นไหวขึ้นมา และยื่นมือไปคว้าสายคาดเอวของเซวียนหยวนผ้ออย่างรวดเร็ว ปราณแท้พลันระเบิดออกมา และเหวี่ยงเขาไปทางกำแพงด้านข้างอย่างแรง
เสียงกระแทกได้ดังขึ้น กำแพงผนังถูกเซวียนหยวนผ้อชนจนถล่มลงมา เศษฝุ่นตลบอบอวล
เฉินฉางเซิงรู้สึกแต่แรกแล้วว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ค่อนข้างมีปัญหา ในเวลาเดียวกับที่ถังซานสือลิ่วหลีกทาง เขาก็ถอยไปอยู่ด้านข้างแล้ว
เทียนไห่เฉิงอู่ก็เอามือทั้งสองไพล่หลังไว้เช่นนี้ และเดินไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
สวีซื่อจีมองเฉินฉางเซิงแวบหนึ่ง และก็ตามออกไป
“เจ้าทำอะไรกัน!” เซวียนหยวนผ้อนั่งอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยหินและเศษฝุ่น ทั้งมึนงงและโมโห เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถังซานสือลิ่วถึงได้ลงมือกับตน
ทันใดนั้นเขาก็พบว่าถังซานสือลิ่วกับเฉินฉางเซิงไม่ได้สนใจตน จิตใต้สำนึกจึงสั่งให้หันกลับไปมอง เขาเห็นเพียงแค่ที่ด้านหลังมีโต๊ะอยู่สิบกว่าตัว ที่รอบโต๊ะมีคนนั่งอยู่จนเต็ม
ที่แท้อีกด้านหนึ่งของกำแพงในทางเดินนั้น ก็คือโถงใหญ่ในชั้นหนึ่งของหอเฉิงหู
พวกเขาชนกำแพงจนถล่มแล้ว ก็เท่ากับว่ามาถึงด้านในของโถงใหญ่แล้ว
ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นหอสุราที่คึกคักวุ่นวาย ในตอนนี้ราวกับว่าจะเงียบยิ่งกว่าพระราชวังเสียอีก
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วน มาหยุดอยู่ที่พวกเฉินฉางเซิงทั้งสามคน
คนที่มีเงิน มีคุณสมบัติมากินอาหารที่หอเฉิงหูล้วนไม่คนธรรมดา มีจำนวนมากที่เป็นขุนนางของราชสำนัก นักบวชของพระราชวังหลี ที่ดูไม่สะดุดตาที่สุด ก็เป็นเด็กหนุ่มอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงอยู่ภายนอกเหล่านั้น
สำนักฝึกหลวงในจิงตูในตอนนี้มีชื่ออย่างมาก แน่นอนว่าพวกเขาล้วนรู้จักพวกเฉินฉางเซิงทั้งสามคน ตอนที่กำแพงถล่มเมื่อก่อนหน้านี้ มีคนจำนวนมากที่เห็นใบหน้าด้านข้างของเทียนไห่เฉิงอู่ ในตอนก่อนหน้านั้นไปอีก กระทั่งมีคนที่พอจะได้ยินว่าทางด้านนั้นมีเสียงโต้เถียงกันเกิดขึ้น
ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่สามารถยืนยันได้คือ พวกเฉินฉางเซิงทั้งสามคนกับบุคคลสำคัญที่ออกไปแล้วผู้นั้นเกิดความขัดแย้งบางอย่างขึ้นมา
นั่นไม่ใช่บุคคลสำคัญธรรมดาๆ นั่นเป็นประมุขของตระกูลเทียนไห่
ไม่ว่าจะเป็นอัครเสนาบดีหรือเสนาบดีหกกรม ไม่ว่าจะเป็นหกผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายหลวงหรือเจ้าสำนักของหกสำนักไม้เลื้อย ก็ล้วนไม่อาจจะเทียบกับอำนาจของคนผู้นั้นที่ยิ่งใหญ่ล้นฟ้าในราชสำนัก
ในภายหลังพวกเฉินฉางเซิงทั้งสามคนถึงกับไม่เป็นอะไรเลย ถึงแม้เด็กหนุ่มเผ่าหมีที่ชื่อเซวียนหยวนผ้อผู้นั้นจะอนาถอยู่บ้าง แต่เขาถึงกับยังไม่ตาย
เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา สุดท้ายแล้วก็เป็นจุดจบเช่นนี้ จะให้ผู้คนในหอไม่ตกตะลึง ไม่เงียบเสียงกันได้อย่างไร
“ทุกคน ไม่มีอะไรแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว”
เถ้าแก่ที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์พลันปรากฏตัวขึ้นมา ถังซานสือลิ่วก็มีความเป็นเจ้าของคนใหม่ของหอเฉิงหูอย่างมาก เขาจึงโบกมือและยิ้มแย้มไปรอบด้าน พลางพูดขึ้น “กินกันต่อไปเลย ข้าไม่มีทางเลี้ยงพวกเจ้าแน่”
เมื่อพูดจบเขาก็พาเฉินฉางเซิงกับเซวียนหยวนผ้อเดินขึ้นไปที่ด้านบน ก็เป็นตอนนี้เอง คนผู้หนึ่งที่ก่อนหน้าได้ยินเนื้อหาที่พูดคุยกันในทางเดิน แน่นอนว่าก็เป็นคนอยากรู้อย่างเห็น จึงยืนขึ้นมาและเอ่ยถาม “คุณชายถัง หรือว่าหอเฉิงหูจะปิดทำการจริงๆ”
ถังซานสือลิ่วหยุดเท้าลง เขายืนอยู่บนบันไดแล้วหันกลับมามองผู้คนที่อยู่ภายในหอ พลันพูดขึ้น “เป็นเช่นนี้จริง”
ภายในโถงใหญ่ของหอเฉิงหูพลันเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมานับไม่ถ้วน และมีคนถามขึ้นมาอีก “ตอนนี้ใกล้จะถึงฤดูปูแล้ว นี่ไม่ใช่ว่าท่านจะทรมานพวกข้าหรือ”
มีคนถามขึ้นมาอีก “คุณชายถัง ต่อให้เตรียมจะตกแต่งจึงต้องปิดกิจการ ก็ต้องมีเวลาอยู่บ้างแหละ เมื่อไหร่ที่จะเปิดกิจการใหม่หรือ”
ถังซานสือลิ่วมองไปที่ฝูงคน และเผยรอยยิ้มที่มีความนัยแฝงอยู่ พลางพูดขึ้น “ที่สำคัญก็ต้องดูว่าข้ามีเวลาว่างมาดูแลกิจการตอนไหน”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ คิดถึงความนัยที่แฝงอยู่ ทุกคนก็กระจ่างขึ้นมา
ในตอนนี้ทุกคนล้วนรู้กัน ถังซานสือลิ่วเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง ที่พูดว่าเมื่อไหร่มีเวลาว่าง ที่สำคัญต้องดูว่าเขามีอารมณ์เมื่อไหร่ ตอนไหนที่เขาอารมณ์ดีขึ้นมา แน่นอนว่าก็เป็นตอนที่สำนักฝึกหลวงไม่มีเรื่องวุ่นวาย
หอเฉิงหูเป็นที่ที่ทำการค้าดีที่สุดในจิงตู ในเวลาเดียวกันก็เป็นหอสุราที่มีราคาแพงที่สุด คำว่าภายในวันเดียวก็ได้เงินทองเป็นกอบเป็นกำ ก็ยังไม่อาจนำมาใช้บรรยายความเร็วในการทำเงินของหอเฉิงหู ถังซานสือลิ่วเพื่อให้บุคคลสำคัญของตระกูลเทียนไห่ผู้นั้นไม่สามารถกินกุ้งมังกรสีครามกับปูในฤดูใบไม้ร่วง ถึงกับยอมเสียรายได้จำนวนมากโดยการปิดกิจการเป็นเวลานาน ทุกคนล้วนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงจนไร้คำพูด ในใจก็คิดว่าสมแล้วที่เป็นหลานเพียงคนเดียวของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย ช่างเอาแต่ใจจนถึงที่สุดจริงๆ
……
……
โต๊ะเพียงตัวเดียวที่ข้างรั้วบนชั้นบนสุดได้ถูกเก็บกวาดจนสะอาดแล้ว และมีผักผลไม้ที่สดใหม่นับสิบจานอยู่ด้านบน และยังมีชาอีกสามชนิดให้เลือกตามใจชอบ เซวียนหยวนผ้อไม่เคยมีประสบการณ์ชีวิตเช่นนี้ เมื่อมองเห็นถ้วยชามเครื่องเคลือบที่มีราคาแพงเหล่านั้นก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา ในใจคิดว่าบางขนาดนี้ถ้าไม่ระวังทำแตกขึ้นมาจะทำอย่างไร ขาวขนาดนี้ถ้าไม่ระวังทำสกปรกไปจะทำอย่างไร
“เจ้าก็ออกจะเอาแต่ใจเกินไปหน่อย” เฉินฉางเซิงมองถังซานสือลิ่วแล้วส่ายหน้าพูดขึ้น
ถังซานสือลิ่วพูดเย้ยขึ้นมา “ตาแก่นั่นชอบกินกุ้งมังกรสีครามของหอเฉิงหูที่สุด ปัญหาอยู่ที่ เขาทำให้ข้าอารมณ์ไม่ดี ทำไมข้าจะต้องให้เขาอารมณ์ดีด้วย”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “นั่นก็ไม่ควรที่จะไม่เห็นคุณค่าของเงิน”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ข้าค่อนข้างจะร่ำรวย”
เขาพูดประโยคนี้อย่างสงบ และเรียบเฉยอย่างมาก ไม่มีความโอ้อวดแต่อย่างใด เป็นเพียงการอธิบาย มีเพียงเช่นนี้ถึงจะทำให้เฉินฉางเซิงไร้คำพูด ในเวลาเดียวกันเขาก็นึกถึงตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมสวนหลีจื่อเมื่อปีก่อน สถานการณ์ตอนที่ตนเลี้ยงข้าวถังซานสือลิ่วเป็นครั้งแรก และนึกถึงว่าในตอนนั้นถังซานสือลิ่วพูดว่าตนกับสวีโหย่วหรงล้วนเป็นสหายที่ทำให้ผู้คนไร้คำพูด ก็อดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มและส่ายหน้าขึ้นมา
“ใช่แล้ว คนผู้นั้น…เป็นใครกันแน่” จนกระทั่งถึงตอนนี้เขาเพิ่งจะนึกถึงปัญหาที่แสนสำคัญข้อนี้ขึ้นมาได้
“เทียนไห่เฉิงอู่ ประมุขตระกูลคนปัจจุบัน” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “หลานแท้ๆ ของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ พูดอีกอย่างคือ ถ้าหากในอนาคตเหนียงเหนียงไม่คิดจะคืนตำแหน่งจักรพรรดิให้กับราชสกุลเฉิน เขาก็เป็นคนที่มีความเป็นไปได้สูงสุดที่จะเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปของต้าโจว”
เฉินฉางเซิงถึงได้รู้ว่าที่แท้ก็คือบุคคลสำคัญผู้นี้
เซวียนหยวนผ้อเพิ่งจะได้สติกลับมาจากความตกตะลึงในของตกแต่งที่หรูหราของชั้นบนสุดในหอเฉิงหูนี้ เขาคิดถึงเรื่องที่ถังซานสือลิ่วทำก่อนหน้านี้ที่ชั้นหนึ่ง ก็พูดต่อว่าขึ้น “เมื่อครู่ทำไมเจ้าถึงขวางข้าเอาไว้ เจ้ากลัวเขาหรือ”
ถังซานสือลิ่วกล่าวเย้ยหยันขึ้น “ข้าไม่ได้กลัวเขา ข้ากลัวว่าเจ้าไม่หลีกทางแล้วจะถูกคนฆ่าตาย!”
ไหนเลยที่เซวียนหยวนผ้อจะยอม เขาจึงพูดขึ้น “ตัวเขาที่มีสภาพผอมแห้งเช่นนั้น ข้าพุ่งชนแบบไม่ใส่ใจก็สามารถทำให้เขาตีลังกาไปสามตลบแล้ว”
ถังซานสือลิ่วพูดเย้ยหยันขึ้นมา “ผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสุดระดับรวบรวมดวงดาวที่นับจำนวนได้ของต้าโจว ยังจะสามารถปล่อยให้เจ้าชนจนตีลังกาได้หรือ เจ้าคิดว่าเขาเป็นต้นไม้ที่ข้างทะเลสาบเหล่านั้นหรือ ถึงจะสามารถปล่อยให้หมีควายอย่างเจ้าชนได้ตามใจชอบ”
เซวียนหยวนผ้อนิ่งอึ้งไป จะอย่างไรเขาก็นึกไม่ถึง ชายวัยกลางคนผู้นั้นที่ดูไปแล้วแสนจะธรรมดา ถึงกับเป็นผู้แข็งแกร่งในขั้นสูงสุดของระดับรวบรวมดวงดาว
เฉินฉางเซิงย้อนนึกกลับไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ทางเดิน โดยเฉพาะสีหน้าของเทียนไห่เฉิงอู่ในตอนนั้น ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าลมจากทะเลสาบที่พัดมาจากด้านนอกพลันเปลี่ยนเป็นเหน็บหนาวอย่างมากขึ้นมา เพราะว่าในใจของเขาเกิดความหนาวเหน็บขึ้นมา…ประมุขตระกูลเทียนไห่ผู้นี้ในตอนนี้มีจิตสังหารขึ้นมาจริงๆ แล้ว