ผจญภัยชมตลาด
ชั่วครู่นั้นที่จิ่งเหิงปัวฟื้นขึ้นมา ถ้ำมืดมิดแสนน่ากลัวก่อนที่นางจะสลบไสลก็ปะทะเข้าสู่สมองทันที นางตกใจจนยังไม่ทันได้ลืมตาก็กรีดร้องออกมาเสียงหนึ่ง
เสียงร้องน่าเวทนาคล้ายกับว่าถูกสังหาร
จากนั้นนางถึงได้รู้สึกว่าตนเองได้ถูกโอบเข้าไปในอ้อมแขนหนึ่งในทันที คนผู้นั้นใช้มือท่าทางติดจะงุ่มง่ามเล็กน้อยตบหลังปลอบประโลมนางทีละครั้ง ทีละครั้งราวกับตบหลังหมาน้อย
จิ่งเหิงปัวถูกตบหลังจนตาสองข้างกลอกกลิ้งเป็นสีขาว แต่จิตใจที่หวาดกลัวกลับค่อยๆ สงบลงอย่างน่าประหลาด กลิ่นอายบริเวณปลายจมูกคล้ายกับว่าคุ้นเคยอยู่บ้าง ด้วยทั้งสดชื่น ทั้งเหน็บหนาวและบริสุทธิ์อบอุ่น เป็นกลิ่นอายที่ทำให้จิตใจคนสงบลง
ดวงตาที่ลืมขึ้นมาหลังนอนหลับไปนานพร่ามัวอยู่บ้าง นางมองเห็นแสงไฟเป็นสิ่งแรก แสงไฟที่สว่างไสวอย่างยิ่ง ทำให้รู้สึกสบายใจในทันที
รอจนกระทั่งมองเห็นได้อย่างชัดเจนนางก็เบิกตากว้างอีกครั้ง…ไอ้เวรเอ๊ย! ต้องขนาดนี้เลยเหรอ? แสงสว่างไสวเต็มห้องนั้นก็มาจากการจุดเทียนไขขนาดใหญ่เท่าแขนเด็กทั้งหมดสิบแปดเล่ม!
สิ้นเปลือง!
ผู้ที่ตบหลังให้นางอยู่รู้สึกถึงการฟื้นคืนสติของนางแล้ว หลังจากนั้นสายตาของเขาก็กระปรี้กระเปร่ายิ่งยวดอย่างกะทันหัน ทว่าคล้ายรู้สึกตัวอะไรขึ้นมา จึงผลักนางออกอย่างรวดเร็วในทันที
จิ่งเหิงปัวถูกผลักจนชนเข้ากับผนังหัวเตียง โชคดีที่ว่าบริเวณผนังหัวเตียงนั้นล้วนเป็นผ้าห่มกับที่นอนหนานุ่ม ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด
นี่ใครกัน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเหมือนไอ้ติ๊งต๊องเลย?
ขณะที่จิ่งเหิงปัวกำลังครุ่นคิดว่าควรจะขอบคุณหรือว่าควรด่าเจ้าคนนี้ดี คนที่บริเวณขอบเตียงนั้นก็ยืนขึ้นมาแล้ว เขาหันหลังจากไปโดยที่ไม่แลมองนางสักแวบเดียว จิ่งเหิงปัวหรี่ตาลงจำแนกเงาด้านหลังของเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะอ้าปากกว้างด้วยความตื่นตะลึงแล้วรีบเร่งขยี้ตาอีกครั้ง
นางก็ไม่ได้ตาฝาดไป
นั่นมันกงอิ้นนี่!
จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นนั่ง ท่อนล่างคลุมผ้าห่ม ครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายแล้วจึงได้ข้อสรุปที่ปรากฏเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ออกมา
เมื่อครู่เจ้าคนนี้คงอยากฟาดนางให้สลบไปแน่ แต่หลังจากถูกนางมองจนเกิดมโนธรรมในใจแล้วถึงไม่ได้ลงมืออย่างเ**้ยมโหดอีกต่อไป!
จากนั้นนางก็คิดอย่างสิ้นหวังว่า ไม่ว่านางหลบลี้อย่างไร สุดท้ายตนเองก็ยังต้องตกอยู่ในกรงเล็บมารของกงอิ้นอยู่ดีน่ะหรือ?
ตอนนี้นางก็ไม่มีเรี่ยวแรงอะไรจะไปดิ้นรน นางใจเต้นเร็ว หายใจถี่รัว เวียนหัว ตาพร่า ทั่วร่างไร้เรี่ยวแรง
ครั้งนี้ก็ป่วยจริงๆ เสียแล้ว เหตุผลหนึ่งด้วยเพราะตกใจกลัว ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งด้วยเพราะก่อนหน้านี้เดินทางในป่าไม้ ถูกไอชื้นอากาศหนาวจู่โจมเข้า
จิ่งเหิงปัวซุกตนเองในผ้าห่ม ไม่อยากเคลื่อนไหวและไม่อยากครุ่นคิดเนื่องจากเกียจคร้าน พี่เป็นอย่างนี้แล้ว เจ้าอยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ
เสียงเปิดประตูดังขึ้นเพียงครั้ง ผู้ที่เข้ามานั้นคือกงอิ้น ในมือของเขายกถ้วยยาร้อนผ่าว
จิ่งเหิงปัวคิดอย่างตื่นตระหนกว่า นี่คงไม่ใช่ยาพิษหรอกกระมัง?
แล้วมองท่าทางการเดินของกงอิ้นอีกครั้ง เอ๊ะ เหตุใดเขาถึงเดินขาเป๋เล่า?
กงอิ้นไม่ได้มีสีหน้าอะไร เพียงแต่สบสายตาที่เปี่ยมด้วยความสืบเสาะของนาง นั่งลงที่ขอบเตียงของนางอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด พร้อมผลักถ้วยยามาเบื้องหน้านาง
“ดื่มยา” เขาเอ่ย
จิ่งเหิงปัวกลอกตาขาวด้วยความเบื่อหน่าย มีใครดูแลคนป่วยแบบนี้ด้วยหรือ? เหตุใดมหาราชครูสูงศักดิ์ล้ำค่าอย่างเขาถึงต้องมาดูแลนางด้วยเล่า ให้ชุ่ยเจี่ยหรือจิ้งอวิ๋นมาก็ไม่ดีกว่าหรืออย่างไร นางสบายใจ เขาก็สบายใจด้วย
“มือข้าเจ็บ ยกไม่ไหว”
คิ้วเรียวยาวของกงอิ้นขมวดหากันน้อยๆ สายตาชำเลืองมองนางปราดเดียว ลักษณะท่าทางไม่อยากคล้อยตามสักเพียงน้อย กลับเอ่ยว่า “เจ้าอยากให้ข้าป้อนยาให้เจ้าหรือ?”
“อ๊ะ อย่านะ!” จิ่งเหิงปัวตกอกใจตกใจ ไม่กล้าเล่นเนื้อเล่นตัวอีกเพื่อเลี่ยงหลีกไม่ให้ฝันร้ายกลายเป็นจริง นางลุกขึ้นนั่งให้ดีก่อนจะยกถ้วยยามาทันที ดื่มจนหมดในอึกเดียวด้วยเสียงดังอึกๆๆ เพียงแวบเดียวก็เห็นถึงก้นถ้วย ท่าทางสดชื่นราวดื่มสุราแล้วกล่าวว่า “เรียบร้อย”
เมื่อวางถ้วยยาลง เดิมนึกก็นึกว่ามหาเทพน่าจะแสดงออกว่าพึงพอใจ ผลสุดท้ายดูท่าทางเจ้าคนนี้คล้ายกับจะยิ่งไม่พอใจ ใบหน้าดำคล้ำมากขึ้น
“ให้ข้าป้อนยาก็น่ากลัวเพียงนั้นเชียวหรือ?” เขาเอ่ยถาม
จิ่งเหิงปัวงงงันไปสามวินาที
จู่ๆ ก็มีความอยากปะทะคารม รู้สึกว่าเหตุใดพอฟื้นขึ้นมาโลกก็เปลี่ยนไปแล้ว ตนเองไม่สบาย กงอิ้นก็ไม่ปกติ
ตกลงจะเอาอย่างไงกันแน่ หา!
นางถลึงตาใส่ถ้วยยารอให้เขาไสหัวไป ส่วนกงอิ้นถลึงตาใส่นาง ทั้งสองคนไม่ยอมอ่อนข้ออย่างประหลาดไปชั่วครู่ สุดท้ายยังคงเป็นกงอิ้นที่เอ่ยปากขึ้นก่อน
“เจ้าไม่รู้สึกว่าขมหรือ”
จิ่งเหิงปัวชะงักไป ตอนนี้จึงสังเกตได้ว่าในมือของเจ้าคนนี้ยังถือถ้วยเล็กใบหนึ่งเอาไว้ ในถ้วยนั้นคือลูกอมไส้บ๊วยเคลือบน้ำตาล
จิ่งเหิงปัวกะพริบตาปริบๆ ความรู้สึกประหลาดในใจยิ่งรุนแรงมากขึ้น
สมองของกงอิ้นถูกประตูหนีบหรืออย่างไร หรือว่าเขาถูกฟ้าผ่า? ทะลุมิติหรือ มีวิญญาณอีกดวงหนึ่งเกิดใหม่ในร่างของเขาหรือ?
แบบสุดท้ายดูจะเป็นไปได้มากที่สุด
“พวกนางเอ่ยว่าหลังจากดื่มยาแล้วคงจะอยากกินของหวานสักหน่อย” กงอิ้นสบสายตาอัปลักษณ์ของนาง อธิบายอย่างยากลำบากอยู่บ้าง
เขานึกถึงสายตาตื่นตะลึงของจิ้งอวิ๋น ครั้งที่ไปขอคำแนะนำจากนาง สีหน้าก็พลันแข็งทื่อขึ้นมาบ้าง
จิ่งเหิงปัวยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้าคนนี้เกิดใหม่แล้วแน่นอน!
“ได้ๆ กินลูกอมๆ” นางยิ้มแย้มเบิกบาน หยิบลูกอมไส้บ๊วยเม็ดหนึ่งขึ้นมากินพร้อมฉวยมือยัดอีกเม็ดหนึ่งไปในปากเขา พลางกล่าวว่า “มา กินด้วยกันเถิด”
กงอิ้นแข็งทื่อไปทั่วร่าง
กลิ่นหอมของยาเจือจางที่ปลายนิ้วสตรี ซ้ำยังมีกลิ่นหอมจากผิวกาย เล็บลื่นเกลี้ยงเกลาดุจศิลาหยกเล็กกระจ้อยเม็ดหนึ่ง ยามจากไปเล็บของนางคล้ายสะกิดเกาถึงริมฝีปากของเขา เขาพลันรู้สึกว่าบนริมฝีปากร้อนวูบวาบแผ่วเบา
ลูกอมไส้บ๊วยเม้มอยู่ระหว่างริมฝีปากอย่างเงียบเชียบ สัมผัสรสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ เช่นนี้เป็นครั้งแรกดุจดั่งจิตใจในยามนี้
สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปน้อยๆ โดยพลัน รู้สึกตัวว่าหมู่นี้ตนเองคล้ายจะออกนนอกกฎเกณฑ์มากเกินไปแล้ว
ยามนี้กินลูกอมด้วยกันกับนางก็ยิ่งรู้สึกเหลวไหลมากขึ้น
หากยามนี้พวกเขาอยู่ในต้าฮวงที่มีศัตรูแข็งแกร่งทั่วหัวระแหง หากนางได้เป็นราชินีแล้ว หากนางได้คบค้าสมาคมกับผู้คนกลุ่มหนึ่งนั้น หากเขาต้องปฏิบัติหน้าที่แห่งราชครู…
เกรงว่าลูกอมเม็ดหนึ่งนี้คงไม่อาจยื่นออกมา และยิ่งไม่อาจเข้าสู่ปากของเขา
อาจจะเป็นเพราะออกมานานเกินไป ลาจากต้าฮวงที่ภายนอกสงบสุข ภายในลวงโลกนานเกินไป กระทั่งเขายังสูญเสียจิตใจที่ระแวดระวังและกระทำความผิดพลาดมากเกินไป
เขาค่อยๆ คายลูกอมออกมา พลางสบสายตาไม่เข้าใจของจิ่งเหิงปัว
“ข้าไม่กินของเหล่านี้” เขาเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “เจ้าพักผ่อนให้มาก”
จิ่งเหิงปัวค้นพบอย่างผิดหวังว่ามหาเทพกงไม่ได้เกิดใหม่ เจ้าคนน่าเบื่อนั่นกลับมาอีกแล้ว
บรรยากาศของทั้งสองคนน่าอึดอัดขึ้นมาทันทีจนนางอยากหาเรื่องราวมากล่าวสักหน่อย เช่นนั้นก็พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน ตบขอบเตียงแล้วถามเขาทันทีว่า “เออ จริงสิ ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นหรือ ผู้ใดขังข้าไว้ในห้องมืดหวังทำร้ายข้ากัน เจ้าจับไอ้งั่งนั่นได้หรือไม่ ลากเขามา ข้าจะเฉือนแล้วค่อยฆ่า ฆ่าแล้วค่อยเฉือน ทั้งเฉือนทั้งฆ่าเขาสักหนึ่งหมื่นครั้ง!”
สีหน้าของกงอิ้นแข็งทื่อ
จิ่งเหิงปัวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พูดน้ำไหลไฟดับระบายความโกรธแค้นในใจ เมื่อกล่าวจบแล้วก็เงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างงงงันว่า “เจ้าเป็นอะไรไป? เหตุใดสีหน้าถึงย่ำแย่เช่นนั้นเล่า จับเขาไม่ได้หรือ”
มหาเทพอาจจะจับคนร้ายไม่ได้ จึงรู้สึกว่าเสียหน้ากระมัง?
กงอิ้นกระแอมไอเสียงหนึ่ง ก่อนจะกระแอมไออีกเสียงหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองเขาอย่างสนใจไม่เบา เพราะรู้สึกว่าสีหน้าบนใบหน้าของมหาเทพกงในตอนนี้ทั้งหลากหลาย ทั้งมีสีสันเป็นอย่างมาก น่ามองกว่าสีหน้าที่สูงส่งเย็นชาในเวลาปกติมากนัก
กงอิ้นไอออกมาแล้วก็คล้ายกลัวว่านางจะซักถาม จึงยื่นมือช่วยนางสอดชายผ้าห่มเข้าใต้ผ้าห่มทันที ท่วงท่าที่สอดชายผ้าห่มดูเป็นธรรมชาติอย่างมาก จากมุมสายตาของจิ่งเหิงปัวก็มองเห็นมุมปากเรียวบางแดงฉ่ำเม้มอย่างแผ่วเบาดุจดอกท้ออ่อนนุ่มกลีบหนึ่งในวสันตฤดูของเขาได้พอดิบพอดี ขนคิ้วสีดำขลับวาดโค้งเรียวยาวไปถึงปลายจอนผม ความรวดเร็วเฉียบขาดหลายส่วนกลับถูกสอดประสานด้วยความอ่อนโยนดั่งธาราในสายตายามนี้
จิ่งเหิงปัวมองเขาอย่างตกตะลึงด้วยไม่รู้ว่าเอ็นเส้นไหนของเขาที่วางผิดที่ผิดทาง
จากนั้นจึงมองจ้องดวงหน้าเงียบสงัดของเขาเช่นนี้ นางกลั้นหายใจไว้ทันที รู้สึกเพียงว่าตะลึงพรึงเพริ้ดอย่างน่าประหลาด ไม่กล้าและเสียดายหากกล่าววาจา คล้ายเสียงวาจานั้นจะรบกวนชั่วขณะนี้ บรรยากาศประหลาดไหลเวียนระหว่างคนทั้งสอง
พอนางกลั้นหายใจ เขาก็กลับคลับคล้ายตกใจตื่นโดยพลัน มือชะงักค้างหยุดการกระทำ
จากนั้นมือของเขาก็หดกลับไปจากข้างชายผ้าห่มนางอย่างรวดเร็ว เมื่อเอ่ยปากอีกครั้ง ความอ่อนโยนเมื่อครู่ก็สลายหายดุจคล้ายความรู้สึกลวง เสียงยังคงสงบเย็นชาเช่นนั้น
“คนป่วยไข้ต้องมีท่าทีเช่นคนป่วยไข้ เหตุใดจึงพะวักพะวนมากมายเช่นนั้นเล่า เจ้านอนไปเถิด”
จิ่งเหิงปัวคว้าชายผ้าห่มไว้ มองเขาอย่างแปลกประหลาดแล้วกระซิบกระซาบกล่าวว่า “สีหน้าบนใบหน้าของเจ้าคล้ายมีสองอักษรเขียนไว้ว่าใจฝ่อ?”
กงอิ้นลากชายผ้าห่มขึ้นไปอุดปากที่เอ่ยวาจาจุกจิกของนางไว้ หางตาชำเลืองมองถ้วยยาคล้ายพึมพำกับตนเองว่า “เจ้าไม่อยากนอนหรือ? เช่นนั้นก็ยกมาอีกสักถ้วย!”
จิ่งเหิงปัวกัดชายผ้าห่มไว้ ทั้งไม่อยากดื่มยา ทั้งในใจไม่พอใจ กล่าวเสียงอือๆ อาๆ ว่า “วันนี้เจ้าดูแปลกไปทุกสิ่ง…”
กงอิ้นคล้ายกับอยากยัดจะถ้วยนั้นเข้ามาในปากนางเหลือเกิน อีกทั้งคล้ายอยากจะรีบไปทันที ทั้งอยากไป แต่ก็ยังคล้ายจะลังเลอยู่บ้าง โชคดีที่ขณะนี้มีเสียงเปิดประตูดังขึ้นช่วยแก้ไขสถานการณ์ยุ่งเหยิงของมหาเทพ
จิ่งเหิงปัวเลิกเปลือกตาชำเลืองมองแวบเดียว สิ่งที่เข้ามาก่อนกลับเป็นขนสีแดงหย่อมหนึ่งบนหัว
เจ้าหมาโง่มาเยี่ยมไข้แล้ว