ตอนที่ 219-1 สร้างความรำคาญใจต่อเนื่อง

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

“เคารพพระชายา” สวีโย่วที่รออยู่ข้างนอกกล่าวเสียงเรียบ ช่วงเวลาส่วนใหญ่เขายังคงเรียกจิ้น

 

 

พระชายาว่าพระชายา ไม่ใช่เสด็จแม่ เสด็จแม่ของเขาคือคนอื่น แม้นางจะจากไปนานแล้ว ซ้ำยังให้ร่างกายที่ทรุดโทรมแก่เขาไว้ แต่เขาก็ยังไม่คิดจะเปลี่ยนเสด็จแม่คนใหม่

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องเดินออกมาจากห้องด้านใน ก็เห็นลูกเลี้ยงนั่งดื่มชาอยู่ข้างนอก ตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ ต้องรู้ว่าคุณชายใหญ่ท่านนี้ไม่เคยเคารพตนมาก่อน นางไม่ใช่ไม่เคยคิดจะร้องทุกข์เรื่องนี้ แต่นางเพิ่งจะเอ่ยปากก็ถูกองค์หญิงใหญ่เปลี่ยนคำพูด ขึ้นเสียงสูงชื่นชมนางว่าเป็นสตรีมีสติปัญญา บอกว่านางเห็นใจคุณชายใหญ่ที่ร่างกายอ่อนแอ ยังตั้งใจเลี่ยงการเคารพของเขา เป็นสตรมีคุณธรรมที่หาได้ยากในราชสำนัก คนอื่นๆ ย่อมพากันเห็นด้วย นางถูกดักทางแล้ว ย่อมไม่กล้าเอ่ยเรื่องคุณชายใหญ่ไม่เคยเคารพนางขึ้นมาอีก และตั้งแต่ตอนนั้นเอง นางกับองค์หญิงใหญ่ก็ไม่ถูกกันมากขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งเจอหน้าก็ยังนิ่งเฉย

 

 

ตอนนี้คุณชายใหญ่ผู้นี้คาดไม่ถึงว่ามาเคารพนางเป็นครั้งแรก นางมองเสิ่นซื่อที่นอบน้อมเชื่อฟังปราดหนึ่ง คล้ายคิดอะไรอยู่ บนใบหน้าก็มีรอยยิ้มที่เป็นมิตรปรากฏขึ้นอีกครั้ง กล่าวหยอกล้อ “เฮ้อ อย่างไรเสียก็เป็นคู่ข้าวใหม่ปลามัน เพียงจากกันครู่หนึ่ง คุณชายใหญ่ก็ตัดใจไม่ได้ จึงมาเป็นเพื่อนเสียเลย” สายตาของนางทอดมองออกไปด้วยความอ่อนโยน “พวกเจ้าสองสามีภรรยารักใครกลมเกลียวกัน ข้าก็วางใจแล้ว”

 

 

“เสด็จแม่” เสิ่นเวยเรียกอย่างงอนง้อหนึ่งครา หน้าแดงก้มศีรษะงุด ราวกับดอกบัวที่เหนียมอายหนึ่งดอก

 

 

ทว่าสวีโย่วกลับสีหน้าเรียบเฉย “เสิ่นซื่อเป็นคนโง่ มาเคารพพระชายาครั้งนี้หากเดินหลงทางก็จะไม่ดี”

 

 

“ดูคุณชายใหญ่พูดเข้า อยู่ในจวนตัวเองจะเดินหลงทางได้อย่างไร บ่าวรับใช้ทั่วทั้งจวนมีไว้ทำไมกัน” พระชายาจิ้นอ๋องแสร้งโมโหต่อว่าสวีโย่วหนึ่งประโยค

 

 

สวีโย่วกระตุกมุมปากไม่พูด ความหมายลึกซึ้งที่ปรากฏอยู่ในแววตากลับทำให้พระชายาจิ้นอ๋องใจเต้นอย่างอดไม่ได้

 

 

ในตอนนี้เองฮูหยินสามหูซื่อก็มาถึงแล้ว นางมองเห็นสวีโย่วอยู่ด้วยก็ประหลาดใจเช่นกัน ทันใดนั้นก็ยกยิ้มทั้งใบหน้า กล่าว “พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองมาถึงแล้ว ดูท่าแล้วข้าจะมาช้าที่สุด เสด็จแม่ เช้านี้ร่างกายลูกไม่ค่อยสบายเล็กน้อย จึงล่าช้าไปพักหนึ่ง ท่านโปรดอภัย” ขณะที่นางพูดมือขวาก็ค้ำเอวอย่างอดไม่ได้

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องตื่นตระหนกดังคาด รีบถาม “ไม่สบายอย่างไร เชิญหมอแล้วหรือยัง ตอนนี้เจ้าเป็นคนสองชีวิตแล้ว ไม่อาจสะเพร่าเป็นอันขาด เจ้าเองก็เหมือนกัน ไม่สบายก็นอนพักอยู่บนเตียง จะวิ่งมาที่นี่ทำไม ข้าจะตำหนิเจ้าได้อย่างไร เฝ่ยชุ่ย ยังไม่รีบพยุงฮูหยินของเจ้านั่งลงอีก หวาเยียน ไปเอาหมอนหนุนหลังมาให้ฮูหยินสาม”

 

 

หูซื่อตั้งครรภ์ จิ้นหวังเผยรำพึงรำพันอยากอุ้มหลานชายอยู่ ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับครรภ์นี้ของนางเป็นอย่างมาก

 

 

หูซื่อชายตามองเสิ่นเวยกับอู๋ซื่อปราดหนึ่ง จากนั้นก็ยืดท้องตรง ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มภูมิใจ “เสด็จแม่เมตตา ลูกก็ยิ่งไม่อาจสะเพร่า เสด็จแม่วางใจ หมอตรวจดูแล้ว ไม่เป็นไรแล้วลูกจึงมา” เหอะ พวกเจ้ามาเช้าแล้วอย่างไร ต้องคลอดบุตรชายได้จึงจะถูก ขณะที่นางคิดเช่นนี้ มือก็ลูบท้องที่นูนป่องของตัวเอง หมอหลวงบอกแล้วว่า ครรภ์นี้แปดเก้าในสิบน่าจะเป็นลูกชาย

 

 

หากเสิ่นเวยรู้ความคิดในใจหูซื่อ จะต้องเหยียดหยามแน่นอน สตรีขอเพียงแค่ให้กำเนิดได้ก็สามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ เป็นเรื่องที่ไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องเกิดมิใช่หรือ ต่อให้อู๋ซื่อคลอดบุตรชายไม่ได้ ซื่อจื่อก็สามารถแต่งอนุภรรยาได้มิใช่หรือ ถึงตอนนั้นก็อยู่ภายใต้นามของอู๋ซื่อ เลี้ยงดูเหมือนบุตรภรรยาเอกเช่นเดียวกัน สะใภ้บ้านหนึ่งบ้านสามเช่นเจ้าตั้งครรภ์แล้วจะได้อะไร เจ้ารับรองได้หรือว่าในท้องเจ้าจะเป็นลูกชาย ช่างไม่รู้อะไรเสียเลยจริงๆ

 

 

“นั่นก็ไม่อาจประมาทได้ แม่รู้ว่าเจ้าเป็นเด็กกตัญญู แต่บุตรชายสำคัญที่สุด ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเจ้าไม่ต้องมาเคารพอีก สงบจิตใจบำรุงครรภ์อยู่ในเรือน ให้กำเนิดหลานชายอ้วนพีคนหนึ่งให้แม่จึงจะถูก” จิ้น

 

 

พระชายากล่าว จากนั้นก็หันหน้าสั่งแม่นมซือ “อีกประเดี๋ยวเจ้าไปเลือกยาบำรุงชั้นดีในคลังส่วนตัวของข้าแล้วส่งไปที่เรือนของฮูหยินสาม”

 

 

หูซื่อประหลาดใจที่ได้รับความโปรดปราน “ลูกขอบคุณเสด็จแม่ที่เมตตา ยาบำรุงเสด็จแม่เก็บไว้ใช้เถิด ที่เรือนลูกมี”

 

 

ทว่าพระชายาจิ้นอ๋องกลับกล่าว “ให้เจ้าเจ้าก็รับไว้ แม่จะขาดยาบำรุงกินได้อย่างไร ที่ข้ายังมี เจ้าใช้หมดแล้วก็มาเอาไปได้ เจ้ามีสองชีวิตแล้ว ต้องบำรุงให้ดี ถึงตอนนั้นก็คลอดหลานชายอ้วนๆ ให้ข้า”

 

 

หูซื่อยิ้มอย่างภูมิใจยิ่งกว่าเดิม เป็นฮูหยินสามในจวนจิ้นอ๋อง จะขาดยาบำรุงกินได้อย่างไร นางเองก็ไม่ใช่คนโง่เขลาเบาปัญญาเช่นนั้น พระชายาจิ้นอ๋องยอมให้เช่นนั้นก็ชัดเจนว่าเห็นความสำคัญของนาง ประโยชน์ของร่างกายสำคัญยิ่งกว่ายาบำรุงมากนัก

 

 

เสิ่นเวยสังเกตเห็น ตอนที่พระชายาจิ้นอ๋องเอ่ยถึงหลานชายตัวอ้วนพี มือของอู๋ซื่อข้างๆ นางก็กำผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าก็ไม่ค่อยดีนัก ใคร่ครวญเล็กน้อยก็เข้าใจแล้ว ลูกๆ ของอู๋ซื่อมีเพียงบุตรสาวสองคน จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีบุตรชายข้างกาย แม้แต่บุตรอนุภรรยาก็ยังไม่มี พระชายาจิ้นอ๋องทำเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการแทงใจดำนางหรือ

 

 

อาหารเช้าจัดวางเรียบร้อยแล้ว คนเป็นลูกสะใภ้ต้องปรนนิบัติแม่สามีกินข้าว หมายความว่าแม่สามีกินข้าว ลูกสะใภ้ก็จะยืนปรนนิบัติ คีบกับข้าวส่งจานให้เป็นต้น

 

 

เมื่อพระชายาจิ้นอ๋องนั่งลงแล้ว อู๋ซื่อก็ไปยืนอยู่ข้างหลังนางตามความเคยชิน เสิ่นเวยเองก็ลุกขึ้นยืนตาม หูซื่อเห็นท่าทีก็แสร้งกำลังจะลุกขึ้นยืน ถูกพระชายาจิ้นอ๋องห้ามไว้ “เจ้ามีสองชีวิตแล้ว ไหนเลยจะยังปรนนิบัติข้าได้อยู่ รีบนั่งลงกินข้าวเถอะ” จากนั้นก็หันหน้าบอกอู๋ซื่อกับเสิ่นเวย “เจ้าสองคนก็นั่งลงกินข้าวด้วย ข้าไม่ใช่คนแก่อายุแปดสิบ ไม่ต้องให้พวกเจ้ามาปรนนิบัติ ไม่ใช่ว่ายังมีสาวใช้หรอกหรือ”

 

 

อู๋ซื่อไหนเลยจะยอม นางไม่มีบุตร ซ้ำยังไม่ยอมให้แต่งอนุภรรยาคนอื่น พระชายาก็ตำหนินางเล็กน้อยแล้ว นางไหนเลยจะกล้าละเลยการปรนนิบัติ “ลูกปรนนิบัติเสด็จแม่ทานอาหารเป็นสิ่งสมควรมิใช่หรือ เสด็จแม่ท่านให้ลูกได้ใช้โอกาสแสดงความกตัญญูเถิด”

 

 

เสิ่นเวยเองก็พยักหน้าคล้อยตาม

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องหัวเราะ “กตัญญูก็ไม่ต้องขนาดนี้ นั่งเถอะ นั่งเถอะ ภรรยาโย่วเอ๋อร์กับภรรยาเยี่ยเอ๋อร์นั่งลงให้หมด ไม่จำเป็นต้องทำพิธีเหล่านี้เอาหน้าแม่ โดยเฉพาะภรรยาโย่วเอ๋อร์ เจ้าเพิ่งแต่งเข้าเรือน มาชิมกับข้าวในเรือนแม่เสียหน่อย”

 

 

อู๋ซื่อเองก็กล่าว “ใช่แล้วพี่สะใภ้ใหญ่ ท่านนั่งเถิด เสด็จแม่ให้ข้าปรนนิบัติคนเดียวก็พอแล้ว”

 

 

เสิ่นเวยไม่ตกหลุมพรางนี้ “น้องสะใภ้รองนั่งเถอะ เจ้าปรนนิบัติเสด็จแม่มานานเพียงนั้นแล้ว วันนี้โอกาสนี้ให้ข้าทำเถอะ” พูดพลางผลักอู๋ซื่อให้นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ ตนเองกลับไปยืน หยิบตะเกียบบนโต๊ะส่งให้พระชายาจิ้นอ๋องด้วยความเคารพ “เสด็จแม่ ท่านอยากกินจานไหน ให้ลูกช่วยท่าน” นางเบียดหวาเยียนออกไปข้างๆ

 

 

“นี่…นี่…ดูเจ้าเด็กคนนี้สิ” พระชายาจิ้นอ๋องแสดงท่าทีฝืนใจอย่างถึงที่สุด แต่มุมปากกลับยกขึ้นมา พอใจต่อการปรนนิบัติที่กระตือรือร้นของเสิ่นเวยเป็นอย่างมาก นางมองลูกเลี้ยงที่นั่งอยู่ตรงมุมปราดหนึ่งเงียบๆ เห็นเขาหลุบตาดื่มชา ไม่ได้มองมาทางฝั่งนี้อย่างสิ้นเชิง ในใจก็ยิ่งมีความสุข

 

 

ไม่ใช่ว่าเจ้ามีฝีมือมากนักหรือ เสิ่นซื่อไม่ใช่ยืนปรนนิบัติข้าพระชายาทานข้าวหรือ อืม ดูท่าแล้วเด็กชั่วคนนี้คล้ายใส่ใจเสิ่นเวยยิ่งนัก หากควบคุมเสิ่นซื่อได้… ดวงตาของพระชายาจิ้นอ๋องเป็นประกาย

 

 

แต่ไม่ทันไรพระชายาจิ้นอ๋องก็ดีใจไม่ออกแล้ว ไม่ใช่อื่นใด ถูกเสิ่นซื่อสะใภ้โง่ผู้นี้ทำให้โมโหแล้ว เห็นชัดๆ ว่าสายตาของนางมองแตงกวา แต่ที่เสิ่นซื่อช่วยนางคีบกลับมาคือเต้าหู้จานข้างๆ หากครั้งนี้ครั้งเดียวก็ยังดี แต่กับข้าวที่เสิ่นซื่อคีบกลับมาทุกครั้งล้วนแต่ไม่ใช่อาหารที่นางต้องการ นี่จะให้นางกินอย่างไร

 

 

มิหนำซ้ำเสิ่นซื่อยังโน้มน้าวด้วยความกระตือรือร้นอยู่ข้างๆ บ้างก็ว่าเต้าหู้นี้เคี้ยวง่าย บ้างก็ว่ากับข้าวนั้นมีคุณค่าทางสารอาหาร บ้างก็ว่าจานนี้กินแล้วดีต่อสุขภาพของผู้อาวุโส…

 

 

นางแก่มากนักหรือ แก่มากนักหรือ แก่มากนักหรือ

 

 

อาหารที่ถูกบ่าวรับใช้นำมาวางได้ ย่อมเป็นอาหารที่พระชายาจิ้นอ๋องชอบทาน แต่ก็ต้องแบ่งเป็นลำดับสามห้าหกเก้ามิใช่หรือ แต่เผชิญหน้ากับใบหน้ายิ้มแย้มที่กระตือรือร้นของเสิ่นซื่อ นางสามารถพูดได้หรือ ด้วยนิสัยขี้ขลาดนั้นของเสิ่นซื่อคงจะไม่ร้องไห้ให้นางดูเลยหรือ ฝั่งนั้นยังมีเทพเจ้าแห่งกาฬโรคนั่งอยู่หนึ่งองค์

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องกัดฟัน กินเข้าไป

 

 

เสิ่นเวยก็ดีใจแล้ว ราวกับได้รับการยืนยัน คีบกับข้าวจำนวนมากเข้ามาอีกครั้ง “ในเมื่อเสด็จแม่ชอบทานจานนี้ เช่นนั้นก็ทานเยอะๆ หน่อย เมื่อครู่ลูกยังกังวลว่าตัวเองจะเลือกผิด คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญทำได้จริงๆ ฮ่าๆ เสด็จแม่ท่านทานเยอะๆ นะเพคะ” มือของเสิ่นเวยเร็วอย่างยิ่ง หนึ่งอย่าง สองอย่าง สามอย่าง คีบกับข้าวที่พระชายาจิ้นอ๋องไม่ชอบกลับมาทั้งหมด อีกทั้งยังมองดูด้วยความคาดหวัง “เสด็จแม่ ท่านรีบกินสิเพคะ”

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องอัดอั้นใจจริงๆ รอยยิ้มบนใบหน้ากลับก็แทบจะประคองไม่อยู่แล้ว “พอแล้วๆ ภรรยาโย่วเอ๋อร์รีบไปนั่งเถอะ มีน้ำจิตน้ำใจก็พอแล้ว เจ้าเองก็หิวมาทั้งเช้า รีบกินรองท้องสักหน่อยเถอะ”

 

 

ทว่าเสิ่นเวยกลับไม่ขยับ โบกมือกล่าว “ไม่เป็นไรลูกไม่หิว วันนี้ลูกตื่นเช้า กินอาหารเช้ามาแล้ว เสด็จแม่ ลูกเพิ่งเข้าเรือน ท่านต้องชี้แนะลูกให้มากหน่อย” สีหน้าบนใบหน้าของนางจริงใจยิ่งนัก!

 

 

เบื้องลึกในจิตใจของเสิ่นเวยมีคนตัวเล็กกระโดดโลดเต้น ลาลาลา ข้ากินอิ่มมาแล้ว ไม่กลัวเจ้าถ่วงเวลาหรอก ลาลาลา ข้าแข็งแรง อย่าว่าแต่ยืนทั้งเช้า ให้ยืนทั้งวันก็ไม่มีปัญหา ลาลาลา…

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องหน้าดำคร่ำเครียดแล้ว รู้สึกเพียงแค่นางค่อนข้างไม่ถูกกับเสิ่นซื่อผู้นี้ เสิ่นซื่อเล่นงานนาง นางกินลวกๆ ไม่กี่คำก็วางตะเกียบแล้ว

 

 

เสิ่นเวยกล่าวด้วยความเป็นกังวล “เสด็จแม่ เหตุใดท่านถึงกินน้อยเพียงนี้ ร่างกายไม่สบายหรือ แม่นมซือ รีบไปเชิญหมอ เสด็จแม่ร่างกายไม่สบาย” นางหันหน้าสั่ง

 

 

แม่นมซือย่อมไม่กล้ามองข้าม นางเองก็รู้สึกว่าพระชายามีตรงไหนผิดปกติ มิเช่นนั้นเหตุใดถึงไม่อยากอาหารเช่นนี้ เมื่อก่อนพระชายาไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องรีบห้ามนาง “กลับมา ข้าไม่เป็นไร” หันหน้าตบมือของเสิ่นเวยกล่าวอธิบาย “ข้าสบายดี เพียงแค่ตอนนี้ไม่หิวแล้วก็เท่านั้นเอง”

 

 

เสิ่นเวยยังคงไม่วางใจทั้งใบหน้า “เสด็จแม่ท่านไม่เป็นไรจริงๆ หรือ ปกปิดอาการป่วยเพราะกลัวการรักษาไม่ได้นะเพคะ อาหารป่วยส่วนใหญ่ก็เกิดจากการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ทั้งนั้น ท่านไม่อยากอาหารเพียงนี้ ลูกเป็นห่วงจริงๆ”

 

 

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ร่างกายของตัวเองแม่จะไม่รู้ได้อย่างไร” พระชายาจิ้นอ๋องแทบจะกัดฟัน เช้าตรู่วันนี้ เริ่มที่ว่านางแก่ ตอนนี้ก็มาสาปแช่งว่านางป่วย เสิ่นซื่อผู้นี้จะมีสมองหน่อยได้หรือไม่

 

 

อู๋ซื่อที่อยู่ข้างๆ พอจะทายได้ว่าเหตุใดพระชายาถึงไม่อยากอาหาร แต่นางไม่อาจพูดออกไปโง่ๆ ได้ ผิดใจพี่สะใภ้ใหญ่ยังไม่เท่าไร แต่นางไม่อยากผิดใจพี่ใหญ่สามีที่แปลกประหลาดผู้นั้น ยิ่งไปกว่านั้นเพราะว่านางไม่มีบุตร ต่อหน้าลับหลังแม่สามีก็โจมตีนางหลายต่อหลายครั้ง กำลังจ้องจะส่งคนมาที่เรือนนาง นางปรารถนาจะได้เห็นแม่สามีไม่มีความสุข

 

 

เช้าวันนี้พระชายาจิ้นอ๋องโมโหเต็มทรวงอก กระทั่งพวกนางกล่าวลาก็เพียงแค่โบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง เสิ่นเวยตามสวีโย่วกลับไปอย่างมีความสุข