ตอนที่ 123 ปราชญ์อันดับหนึ่ง เป่ยเฉินอี้

 

 

 

สาวใช้ประจำกายไม่กล้าเอ่ยปากมากความอีก รีบร้อนสาวเท้าออกไป

 

 

ใบหน้าของหลินซูเหย่าเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ เดินลงไปนั่งที่เก้าอี้ยาว สีหน้ายังคงคล้ำง้ำงอ ไม่นานก็รู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนแผ่นตะปู ลุกขึ้นมา เดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้องตนด้วยความร้อนรน

 

 

ไม่ช้าสาวใช้ประจำตัวก็กลับมา

 

 

มองหลินซูเหย่ากล่าวว่า “หาพบแล้ว คุณชายเสี่ยวจิ่วออกตามหาร่องรอยของแม่นางเยี่ยเม่ยทั่วทั้งเมือง”

 

 

 “แม่นางเยี่ยเม่ย?” หลินซูเหย่าสงสัย

 

 

สาวใช้ตอบว่า “ถูกต้อง คุณหนู ท่านไม่ได้ออกไปข้างนอกหลายวัน ทั้งไม่ได้ยินเรื่องภายนอก ท่านไม่รู้ว่ายามนี้ในชายแดน คนที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดก็คือแม่นางเยี่ยเม่ยแล้ว ได้ฟังว่านางไม่เพียงแต่มีความสามารถเกินใคร ทั้งยังชำนาญการรบ แม่ทัพจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่านางคือยอดวีรสตรีด้วยซ้ำ”

 

 

สาวใช้เอ่ยคำพูดพวกนี้ ใบหน้าเผยความชื่นชมไม่น้อย

 

 

อย่างไรก็อยู่ในยุคที่สตรีต้องพึ่งพาบุรุษถึงมีชีวิตอยู่ได้ ขอเพียงมีฐานะสูงส่ง สตรีที่มีชาติกำเนิดดีงามถึงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในยุคสมัยนี้ เยี่ยเม่ยเป็นสตรีภูมิหลังไม่ชัดเจน กลับมีชีวิตอย่างดียิ่ง ทั้งยังได้รับความเลื่อมใสจากบุรุษจำนวนมาก สาวใช้ย่อมอิจฉานาง

 

 

เมื่อหลินซูเหย่าได้ฟัง มือที่กำผ้าเช็คหน้าไว้ยิ่งกำแน่นขึ้น “เจ้าบอกว่า นางคือสตรีที่ร้ายกาจมากผู้หนึ่ง หน้าตางดงามหรือไม่”

 

 

สาวใช้พยักหน้า “งดงาม ได้ยินว่าแม่นางเยี่ยเม่ยผู้นั้น ปกติไม่ชอบแต่งตัวเท่าไหร่ ทั้งยังใช้แป้งเครื่องประทินโฉมน้อยมาก แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ยังนับว่าเป็นนงคราญงดงามผู้หนึ่ง คุณชายเสี่ยวจิ่วติดตามข้างกายนาง เพียงแต่พวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์อันใด ยังไม่มีใครรู้”

 

 

เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ สาวใช้ก็เสริมขึ้นอีกว่า “จริงสิ องค์ชายสี่เองก็คล้ายจะชอบแม่นางเยี่ยเม่ยผู้นั้น ดังนั้นจึงยกอำนาจทางทหารให้นางทั้งหมด ทั้งยังมีคำลือว่าเช้าวันนี้ องค์ชายสี่กับเสี่ยวจิ่วต่อยตีกันเกี่ยวข้องกับแม่นางเยี่ยเม่ย เพราะว่าเกิดจากความหึงหวง”

 

 

เอ่ยถึงยามนี้ สาวใช้มองคุณหนูตนเองด้วยความเห็นใจ

 

 

ความจริงนางรู้เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเพราะบรรดาสาวใช้อย่างพวกนางแอบพูดคุยกันส่วนตัว แม้แต่นายท่านยังไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่สตรีมักมีสัมผัสที่หก ทั้งยังแม่นยำมาก ดังนั้นนางจึงเข้าใจเช่นนั้นจริงๆ

 

 

ทุกประโยคของสาวใช้ประจำกาย สีหน้าของหลินซูเหย่าก็ขาวซีดลงไปอีกครึ่งส่วน

 

 

รอจนสาวใช้เอ่ยจบ สีหน้าของหลินซูเหย่าราวภูตพราย ซีดเซียวราวหิมะ “เขา…ความหมายของเจ้าคือ เขามีคนในดวงใจแล้วหรือ”

 

 

สาวใช้ส่ายหน้า “ไม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคำเล่าลือจากด้านนอก ล้วนเป็นสิ่งที่พวกสาวใช้คาดเดา สุดท้ายเรื่องเป็นเช่นไร ถามเขาถึงจะชัดเจน อืม จริงด้วย ”

 

 

สาวใช้พลันคิดอะไรขึ้นมาได้อีก “คุณหนู มีเรื่องหนึ่งจะช่วยให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาแตกหักได้”

 

 

 “อ้อ?” หลินซูเหย่าแววตาวาวโรจน์ มองสาวใช้ “เรื่องอะไร เจ้ารีบพูดมา”

 

 

   ……

 

 

เมืองหลวงเป่ยเฉิน จวนเป่ยเฉินอี้

 

 

สวนดอกไม้ หินประดับล้วนทำมาจากหินหยกที่หายากในใต้หล้า ดอกไม้ใบหญ้าแปลกประหลาดรายทางยิ่งเห็นได้ยากยิ่ง

 

 

เซี่ยโหวเฉินภายใต้การชักนำของบ่าว เดินผ่านภูเขาจำลองไป

 

 

ส่วนเขาจำลองลูกนั้น แกะสลักมาจากหินหยกดำ เพียงพอทำให้เห็นความหรูหราของผู้เป็นนายของจวนอ๋อง หินหยกสลักยังดูโอ่อ่ากว่าในวังหลวงหลายส่วน

 

 

เมื่อมาถึงอีกฝั่ง เซี่ยโหวเฉินเห็นคนผู้หนึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป

 

 

ยังไม่ทันเข้าใกล้ กระแสลมกลุ่มหนึ่งก็พัดผ่านมา พุ่งกระทบใบหน้าของเซี่ยโหวเฉิน รู้สึกหนาวเหน็บขึ้นบ้าง แต่ไม่อาจทำร้ายคน

 

 

เซี่ยโหวเฉินสองมือไพล่หลัง มองเงาหลังที่หันให้ตนด้านข้างโต๊ะ

 

 

คนผู้นั้นนั่งอยู่บนรถเข็น

 

 

อาภรณ์สีดำปักลวดลายสีแดง ยิ่งเพิ่มความลึกล้ำอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของคนผู้นั้น สายลมพัดผมดำของเขาปลิวไสวไปตามชายชุดที่โบกพลิ้ว ยิ่งเผยพลังอำนาจที่ยากบดบัง มองจากที่ไกลๆ กลับมีไออหังการกระแสหนึ่ง

 

 

นั่นคือกลิ่นอายของผู้เป็นราชันย์

 

 

ก็ไม่แปลกที่ฮ่องเต้จะป้องกันคนผู้นี้ถึงขนาดนี้

 

 

งอบครอบผมสีทองอยู่กลางศีรษะเขา ขับให้ในความล้ำลึกของเขาแฝงความสูงศักดิ์ยากปิดบังไว้หลายส่วน เซี่ยโหวเฉินก้าวเท้ากว้าง ๆ เดินไปหาอีกฝ่าย

 

 

คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้น มองเซี่ยโหวเฉิน 

 

 

ชั่วขณะที่เงยหน้า ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นใบหน้างดงามจนชวนคนหยุดหายใจ ดวงตาหงส์รียาว เรียวคิ้วสูง  ริมฝีปากบางแต่ได้รูป ยามที่ดวงตาคู่นั้นหรี่มอง ก็สามารถทำให้คนรับรู้สึกถึงความอันตราย แพขนตายาวยิ่งส่งผลให้ดวงตาคู่นั้นของเขายากคาดเดาเหนือล้ำกว่าปราชญ์ทั้งปวง

 

 

เซี่ยโหวเฉินชะงักไปชั่วครู่ ประสานมือเอ่ยปากว่า “ท่านอาจารย์ ไม่พบกันเสียนาน”

 

 

เป่ยเฉินอี้ได้ฟังก็ก้มหน้าลง มองกระดานหมากของเขาอีกครั้ง เขาวางหมากดำตัวหนึ่งลงไป หมากดำล้อมหมากขาวทั้งหมดในกระดาน หมากขาวถูกกินเรียบ

 

 

เซี่ยโหวเฉินก้มหน้า มองรูปในกระดานหมากทีหนึ่ง ยามนี้หัวใจกระตุกเกร็ง

 

 

ทิศทางของหมากกระดานนี้ เป็นเช่นเดียวกับทิศทางสถานการณ์ของแผ่นดินในยามนี้ อีกทั้งจุดที่หมากดำวางลงไป ก็คือคำพูดที่วันนี้เขาบอกกับฮ่องเต้ วางหมากตัวเดียว ก็กำจัดหมากขาวไปทั้งกระดาน เช่นเดียวกับที่เขาคิดกำจัดเป่ยเฉินอี้

 

 

ดังนั้น…

 

 

นี่หมายความว่าอย่างไร

 

 

เป่ยเฉินอี้คาดเดาได้แล้วว่าตัวเขามาเพื่ออะไร อีกฝ่ายก็คาดเดาได้แล้วว่าตัวเขาเอ่ยอะไรกับฮ่องเต้ มีเป้าหมายอะไร

 

 

ในระหว่างที่จิตใจเซี่ยโหวเฉินอยู่ในอารมณ์ตื่นตระหนก

 

 

น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังของเป่ยเฉินอี้ค่อยๆ ดังขึ้น “หมากตัวนี้ของข้า อ่านใจเจ้าออกแล้วใช่หรือไม่”  

 

 

สิ้นเสียง มือของเป่ยเฉินอี้ก็รั้งออกมาจากกระดานหมาก   

 

 

เซี่ยโหวเฉินหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ทั้งเข้าใจว่าเป่ยเฉินอี้คาดเดาเรื่องเหล่านี้ได้ทั้งหมด แต่เขายังฝืนสงบนิ่ง นั่งลงตรงหน้าเป่ยเฉินอี้ “อาจารย์คาดเดาหมากของศิษย์ได้ เช่นนั้นอาจารย์คงรู้เป้าหมายที่ศิษย์มาแล้ว”

 

 

เป่ยเฉินอี้ยกมุมปากเล็กน้อย นั่นคือรอยยิ้มลุ่มลึกซ้ำยังยิ้มเยาะ “ไม่พบกันหลายปี ความในใจเจ้ายังคาดเดาได้ง่ายเช่นนี้ กาลเวลายังคงหมุนเวียนมีแต่วันคืนและอายุให้เพิ่มขึ้น แต่ไม่อาจลบล้างความโง่เขลาของคนผู้หนึ่ง”

 

 

สีหน้าของ เซี่ยโหวเฉินเปลี่ยนไปในบัดดล

 

 

ในใจกลับมีความไม่ยินยอมอยู่หลายส่วน มุมปากยิ้มเย็น สีหน้าเองก็คาดเดาได้ยากเช่นเดียวกัน มองเป่ยเฉินอี้อย่างไม่ยินยอมถอย เอ่ยว่า “ดีมาก ในเมื่ออาจารย์รู้แล้ว ฝ่าบาทจะส่งท่านไปชายแดน ท่านอาจารย์ยังรู้ว่านี่คือแผนการของเซี่ยโหวเฉิน ข้าก็รอดูว่าอาจารย์จะทำลายสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร”

 

 

นี่คือหมากตาย

 

 

อย่างน้อยเขา เซี่ยโหวเฉินก็มั่นใจว่า ใครก็ตามที่อยู่ในตำแหน่งของเป่ยเฉินอี้ ยากที่จะมีชีวิตรอดกลับมา

 

 

เป่ยเฉินอี้หัวเราะเบาๆ มอง เซี่ยโหวเฉิน เอ่ยช้าๆ ว่า “เช่นนั้นศิษย์ข้า เจ้าต้องชมดูให้ดี”

 

 

เซี่ยโหวเฉินตะลึงตะลาน

 

 

เซี่ยโหวเฉินวางหมากขาวลงไปในกระดานอีกครั้งหนึ่ง

 

 

คราวนี้สถานการณ์ในกระดาน เดิมทีหมากขาวที่สมควรตายเรียบ กลับพลิกผันไป หมากขาวยังตกอยู่ในอันตรายดังเดิม ผลจากการวางหมากลงไปตัวหนึ่ง หมากที่มีอันตรายไม่ใช่แค่หมากขาวเท่านั้น สถานการณ์ทั้งหมดในกระดานเปลี่ยนเป็นอันตรายขึ้นมาแล้ว

 

 

ไม่ว่าหมากดำ หรือหมากขาวก็ตาม

 

 

หาใช่แค่คำว่าแพ้ชนะสองคำระหว่างหมากอีกแล้ว สถานการณ์ทั่วทั้งกระดานยังถูกโค่นล้ม มีความเป็นไปนานาประการรวมถึงปัจจัยที่ไม่อาจคาดเดาได้อีก

 

 

หมากตัวเดียวของตน เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทั้งหมด ทำให้เป่ยเฉินอี้เดินผ่านด่านสำคัญนี้ไปได้ ยามนี้หัวใจ เซี่ยโหวเฉินพลันเย็นเยียบ

 

 

เป่ยเฉินอี้รั้งมือที่วางหมากกลับมา

 

 

จ้องมองเซี่ยโหวเฉิน สีหน้ายังคงเย็นชา “เซี่ยโหวเฉิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าสี่ปีก่อน หลังจากข้ากลับสู่ราชวงศ์เป่ยเฉิน ไฉนถึงรับเจ้าไว้เป็นศิษย์ ไฉนสอนวิชาวางแผนให้กับเจ้า”

 

 

 “เพราะว่า…” ขณะที่เซี่ยโหวเฉินกำลังจะตอบ

 

 

เป่ยเฉินอี้ตัดบทคำพูดของเขา “พอแล้ว เจ้ามิต้องเอ่ย เก็บการคาดเดาโง่งมของเจ้าซะ เจ้ายังจะเข้าใจว่าอะไรได้อีก นอกจากเจ้าฉลาดมากพอ ดังนั้นข้าถึงเห็นความสำคัญหรือ ข้าให้ความสำคัญกับเจ้าก็จริง เพียงแต่สิ่งที่ข้าเห็นนั้นหาใช่ความฉลาดของเจ้า แต่เป็นความไม่ยอมใครของเจ้า ในใต้หล้านี้ ในสายตาของเจ้าเซี่ยโหวเฉินมีเพียงปราชญ์อันดับหนึ่งเพียงผู้เดียวเท่านั้น ยามที่เจ้าคิดว่าเจ้าเหนือกว่าอาจารย์ เจ้าหลงคิดว่าตนฉลาดมากพอแล้ว สิ่งแรกที่เจ้าจะทำก็คือกำจัดข้า”

 

 

เซี่ยโหวเฉินสีหน้าแข็งทื่อ ทั้งขาวซีดขึ้นไม่น้อย มองเป่ยเฉินอี้ที่มีสีหน้าควบคุมทุกอย่างเอาไว้แต่แรก ในใจเขาพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี 

 

 

แล้วก็เป็นดังคาด เป่ยเฉินอี้มองเซี่ยโหวเฉินยิ้มจาง ๆ น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังดังขึ้นอีกครั้ง “ข้าคิดแล้ว ว่าเจ้าจะใช้วิธีอะไรมากำจัดข้า คิดไว้มากมาย ในที่สุดเจ้าก็ไม่ทำให้ข้าผิดหวัง เรื่องให้ข้าไปเผชิญหน้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่ชายแดน เซี่ยโหวเฉิน ข้าสมควรขอบคุณเจ้า เจ้าทำให้ข้าหลุดจากการกักขังที่เมืองหลวงเป็นก้าวแรก”

 

 

เซี่ยโหวเฉินตัวสั่น จวนเจียนจะร่วงล้มจากเก้าอี้

 

 

เขามองเป่ยเฉินอี้ด้วยความเหลือเชื่อ เอ่ยเสียงสั่นว่า “ท่าน ท่านบอกว่า ท่านรับข้าเป็นศิษย์ คือหมากที่วางไว้ตั้งแต่สี่ปีก่อน ก็เพื่อวันนี้ เพื่อให้ข้าวางกลอุบายต่อท่าน เช่นนี้ท่านถึงออกจากจวนอี้อ๋อง ไม่ถูกกักขังไว้ที่นี่อีกอย่างนั้นหรือ”

 

 

เป่ยเฉินอี้พยักหน้า น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังค่อยๆ กล่าว “ถึงเจ้าจะโง่งม แต่ก็ยังพอเยียวยาได้อยู่ เซี่ยโหวเฉิน เจ้าไม่เคยคิดเลยว่า การออกจากจวนอี้อ๋อง ถึงเป็นหมากก้าวแรกที่ข้าจำเป็นต้องทำในการก้าวออกสู่โลกภายนอกอีกครั้ง ส่วนเจ้ายังยินดีปรีดา หลงคิดว่าในที่สุดก็กำจัดข้าได้ นี่คือจุดเริ่มต้นของความโง่งมของเจ้า แต่ข้า…ชอบมาก”

 

 

เซี่ยโหวเฉินแทบไม่เชื่อสิ่งที่เขาได้ยิน ยิ่งไม่เชื่อว่าแผนการที่ตนหลงคิดว่ายอดเยี่ยม กลับอยู่ในแผนการของอีกฝ่ายตั้งแต่สี่ปีก่อน จนมาถึงวันนี้ก็อยู่ในการคำนวณของอีกฝ่ายด้วย

 

 

เซี่ยโหวเฉินลุกขึ้น เอ่ยด้วยโทสะ “ท่านเหลวไหล ต่อให้ท่านรู้ว่าต้องมีสักวันที่ข้าจะลงมือกับท่าน ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่า ยามนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะถูกฝ่าบาทส่งไปชายแดน” 

 

 

เอ่ยถึงจุดนี้ เซี่ยโหวเฉินพลันตระหนักว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง

 

 

จริงด้วย ตามหลักฝ่าบาทสมควรส่งองค์ชายใหญ่ไปแต่ครั้งนี้กลับผิดปกติ ส่งองค์ชายสี่ไป หรือว่าภายในเรื่องนี้…

 

 

เขามองเป่ยเฉินอี้อย่างไม่อยากเชื่ออีกครั้ง “นี่ก็เป็นแผนการที่ท่านวางแผนอยู่เบื้องหลัง”

 

 

เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วยิ้มออกมา เอ่ยช้า ๆ ว่า “นี่ก็ไม่ยาก ในมือขององค์ชายใหญ่มีอำนาจทางทหารมากมายแล้ว หาคนคอยยุแยงต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้สักหน่อย ฝ่าบาทย่อมระวังเป่ยเฉินเสียง ไม่กล้าเพิ่มกำลังทหารในมือเขา เพื่อให้บัลลังก์ฮ่องเต้มั่นคง ฝ่าบาททิ้งการใช้งานเป่ยเฉินเสียง มอบทหารสองแสนนายให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน  สำหรับข้าแล้วเพียงแค่กระพริบตาเท่านั้น ก็สามารถทำให้ฝ่าบาทเลือกออกมาได้ อย่างไรเสียในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย คนที่ออกไปรับศึกได้ นอกจากเป่ยเฉินเสียงก็มีแค่ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเท่านั้น”

 

 

เวลานี้ ในที่สุดเซี่ยโหวเฉินก็ยอมเชื่อแล้ว 

 

 

ในใจยิ่งหนาวเหน็บ เขาประเมินคนผู้นี้ต่ำเกินไป ประเมินอาจารย์ของตนต่ำเกินไป ประเมินปราชญ์อันดับหนึ่งในใต้หล้าต่ำเกินไป อีกฝ่ายถึงกับวางแผนการเอาไว้เช่นนี้ ที่น่าขันคือตนยังกลายเป็นหมากในสถานการณ์นี้ กลับไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยสักน้อย

 

 

เป่ยเฉินอี้ปรายตามองลูกศิษย์ ร่างของเขาแผ่ไอราชันย์ไปทั่วสารทิศ ฝุ่นดินฟุ้งตลบ

 

 

น้ำเสียงน่าฟังของเขาดังขึ้นอีกครั้ง “ขอบใจเจ้ามาก ศิษย์ข้า ช่วยให้ข้าหนีออกจากจวนอี้อ๋อง ก็คือจุดเริ่มต้นแห่งความโง่เขลาของพวกเจ้าทั้งหมด ทั้งเป็นจุดเริ่มต้นของการทำลายใต้หล้า”