บทที่ 780 ยังไม่สำนึกบุญคุณอีกรึ

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเป็นสมบัติเวทที่เหมาะกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะภายใต้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ระดับที่มากขึ้นแปรผันตรงกับความแข็งแกร่งของโล่ด้วยเช่นกัน เมื่อหลอมไปจนถึงระดับแปดแล้ว ก็จะสามารถปกป้องและสะท้อนการโจมตีกลับของทั้งพลังเทพและพลังเวทได้ถึงร้อยละ 40 ถือเป็นสมบัติล้ำค่าภายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เลยทีเดียว

แม้การหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับต้นๆ จะทำได้ง่าย แต่ยิ่งระดับสูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งหลอมยากขึ้นเท่านั้น แม้แต่ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวทของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เอง ก็ยังมีไม่ถึงสิบคนที่สามารถหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจนถึงระดับแปดได้!

ดังนั้น…ถึงแม้โล่นี้จะพบได้ทุกหนแห่ง และเป็นสิ่งของที่แลกเปลี่ยนกันทั่วไปภายในสำนัก แต่ส่วนใหญ่แล้วระดับของมันก็อยู่ที่ระดับสามหรือสี่เท่านั้น แค่เพียงระดับสามและสี่ก็ถือว่าเป็นสมบัติเวทสำหรับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณแล้ว ส่วนโล่ที่มีระดับความแข็งแกร่งระดับห้าขึ้นไปนั้นถือว่าหาได้ยากยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวทคนอื่นๆ ในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็คิดเช่นเดียวกับตอนที่หวังเป่าเล่อเห็นโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเป็นครั้งแรก ว่าโล่นี้น่าจะสามารถเสริมพลังให้สูงกว่าระดับแปดได้ โดยอาจพัฒนาไปได้ถึงระดับเก้า สิบ หรือมากกว่านั้นก็เป็นได้!

หลายคนมุ่งมั่นกับการค้นคว้าเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดนี้ไปให้ได้ หากทำสำเร็จแล้วละก็ ทั้งสถานะทางสังคมและการงานในสำนัก ย่อมก้าวหน้าไปจนถึงขั้นที่ไม่มีผู้ใดจะมาแทนที่ได้เลยทีเดียว!

แต่ยิ่งค้นคว้าไปไกลเท่าใด ก็ยิ่งพบว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกานั้นหลอมยากมากขึ้นเป็นเงาตามตัว จนถึงตอนนี้ ระดับการเสริมพลังสูงสุดของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาอยู่เพียงระดับแปดเท่านั้น ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อเสริมพลังโล่ได้ถึงระดับเจ็ด แต่ทฤษฎีและวิธีการหลอมที่ได้มาจากสูตรอาวุธเทพของเจ้าอู๋น้อย ทำให้เขาคิดการใหญ่ขึ้นมา

ชายหนุ่มได้รับความรู้มากมายจากการพยายามอ่านสูตร แม้เขาจะนำสูตรทั้งหมดมาใช้หลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถดึงเคล็ดลับบางส่วนมาใช้งานได้ การใช้สูตรจากอาณาจักรพิภพทมิฬนั้น เรียกได้ว่าเป็นทั้งการยืมและการคิดค้นสูตรลับเฉพาะตัวของหวังเป่าเล่อก็ว่าได้ ถือเป็นความดึงดันถึงสุดขีดที่จะบรรลุผลของชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อเดินหน้าหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาด้วยการสลักอักขระลงไปชั้นแล้วชั้นเล่า ซึ่งเรียกว่าการซ้อนอักขระนั่นเอง!

การสลักอักขราจารึกลงไปเป็นชั้นๆ นั้นทำเพื่อสองอย่าง อย่างแรกคือเพื่อสนองความคิดของหวังเป่าเล่อที่ว่า ในเมื่อระดับเจ็ดไม่เพียงพอต่อการใช้งาน เขาก็ต้องรวบรวม สลัก และซ้อนอักขราจารึกลงบนโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดของตนเองไปเป็นชั้นๆ เพื่อเพิ่มพลังให้โล่ตามทฤษฎี

เขาไม่ได้คิดสิ่งนี้ขึ้นเอง ความจริงแล้วผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ก็มีความคิดแบบเดียวกัน กระนั้นการจะทำสิ่งนี้ได้ก็ต้องจัดการปัญหาถึงสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือต้องดูให้แน่ใจว่าโล่จะทนต่อจำนวนอักขราจารึกที่เพิ่มขึ้นได้ และจะไม่แตกสลายลงเนื่องจากแบกรับพลังจำนวนมากเอาไว้ไม่ไหว ส่วนปัญหาที่สองคือการสร้างจำนวนอักขราจารึกที่ไม่ซ้ำกันให้มากพอที่จะสลักลงไปได้ เนื่องจากทุกสิ่งย่อมมีข้อจำกัดเสมอ

ปัญหาทั้งสองนี้เป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ขวางกั้นการใช้วิธีซ้อนอักขระ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวททำได้เพียงนั่งคิดและถอนหายใจเพราะไม่สามารถเอาชนะอุปสรรคทั้งสองไปได้

แต่วิธีที่หวังเป่าเล่อคิดได้นั้นคือการใช้วิธีการซ้อนอักขระรูปแบบที่สอง เขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากการถอดชิ้นส่วนและฝากปรสิตที่ระบุไว้ในสูตรอาวุธเทพจากอาณาจักรพิภพทมิฬเข้าไป เขาใช้สองวิธีนี้ในการผูกโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดหลายชิ้นเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างเป็นวงแหวนที่ใกล้เคียงวงแหวนปราณ!

แม้วงแหวนนี้จะดูไม่สมประกอบ แต่ทันทีที่รับการโจมตี มันจะสร้างพลังต้านกลับที่เท่าเทียมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับแปดเลยทีเดียว!

แม้สถานะที่ว่านี้จะไม่จีรังยั่งยืน แต่ข้อดีของวิธีนี้ก็มีอยู่มาก พลังป้องกันนี้เกิดจากการนำโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาหลายชิ้นมาซ้อนกัน เพื่อกระจายพลังการโจมตีให้โล่ทุกชิ้นโดยทั่วกัน ซึ่งนอกจากจะก่อกำเนิดเป็นพลังป้องกันที่ทำลายได้ยากแล้ว ระดับการป้องกันก็อาจจะมากกว่าร้อยละ 40 เลยทีเดียว!

ถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาในรูปแบบหนึ่ง จนอาจตั้งชื่อใหม่ให้อาวุธนี้ได้เลยด้วยซ้ำ เมื่อข่าวเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป ทั้งสำนักจะต้องตกใจอย่างแน่นอน!

แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจอย่างอื่นแม้แต่น้อยในตอนนี้ เขาหมกมุ่นอยู่กับการซ้อนอักขระและการผูกโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดเข้าด้วยกัน แม้แต่ตอนที่ได้รับข้อความจากเทพธิดาหลิงโยว เขาก็ตอบเพียงสั้นๆ และไม่ได้ใส่ใจมันมากนัก ยิ่งกับข้อความขอซื้อจั่วอี้เซียนจากผู้ฝึกตนหญิงอีกคนซึ่งอ้างว่าเป็นน้องสาวของเทพธิดาหลิงโยวยิ่งแล้วใหญ่

สำหรับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ หวังเป่าเล่อจะเมินทันที ความหมกมุ่นตัดขาดจากโลกภายนอกเช่นนี้ อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้หวังเป่าเล่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวทระดับสูงเฉกเช่นทุกวันนี้ก็เป็นได้

หลายวันต่อมา เมื่อชายหนุ่มผูกโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดสิบชิ้นเข้าด้วยกันได้สำเร็จ สิ่งประดิษฐ์ของเขาก็มีพลังเทียบเท่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับแปดในที่สุด!

แต่เขาไม่หยุดเพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อหมกมุ่นถึงขีดสุดกับการหลอมอาวุธเวทชนิดนี้ เขามองโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเบื้องหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำจากการอดนอน พูดพึมพำศัพท์เฉพาะที่ใช้ในการคำนวณซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ ครู่หนึ่งก็ยกมือขวาขึ้นโบก และเริ่มหลอมใหม่อีกครั้ง

คราวนี้เขาตั้งใจจะผูกโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดร้อยชิ้นเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างโล่ระดับเก้าซึ่งไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน!

เมื่อการสร้างโล่ระดับเก้าเสร็จสมบูรณ์ หวังเป่าเล่อที่กำลังลิงโลดกับความสำเร็จของตนเองก็ได้รับข้อความจากน้องสาวของเทพธิดาหลิงโยวอีกครั้ง เสียงของนางคราวนี้ดูไม่เป็นมิตรเป็นอย่างมาก นางยืนยันที่จะขอซื้อจั่วอี้เซียนต่อจากเขา

ซื้อจั่วอี้เซียนรึ หวังเป่าเล่อไม่ได้อ่านข้อความอย่างละเอียดด้วยซ้ำ แต่ก็บอกปัดไปในทันที หลังจากนั้นจิตใจของเขาก็จดจ่ออยู่กับการสร้างโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบ

คราวนี้เขาต้องใช้โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจำนวนมาก ชายหนุ่มจึงต้องขายเรือบินรบทำลายตนเองของเขาให้กองทหารวิหคน้ำแข็ง และใช้กำไรที่ได้ซื้อวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้

หวังเป่าเล่อหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดออกมา 500 ชิ้นด้วยกัน จากนั้นก็หลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบซึ่งฉีกทุกกฎเกณฑ์ขึ้นมาได้สำเร็จ!

โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบที่ไม่เคยมีมาก่อน มีพลังต้านการโจมตีถึงร้อยละ 80 เนื่องจากหลอมโดยใช้วิธีการซึ่งแตกต่างไปจากปกติ มันจึงสามารถสะท้อนทั้งพลังเทพและพลังเวทกลับไปใส่ศัตรูได้ถึงร้อยละ 80 ของพลังการโจมตีที่ได้รับมาเลยทีเดียว!

เพียงเท่านี้ก็ถือว่าน่ากลัวมากแล้ว แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ…หวังเป่าเล่อที่ยังไม่พอใจในผลงานของตนเอง!

ยังอ่อนแอเกินไป!

ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงขายทุกอย่างที่ตนเองมีเท่าที่จะขายได้ และสร้างโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดออกมาถึง 2,000 ชิ้น!

ชายหนุ่มผูกโล่ทั้งหมดเข้าด้วยกัน จนกลายเป็น…โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบสอง!

พลังสะท้อนการโจมตีของโล่นี้สูงเกิดขีดจำกัดไปถึงร้อยละ 20 เลยทีเดียว!

กล่าวโดยสรุปคือ…สำหรับสมบัติเวทที่มีคุณสมบัติคล้ายอาวุธเทพนี้ หากคู่ต่อสู้ไม่ได้ปล่อยพลังการโจมตีเต็มร้อยก็จะไม่เป็นไร แต่หากอีกฝ่ายระเบิดพลังใส่โล่เต็มที่แล้วละก็… คนผู้นั้นจะได้รู้ซึ้งถึงรสชาติของการตีแสกหน้าตนเองในทันที!

และหากผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวทคนอื่นของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ได้มาเห็นสิ่งที่สร้างขึ้นใหม่นี้กับตาตนเอง พวกเขาต้องรู้สึกตกใจกับความประหลาดของมันเป็นแน่… โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเป็นสมบัติเวทที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่เมื่อหวังเป่าเล่อนำมาดัดแปลง โล่นี้ก็กลายเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติไปในทันที

แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นแม้แต่น้อย ซ้ำยังคิดไปว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาชิ้นนี้ยังลึกลับไม่พอ เขาคิดอยู่สักพัก แล้วจึงปล่อยให้โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดเพียงชิ้นเดียวลอยวนอยู่รอบกาย ชายหนุ่มใช้ประโยชน์จากร่างอวตารของตนในการซ่อนโล่ที่เหลืออีกทั้ง 1,999 ชิ้นไว้ภายในกายตนเพื่อไม่ให้เตะตาผู้อื่น

ทันทีที่ซ่อนโล่ทั้งหมดได้สำเร็จ เขาก็พึงพอใจในผลงานของตนเองได้เสียที แต่ขณะที่กำลังจะเริ่มหลอมระดับสิบสามนั้นเอง เรื่องน่าเศร้าก็ชิงเกิดขึ้นเสียก่อน เขา…เงินหมด

ในตอนนั้นเองผู้ฝึกตนหญิงหัวรั้นที่ดึงดันจะซื้อจั่วอี้เซียนไปให้ได้ก็ส่งข้อความมาหาเขาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

“หลงหนานจื่อ ข้าอยู่นอกบ้านเจ้า วันนี้ข้าจะต้องซื้อสัตว์เลี้ยงตัวนี้กลับไปให้ได้!”

หลังจากฟังเสียงตามสายที่เกรี้ยวกราด หวังเป่าเล่อก็รู้สึกประหลาดขึ้นอีก เขาไม่ได้เดินออกจากบ้านในทันที แต่ส่งจิตของตนเองผ่านเจ้าลาเพื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก หลังจากที่พูดคุยกับเจ้าลาเรียบร้อย สีหน้าของเขาก็ปุเลี่ยนขึ้นอีก

สตรีที่อยากซื้อจั่วอี้เซียนเป็นหนึ่งในผู้ที่มาดูจั่วอี้เซียนและเจ้าอู๋น้อยต่อสู้กัน หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้นางอยากได้จั่วอี้เซียนถึงเพียงนี้ แต่นางมาที่หน้าบ้านหวังเป่าเล่อหลายรอบแล้ว ทุกครั้งที่มานางจะเอาอาหารมาให้จั่วอี้เซียนเสมอ อาจเป็นเพราะคิดว่าหวังเป่าเล่อไม่ดูแลเอาใจใส่สัตว์เลี้ยงของตนก็เป็นได้ จึงทำให้นางต้องการซื้อจั่วอี้เซียนไปดูแลเอง

หรือว่าการที่โดนข้าปฏิเสธไปหลายที ทำให้นางอยากได้มากขึ้นกันนะ หวังเป่าเล่อเกาคางตนเอง หรี่ตาลงครุ่นคิด เขาส่งกระแสจิตของตนเองออกไปอีกครั้ง และเห็นสตรีผู้นั้นกำลังลูบศีรษะจั่วอี้เซียนด้วยความรัก และพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ไม่ต้องกังวลไปนะ ข้าจะต้องพาเจ้ากลับไปด้วยให้ได้เลยในคราวนี้ ไอ้หลงหนานจื่อนี่จิตใจโหดร้ายเสียจริง ช่างไม่มีความเมตตาแม้แต่น้อย แล้วเจ้าละ…เจ้าชื่อเจ้าอู๋น้อยใช่หรือไม่ ข้าซื้อเจ้าด้วยก็ได้นะ เจ้าอยากไปกับข้าไหม”

เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าอู๋น้อยที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งก็อ้าปากหาวหวอด สีหน้าดูไม่สนใจแม้แต่น้อย ก่อนจะเอ่ยปากปฏิเสธนางไป

แต่จั่วอี้เซียนกลับพยักหน้าเบาๆ ตอบรับ เมื่อเห็นฉากนี้หวังเป่าเล่อก็เลิกคิ้วขึ้นและตั้งใจดูภาพตรงหน้าอีกครั้ง เขาเห็นความซาบซึ้งใจและความต้องการในแววตาของจั่วอี้เซียน ซึ่งทำให้หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง

ด้วยความที่เคยเป็นเจ้าพนักงานระดับสูงในสหพันธรัฐ ทำให้หวังเป่าเล่อมองคนออกในระดับหนึ่ง ชายหนุ่มรู้ได้ว่าความรู้สึกในแววตาของจั่วอี้เซียนมากกว่าครึ่งนั้นเป็นความรู้สึกที่แท้จริง และด้วยความที่เขารู้จักจั่วอี้เซียนดี หวังเป่าเล่อจึงรู้ว่าหมอนี่เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงไม่น้อย

ไม่สำนึกบุญคุณข้ารึ คิดว่าแม่นางคนนี้ดีกว่าข้าเช่นนั้นรึ ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจลึกๆ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย จั่วอี้เซียนเห็นแววตาของแม่นางคนนี้ และคิดคำนวณถึงข้อดีข้อเสียของการย้ายไปอยู่กับนางในใจ เขาคิดว่าแม้หวังเป่าเล่อจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่สถานะทางสังคมของเขาก็ยังเทียบกับน้องสาวของผู้บัญชาการกองทหารไม่ได้

แต่แม้จะตอบตกลงในใจไปแล้วพันรอบ เขาก็ยังกลัวหวังเป่าเล่ออยู่มาก จึงทำได้เพียงบุ้ยใบ้ให้นางไปเจรจากับหวังเป่าเล่อเท่านั้น

………………….