เล่มที่ 18 ตอนที่ 19

Memorize

ตอนที่ 19 โดย ProjectZyphon

ในที่สุดวันแรกของการแลกอาวุธกันก็เริ่มต้นขึ้นด้วยความสามารถที่เหนือกว่าของเหล่าผู้เล่นทางฝั่งตะวันออก

ที่ราบของบาร์บาร่าที่เคยเป็นที่ภูมิใจเรื่องความกว้างใหญ่และความสวยงามอันแสนอบอุ่น บัดนี้กลับมีสภาพที่ต่างออกไปจากเดิมเหลือเกิน ที่ราบกว้างใหญ่ที่เคยเป็นระเบียบตอนนี้ถูกทำลายไปเสียสิ้น และเปลวไฟขนาดใหญ่พุ่งผ่านเขม่าควันสีดำที่กระจายอยู่โดยรอบออกมา ควันที่เกิดจากเปลวเพลิงฟุ้งหายไปในท้องฟ้าที่ถูกย้อมจนเป็นสีแดง

จากนั้นภายใต้ที่ราบที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงยามอัสดงไม่ต่างจากสีเลือด ก็เกิดเสียงรั้งสายธนูอย่างพร้อมเพรียงกันจากทัพที่สองดังขึ้นมาให้ได้ยิน เหล่านักธนูปล่อยลูกธนูที่เหนี่ยวเอาไว้ออกมาพร้อมกัน แม้ผู้บัญชาการทัพจะยังไม่ได้ให้สัญญาณใดๆ ตอนนี้เข้าสู่วันที่สามของสงครามแล้ว สถานการณ์ของเหล่าผู้เล่นราบรื่นขึ้นอย่างมากหากเปรียบเทียบกับวันแรก

ลูกธนูกว่าพันลูกถูกยิงขึ้นไปพร้อมกันจนอัดแน่นอยู่เต็มบนฟ้าตรงหน้าผมนี้ ลูกธนูมากมายที่พุ่งขึ้นไปบนฟ้าเหล่านั้นวาดออกเป็นเส้นโค้ง รวมทั้งวงโคจรที่ภาพจำแห่งพลังเวทได้ทิ้งเอาไว้ได้หายเข้าไปในกำแพงเมืองเรียบร้อยแล้ว

ในทางเทคนิคนั้นหากเราสนใจเพียงแง่ของ ‘การทำลาย’ ก็จะเห็นได้ว่าลูกธนูมีอานุภาพในการทำลายล้างน้อยกว่าพลังเวท แต่หากจะมีข้อดีที่พอจะทำให้มองข้ามข้อเสียของมันไปได้ก็เห็นจะเป็นการยิงที่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว

การยิงอย่างรวดเร็วเป็นครั้งที่สองช่วยสกัดพวกศัตรูที่กำแพงเมืองเอาไว้ได้ และในระหว่างที่บรรดานักธนูกำลังพยายามเบี่ยงเบนความสนใจอย่างเต็มที่ ทางด้านเหล่าผู้เล่นในทัพที่สามก็กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมตัวอย่างลับๆ เพื่อเข้าโจมตีอีกฝ่ายในครั้งเดียว

“ยิง!”

คำสั่งการที่ตอนนี้กลายเป็นว่ารู้สึกคุ้นเคยกับมันไปแล้วดังแหวกอากาศขึ้นมา และในขณะเดียวกันนั้น ไพ่ที่ถูกโยนขึ้นไปบนอากาศก็กำลังเปล่งแสงเรืองรองอย่างสวยงาม จากนั้นไพ่จึงได้สร้างม่านสีเขียวอ่อนรูปทรงสี่เหลี่ยมพุ่งไปยังด้านหน้าของกำแพงเมือง

เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น แต่หากจะให้เลือกผู้เล่นสองคนที่ทำให้เหล่าศัตรูหวั่นเกรงได้มากที่สุดก็เห็นจะเป็นพี่ชายผมผู้เป็นดั่งมันสมองและนักมายากลไพ่ทาโร่ต์ซอนยูล

สายฟ้าฟาดผ่าเปรี้ยงลงไปยังทุกพื้นที่ที่ว่างเปล่าตามการควบคุมพลังเวทที่เป็นไปอย่างแม่นยำ และความสามารถในการมอบผลที่พิเศษให้กับพลังเวทนับร้อยในคราวเดียวช่างเป็นสิ่งที่ยุ่งยากและงี่เง่าเสียจนหากผมคิดว่ามันเป็นศัตรูของผมล่ะก็ ผมอาจจะจะด่าออกมาแล้วก็ได้

“เร่งความเร็ว!”

มันคือผลแบบพิเศษที่สามารถเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นได้ ทันใดนั้นวงโคจรของพลังเวทนับร้อยที่พุ่งทะยานผ่านม่านเวทออกไปก็เปลี่ยนไปพร้อมกัน ความเร็วที่ผมเห็นยิ่งเร็วมากขึ้นไปอีกระดับมุ่งตรงไปยังประตูใหญ่ด้วยความเร็วดั่งน้ำหลาก

จากนั้นเพียงแค่พริบตาเดียว กลุ่มพลังเวทนับร้อยก็พุ่งเข้าชนประตูใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามที่ประตูใหญ่กลับมีแผ่นป้องกันขนาดใหญ่โตห่อหุ้มเอาไว้โดยรอบหลายชั้นราวกับว่าพวกเขารู้ทันความตั้งใจของเราที่จะโจมตีไปตรงนั้น

ระยะห่างจากประตูใหญ่มีเพียงแค่สองร้อยเมตรเท่านั้น แต่เนื่องจากเป็นการปะทะที่ค่อนข้างรุนแรง ทำให้ประกายไฟที่เกิดจากการปะทะนั้นระเบิดพวยพุ่งขึ้นมาไม่ต่างจากน้ำในลานน้ำพุก่อนจะกระจายเป็นละอองแล้วโปรยปรายลงมาจากฟ้า

ฝั่งหนึ่งพยายามจะบุกฝ่าเข้าไป อีกฝั่งก็พยายามจะขัดขวาง สถานการณ์การประชันกำลังครั้งยิ่งใหญ่นี้กำลังจะได้รู้ผลในเร็วๆ นี้แล้วว่าใครคือผู้ที่อยู่เหนือกว่า

ปัง! ปัง!

พลังเวทที่ทะลุผ่านม่านเวทเข้าไปพุ่งเข้าชนประตูใหญ่ของบาร์บาร่าอย่างแรงทันที เสียงเหล็กประตูดังสนั่นไปทุกทิศทุกทาง

หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง ควันไฟที่เกิดจากการปะทะค่อยๆ จางหายไป รูปร่างของประตูปรากฏให้เห็น ถึงแม้ว่าจะทลายได้ไม่หมดในครั้งเดียว แต่ก็ถือว่าผลของมันค่อนข้างชัดเจนทีเดียว

รูเว้าโค้งสลักอยู่ทุกพื้นที่บนม่านเวทดังเช่นรอยยับบนกระดาษ ถึงแม้จะยังไม่สามารถทะลุได้ในคราวเดียว แต่หากเราโจมตีเข้าไปอีกครั้งหนึ่งด้วยพลังขนาดเท่ากับก่อนหน้านี้ เราอาจจะทะลุผ่านม่านเวทเข้าไปได้

เกิดเสียงตะโกนโห่ร้องเล็กๆ ออกมาจากเหล่าผู้เล่นที่กำลังมองดูประตูใหญ่อยู่ ราวกับว่าพวกเขาเหล่านั้นก็คิดเหมือนกันกับผม

ในตอนนั้นเอง

ปัง!

มีระเบิดเกิดขึ้นมากะทันหัน ผมหันมองขึ้นไปทางกำแพงเมืองโดยอัตโนมัติเพราะเสียงระเบิดดังสนั่นราวกับมีใครฟาดอะไรขึ้นไปบนอากาศ ไม่สิ ความจริงผมแทบจะไม่ต้องมองดูเลยด้วยซ้ำ เพราะมันคือเสียงระเบิดของคาถาขนาดใหญ่ซึ่งยิงกันไปมาจนเบื่อกันไปข้างที่ระเบิดขึ้นมา

แต่ว่า…เสียงมันดูจะดังกว่าปกตินะ?

แต่มันยังไม่จบเพียงแค่นั้น

ชิ้ง! ชิ้งงง!

ฝั่งตะวันออกที่เป็นที่หนึ่งมาตลอดในการต่อสู้ทั้งสี่วัน ตอนนี้ได้เข้ามาอยู่ในระยะกระสุนเพื่อที่จะรักษาความเป็นอันดับหนึ่งเอาไว้ให้มั่น แต่ว่านอกจากพลังเวทที่เป็นเรื่องแน่นอนแล้ว ยังมีลูกธนูและหอกจำนวนมหาศาลพุ่งออกมาจากกำแพงเมืองราวกับฝนตกกระหน่ำ

ตอนนี้ฝั่งตะวันออกมุ่งโจมตีหมดทั้งสี่ทิศ เพราะแบบนั้นพวกศัตรูจึงได้แบ่งกำลังทหารไปตามแต่ละมุมของกำแพงเมืองและให้ความสำคัญกับการป้องกันการโจมตี จากช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้ผมพอจะกะประมาณขนาดการโจมตีได้คร่าวๆ บ้างแล้ว แต่การโจมตีที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ค่อนข้างผิดไปจากที่คาดไว้มากจริงๆ

แต่ผมก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้อยู่ ว่านี่เป็นการดิ้นรนอย่างหนึ่งนั่นเอง

ประตูใหญ่ถือว่ามีความหมายที่สำคัญมากๆ ในสงครามปิดล้อม แต่เพราะวิธีการป้องกันที่สำคัญเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่นั้นสลายหายไปเพราะการโจมตีเพียงครั้งเดียว ก็ไม่แปลกถ้าทำให้พวกเขาเกิดบ้าดีเดือดขึ้นมาเพื่อที่จะรักษามันเอาไว้ให้ถึงที่สุด การโจมตีขนาดใหญ่กว่าที่คิดที่เกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่ามีการรวมกำลังพลจากกำแพงเมืองฝั่งอื่นๆ เอาไว้ด้วย

“ป้องกัน!”

“รีเฟลคท์ชิลด์!”

เหล่านักบวชประจำทัพที่สี่โต้กลับอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่สิ ไม่ได้มีเพียงแค่นักบวชเท่านั้น ผู้เล่นคนอื่นๆ เองก็รู้สึกว่าการโจมตีครั้งนี้ผิดปกติเช่นกัน รวมทั้งเหล่านักเวทประจำทัพที่สามที่เพิ่งจะร่ายเวทเสร็จสิ้นก็เข้าร่วมในการร่ายเวทป้องกันด้วย ก่อนจะเกิดเป็นม่านกึ่งโปร่งแสงขึ้นมาหลายทบห่อหุ้มรอบกระบวนทัพของฝั่งตะวันออกเอาไว้ในเวลาเดียวกันนั้นเอง

จากนั้นไม่นานพายุลูกธนูและหอกที่ทะลุแหวกสายลมมาก็พุ่งตกลงไปยังทัพของฝั่งตะวันออกอย่างรุนแรงและรวดเร็ว

หลังจากนั้นก็พุ่งเข้าชนโล่ป้องกันที่ห่อหุ้มพวกเราเอาไว้อยู่อย่างมั่นคงเข้าอย่างจัง

ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บบบ!

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!

“อึก!”

“อ๊ากกก!”

คงเพราะเป็นการยิงพลังเวทอย่างกะทันหัน ทำให้สามารถเห็นพลังเวทได้ทุกชนิดที่ด้านนอกของโล่ป้องกัน ลูกไฟที่มาจากการระเบิดลุกไหม้ลามไปทั่วทั้งโล่และหอกแห่งน้ำแข็งอันแหลมคมก็เสียบเข้ามาที่มุมหนึ่งของโล่เช่นกัน พายุนั้นพุ่งชนโล่ป้องกันอย่างแรงราวกับพายุฝนห่าใหญ่ จากนั้นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานก็ดังขึ้นมาจากทุกหนทุกแห่ง

การระดมยิงที่พวกศัตรูเลือกใช้ในการโต้กลับตามความพออกพอใจของตนนั้นเป็นไปอย่างดุร้าย และแม้ว่าพวกเขาจะแบ่งความสนใจไปที่แต่ละทัพมากพอๆ กับที่สนใจเราแต่นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขาเอง ไม่ว่าจะระดมพลมามากเพียงใด แต่กำลังอาวุธที่ถูกระดมยิงออกไปก็เป็นภาระอันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เหล่าผู้เล่นที่ถูกแบ่งออกเป็นสี่ทัพจะทนไหว

ยิ่งเวลาผ่านไปสิ่งที่ดูคล้ายจะเป็นพายุก็ค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นเพียงลมอ่อนๆ แต่โล่ป้องกันที่เคยมั่นคงแข็งแรง กลับกำลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ราวกับว่าเหล่าผู้เล่นเองก็รู้สึกได้เช่นกัน ผู้เล่นที่มีคลาสอื่นซึ่งยืนอยู่ที่แถวหน้าสุดต่างยกโล่กำบังขึ้นมาทีละคนสองคน เหล่านักบวชเองก็หันมาร่ายมนตร์คาถาขนาดเล็กให้กับโล่กำบังของเหล่าผู้เล่นแทนที่จะไปเสียเวลากับโล่ป้องกันขนาดใหญ่ เพราะมีนักเวทที่คุ้นชินกับการร่ายเวทด้วยความรวดเร็วอยู่มาก ทำให้เราสามารถประหยัดเวลาในการเพิ่มโล่ป้องกันไปได้บ้าง

ในเวลาเดียวกันนั้นเองเสียงที่ถูกขยายของแคลนลอร์ดโครยอก็ดังก้องขึ้นมา

[ทุกคน ถอยมาข้างหลัง!]

มีคำสั่งให้ถอยทัพออกมาเพื่อที่จะลดความเสียหายแม้ว่าจะเสียดายประตูใหญ่ที่ทลายลงได้แล้ว แต่ดูเหมือนเขาตัดสินใจจะเล็งหาโอกาสอื่นมากกว่าที่จะต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่แบบนี้

เหล่าผู้เล่นของฝั่งตะวันออกเริ่มถอยหลังกลับโดยยังคงรักษากระบวนทัพเอาไว้ตามเดิม

และในตอนนั้นเอง

ครืนนน…

จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงกระแสพลังเวทขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ ใหญ่มากจนไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับกระแสพลังเวทที่เราใช้ในการโจมตีและตั้งรับกันได้เลย

แสงยามอัสดงที่เคยย้อมที่ราบแห่งนี้จู่ๆ กลับมืดลงมาทันใด คอผมร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลความรู้สึกร้อนรุ่มจู่โจมไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย

นี่มัน…?

สัญญาณในหัวดังเตือนว่าภัยกำลังจะมา ผมยกมือขึ้นไปที่หูโดยทันทีก่อนจะกำเกียรติยศแห่งวิคตอเรียที่ถูกเปลี่ยนสภาพเอาไว้

และทันใดนั้น

กร๊าซซซ!

เสียงคำรามดังสนั่นที่มาพร้อมกับความร้อนดังเปลวเพลิงเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งที่ราบไม่ต่างอะไรกับลมพายุหมุน เสียงคำรามนั้นดังจนผืนดินที่ผมเหยียบและอากาศที่ลอยละล่องอยู่บนผืนฟ้าต้องสั่นสะเทือนแปรปรวนกันไปหมด

เมื่อผมกำลังนึกสงสัยกับเสียงกรีดร้องแสบแก้วหูที่ดังขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด พลันผมก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจกลัวจากเหล่าผู้เล่นที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

“อะ อ๊ากกก! มะ มังกร!”

มังกรหรือ?

มังกรไม่มีทางที่จะออกมาในตอนนี้ แม้ผมจะยังมีความรู้สึกไม่ยอมรับอยู่ในหัวเพราะรู้ความจริงข้อนั้นดี แต่ก็ยังแหงนมองขึ้นไปบนฟ้าตามสัญชาตญาณ พลันผมก็ได้เห็นพระอาทิตย์สองดวงฉายแสงอยู่บนท้องฟ้าทางทิศตะวันตกของกำแพงเมือง

ไม่สิ สิ่งนั้นไม่ใช่ดวงอาทิตย์ เป็นเพราะแสงสว่างจ้าที่ส่องมาทำให้เกิดเป็นภาพลวงตาขึ้นมาพักหนึ่ง แต่หลังจากที่ผมกะพริบตาไปสักสองสามครั้ง ผมก็ได้เห็นว่ามันคือ ‘มังกร’ จริงๆ

หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ลูกไฟที่ประกอบกันเป็นรูปร่างของมังกร หัวมังกรที่มีสองเขางอกออกมาจากปลายสุดของลำคอยาว สองปีกแห่งเปลวไฟที่งอกออกมาจากหลังและส่วนลำตัวขนาดมโหฬาร ไปจนถึงหางที่วาดเป็นตัวเอสรูปร่างเดียวกับงูขนาดมหึมา ทั้งหมดนั้นคือรูปร่างของมังกรที่กำลังพ่นไฟออกมาอย่างต่อเนื่อง

พรึ่บ! พรึ่บ!

เจ้ามังกรค่อยๆ บินหมุนวนอยู่บนท้องฟ้าไปอย่างช้าๆ ช้ามากเหลือเกิน หลังจากที่บินวนอยู่อย่างนั้นประมาณสามสี่รอบ มันก็กางปีกที่ลุกไหม้ของมันออกไปด้านข้าง และเมื่อผมรีบหันไปมองตามมัน ผมก็ได้เห็นว่ามันไม่ได้มุ่งไปด้านหน้าแต่กลับไปทางทิศตะวันตกแทน

เจ้ามังกรเริ่มขยับปีกกว้างพร้อมแผดเสียงคำรามออกมาอีกครั้ง ระยะห่างระหว่างขบวนทัพฝั่งตะวันออกและมังกรเริ่มลดลงทุกครั้งที่สองปีกนั้นขยับขึ้นลง แค่นี้ก็ชัดเจนเกินพอ

เจ้ามังกรแห่งเปลวเพลิงตัวนี้ คิดจะพุ่งทะยานเข้ามายังทัพฝั่งประตูตะวันตกทั้งตัวแล้วกวาดทั้งทัพเสียให้ราบเป็นหน้ากลอง

คิดจะผ่าเข้ามากลางวงอย่างนั้นหรือ? หรือจะกันไม่ให้เราถอยหลังกัน?

เหล่านักเวทและบรรดานักบวชต่างมุ่งความสนใจไปที่การรักษาสภาพของเวทป้องกันไว้จนทำให้การถอยทัพช้าลงตามไปด้วย แต่หากจะให้ล้มเลิกการป้องกันแล้วตั้งหน้าตั้งตาถอยทัพก็อาจจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนักได้อีกเหมือนกัน ความคิดผยองที่จะรักษาความเป็นที่หนึ่งในสงครามเอาไว้ บัดนี้กลับกลายเป็นการต้อนทัพฝั่งประตูตะวันตกให้จนมุม

กร๊าซซซ!