บทที่ 538 ขุมทรัพย์เหมืองแร่

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 538 ขุมทรัพย์เหมืองแร่

“ทางวังหลวงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเลยขอรับ พวกเขาพยายามส่งคนมาเพื่อจับตัวคุณชายเซียวไปดำเนินคดี แต่ภายหลังเจ้าหน้าที่ซึ่งถูกส่งมาเพื่อจับตัวคุณชายเซียวเหล่านั้น กลับถูกไล่ล่าสังหารหมดสิ้นโดยพวกของชาวทะเล เพราะเมืองหยุนเมิ่งไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายของจักรวรรดิเป่ยไห่อีกแล้ว คนของทางวังหลวงจึงไม่มีสิทธิ์มาจับตัวคุณชายเซียวไปขอรับ เจ้าหน้าที่พวกนั้นจึงต้องถูกลงโทษในข้อหาบุกรุกอาณาเขตของชาวทะเลโดยไม่ได้รับอนุญาต”

กงกงยังคงให้คำตอบได้อย่างคล่องแคล่ว

หลินเป่ยเฉินยกมือกุมขมับ

ช่างโชคร้ายอะไรเช่นนั้น

ถึงกับถูกชาวทะเลไล่ล่าสังหารหมดสิ้นเลยหรือ

ไม่รู้เลยว่าป่านนี้ทางวังหลวงจะโกรธแค้นขนาดไหนแล้ว

ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินก็เคยได้รับโทษประหารมาแล้วครั้งหนึ่ง น่าเสียดายที่น้องชายร่วมสาบานของเขาอย่างเซียวปิง กลับต้องมาตกอยู่ในสถานะเดียวกันเสียได้

“แล้วเรื่องที่ข้าสังหารหนี่หยางล่ะ?”

หลินเป่ยเฉินถามออกมาเพราะเพิ่งจะนึกขึ้นได้ “พวกเขาพ่อลูกตระกูลหนี่ถูกข้าสังหารไปเองกับมือ มีหรือที่ทางวังหลวงจะไม่เอาเรื่อง?”

เสียงกงกงตอบกลับมาว่า “ไม่มีผู้ใดต้องการเอาผิดคุณชายเลยขอรับ เพราะว่าตอนนั้น คุณชายมีวิญญาณของเทพีกระบี่สถิตอยู่ในร่าง ทางวังหลวงจึงมองว่าความตายของพ่อลูกตระกูลหนี่คือความปรารถนาของเทพเจ้า ดังนั้น พ่อลูกคู่นี้จึงสมควรต้องลงนรกแล้ว”

หลินเป่ยเฉินอ้าปากค้างด้วยความไม่อยากเชื่อ

เอาจริงสิ?

หลินเป่ยเฉินนึกสงสารชะตากรรมของพ่อลูกตระกูลหนี่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม ตระกูลหนี่ปกครองแคว้นซินจินมายาวนานนับร้อยปี เขาจะประมาทขุมกำลังที่เหลืออยู่ไม่ได้เด็ดขาด

ไม่แน่ว่าขณะนี้ อาจกำลังมีการจ้างวานนักฆ่ามาลอบสังหารเขาอยู่ก็เป็นได้

หลินเป่ยเฉินย้ำเตือนตัวเองไม่ให้ประมาทเด็ดขาด

ถ้าเขามีเวลา หลินเป่ยเฉินสาบานว่าจะต้องเดินทางไปที่แคว้นซินจิน เพื่อสังหารผู้คนตระกูลหนี่แบบถอนรากถอนโคนให้จงได้

ระหว่างที่คิดมาถึงตรงนี้ กงกงก็กล่าวออกมาอีกครั้ง “ชาวทะเลยึดครองแคว้นซินจินได้สำเร็จเช่นกันขอรับ ส่งผลให้ตระกูลหนี่ถูกสังหารหมู่แบบถอนรากถอนโคน บัดนี้ พวกเขากลายเป็นอดีตที่หลงเหลืออยู่เพียงในประวัติศาสตร์เท่านั้น อีกไม่นานก็คงถูกผู้คนลืมเลือน และบรรดาลิ่วล้อที่หนีรอดไป ก็ไม่มีปัญญาจะกลับมาทำอะไรอีกแล้ว”

หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ยิ่งตกตะลึงมากกว่าเดิม

นี่มันการสังหารล้างตระกูลเลยไม่ใช่หรือ?

ต่อให้เมื่อสักครู่นี้ เขายังมีจิตอาฆาตคิดฆ่าล้างแบบถอนรากถอนโคน

แต่เมื่อได้ยินว่าตระกูลหนี่ถูกฆ่าล้างบางหมดสิ้นโดยฝีมือของชาวทะเล เด็กหนุ่มกลับเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาอย่างที่ตนเองก็ไม่สามารถอธิบายได้เช่นกัน

นี่คงเป็นความอำมหิตของสงครามกระมัง

หลินเป่ยเฉินไม่แปลกใจอีกแล้วว่าทำไมเมืองหยุนเมิ่งถึงถูกยึดครองได้อย่างง่ายดาย ก็เพราะขนาดตระกูลใหญ่ของผู้ปกครองแคว้นอย่างตระกูลหนี่ยังไม่อาจหนีรอดชะตากรรม สุดท้ายก็กลายเป็นเพียงฝุ่นผงในอากาศ แล้วพวกเขาจะรอดพ้นเงื้อมมือของชาวทะเลได้อย่างไร

เห็นได้ชัดว่าบรรดาตระกูลใหญ่ทั่วจักรวรรดิเป่ยไห่ ก็ตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

มีใครบ้างอยากช่วยเหลือผู้อื่นแล้วตนเองต้องเดือดร้อน?

โลกนี้อันตรายมากกว่าเดิมมากแล้ว

หลินเป่ยเฉินกำชับกับตนเองว่าเขาต้องรีบฟื้นฟูพลังขึ้นมาเร็วๆ เพื่อที่จะได้ปกป้องทุกคน

เด็กหนุ่มนิ่งคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย ก่อนถามออกมา “จริงด้วยสิ ทำไมไป๋ชินหยุนถึงไม่มาเยี่ยมข้าบ้างเลยล่ะ?”

ตระกูลไป๋เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหยุนเมิ่ง

หรือว่าพวกเขาจะมีปัญหากับชาวทะเล?

หลินเป่ยเฉินนึกเป็นห่วงขึ้นมาทันที

กงกงตอบกลับมาพร้อมกับหัวเราะเล็กน้อย “คุณชายไม่ต้องเป็นกังวล ทันทีที่เกิดเหตุโจมตีเมืองหยุนเมิ่ง ท่านลุงของคุณหนูไป๋ก็ได้พาตัวนางรีบหลบหนีออกไปทันที บัดนี้ คุณหนูไป๋กำลังใช้ชีวิตสุขสบายอยู่ในเมืองเจาฮุยอย่างปลอดภัย และมีข้าทาสบริวารรับใช้อยู่รอบกายเลยขอรับ”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความโล่งใจ

แล้วเขาก็ถามออกมาอีกครั้งว่า “สรุปก็คือ เมืองเจาฮุยยังคงอยู่ในมือของจักรวรรดิใช่ไหม?”

กงกงตอบว่า “ใช่แล้วขอรับ บัดนี้ สุดยอดหน่วยรบทั้งสี่ของจักรวรรดิเป่ยไห่ได้ไปรวมตัวอยู่ที่นั่นหมดสิ้น ชาวทะเลเคยบุกไปโจมตีเมืองเจาฮุยหลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ต้องล้มเหลวกลับมา และด้วยความช่วยเหลือจากขุมกำลังในเมืองเจาฮุย จักรวรรดิเป่ยไห่จึงสามารถรักษาเมืองตามฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ไว้ได้ทั้งหมดขอรับ”

“แล้วพวกของเยว่หงเซียง หวังซินอวี่ มี่หรู่หยาน และก็คนอื่นๆ พวกนั้นเล่า…”

“ตามข้อมูลที่ข้าน้อยได้รับทราบมาก็คือ คุณหนูเหล่านั้นยังคงอาศัยอยู่ในเมืองเจาฮุยปลอดภัยดีทุกคนขอรับ และคุณหนูที่มีฝีมือกระบี่เก่งกล้า อย่างเช่น คุณหนูหวังซินอวี่ คุณหนูมี่หรู่หยาน คุณหนูคังซานเสว่ คุณหนูโจวเค่อ พวกนางต่างเข้าร่วมกองทัพเป็นฝ่ายจัดส่งเสบียง ในขณะที่คุณหนูเยว่หงเซียงกลายเป็นผู้ใช้ค่ายอาคมชื่อดังประจำเมือง นางสร้างค่ายอาคมขึ้นมาคุ้มครองกำแพงเมืองจนยากที่พวกนักรบชาวทะเลจะบุกทะลวงเข้าไปได้… แต่เนื่องจากเมืองหยุนเมิ่งของเราตกเป็นเมืองขึ้นของพวกชาวทะเล คุณหนูเหล่านั้นจึงไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับมาอีกแล้วขอรับ”

การตอบคำถามเหล่านี้ทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในไม่ช้า รถม้าก็มาถึงภูเขาเสี่ยวซี

หลินเป่ยเฉินกระโดดลงจากห้องโดยสาร กวาดสายตามองรอบกาย เมื่อเห็นว่าสภาพแวดล้อมของที่นี่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป เด็กหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

และเมื่อเขาลองมองดูดีๆ อีกครั้ง หลินเป่ยเฉินก็ได้พบว่ามีคนมายืนรออยู่บริเวณเชิงเขา

เป็นอากวงกับอู๋เฟิ่งกู

หลินเป่ยเฉินต้องเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ

ทั้งสองรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะมา?

“หน่วยสืบข่าวของเรามีช่องทางติดต่อกันน่ะขอรับ พี่ใหญ่หวังจงเป็นคนออกแบบเครือข่ายนี้ด้วยตนเอง ส่งผลให้ในขณะนี้พวกเราที่เป็นบริวารของท่าน ทุกคนต่างก็รู้แล้วว่าคุณชายกำลังจะเดินทางมาที่ภูเขาเสี่ยวซี”

กงกงรับหน้าที่อธิบาย

เอ๋?

หวังจงมีสติปัญญาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

หลินเป่ยเฉินไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ

“ฮื่อ ในที่สุดคุณชายก็กลับมาแล้ว…”

ทันทีที่อู๋เฟิ่งกูเห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน อดีตเจ้าของสวนแตงโมร่างอ้วนก็วิ่งเข้ามาด้วยความดีใจ ราวกับได้พบเจอบิดาที่พลัดพรากจากกันไปนาน

ขณะที่อากวงส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้นและวิ่งเข้ามากระโดดขึ้นสู่อ้อมกอดของหลินเป่ยเฉินด้วยความเร็วไว

นี่คือครั้งแรกที่เจ้าหนูอากวงรับรู้ว่าความคิดถึงเป็นอย่างไร

หัวที่เต็มไปด้วยขนปุกปุยของมันซุกเข้ากับหน้าอกของหลินเป่ยเฉิน เจ้าหนูส่งเสียงร้องจี๊ดๆ พร้อมกันนั้นน้ำตาแห่งความซาบซึ้งก็ไหลออกมา…

หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกซาบซึ้งใจไม่แพ้กัน

นี่เขากลายเป็นคนที่มีความสำคัญต่อเจ้าหนูอากวงถึงขนาดนี้เลยหรือ?

การได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้งหลังไม่ได้พบเจอกันหลายเดือน ก่อเกิดเป็นความรู้สึกที่ตื้นตันใจชนิดหนึ่ง

“เจ้าทำการบ้านเสร็จแล้วหรือยัง?”

หลินเป่ยเฉินถามออกมาเพื่อเรียกคืนความรู้สึกในวันวานกลับมาอีกครั้ง

แต่คำถามของเขากลับทำให้เจ้าหนูตัวแข็งทื่อไปทันที

อากวงดิ้นหนีลงไปจากอ้อมแขนของเขา มันก้มหน้าลงและเขียนข้อความบนกระดานชนวนที่แขวนอยู่บนหน้าอกว่า…

“เพื่อดูแลเหมืองแร่หินให้ดีมากที่สุด ข้าน้อยจึงอยู่เฝ้ายามทั้งวันทั้งคืน ไม่มีเวลาได้ทำการบ้าน นายท่านได้โปรดลงโทษข้าน้อยด้วย”

มันชูกระดานชนวนให้หลินเป่ยเฉินอ่านข้อความอย่างกระตือรือร้น

หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือออกไปขยี้หัวเจ้าหนูเล่น พร้อมกับพูดอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไรหรอก”

อากวงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

แต่หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินกลับพูดออกมาเสียงเข้มว่า “หันก้นของเจ้ามาให้ข้าหวดเสียดีๆ”

อากวงพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

“เอาเถอะ พวกเราเข้าไปดูในเหมืองกันก่อนดีกว่า”

หลินเป่ยเฉินว่า

หลังจากนั้น อู๋เฟิ่งกูก็เดินนำทางรถม้าขึ้นไปบนตัวภูเขา

เวลาผ่านไปไม่มากไม่น้อยกว่าหนึ่งก้านธูป พวกเขาก็มาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของเหมืองแร่หิน

หลินเป่ยเฉินกระโดดลงจากรถม้าและกวาดสายตามองรอบบริเวณ ปากของเขาอ้ากว้างด้วยความตกตะลึง

บ่อแร่หินบูชาที่ถูกขุดเอาไว้ก่อนหน้านี้ขยายขนาดกว้างขึ้นจนเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส และคุณภาพของแร่หินที่ขุดขึ้นมาได้นั้น ก็ดีกว่า 3 เดือนที่แล้วหลายเท่า บัดนี้ หลินเป่ยเฉินมองเห็นเพียงศิลาบูชาสีดำขนาดใหญ่จำนวนมากมายวางเรียงรายอยู่บนพื้นดินอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและสะอาดสะอ้าน

กองศิลาบูชาเหล่านั้นมองดูแล้วไม่ต่างจากภูเขาหินลูกใหญ่

ก้อนหินเหล่านี้ล้วนมีค่าเป็นเงินมหาศาล

เจ้าของเหมืองยิ่งขุดเหมืองได้เท่าไหร่ ก็ยิ่งร่ำรวยมากเท่านั้น

สีหน้าของคนงานที่ยืนอยู่ในเหมืองหินขณะนี้ ต่างก็กำลังยิ้มแย้มอย่างมีความสุข

โดยเฉพาะอดีตเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของหน่วยนักรบมังกรดำ เขาสะพายตะกร้าที่มากกว่าคนอื่นถึงสามเท่า ชายหนุ่มคนนี้ทำงานอย่างรวดเร็ว เดินเข้าออกเหมืองอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าไม่เคยเหน็ดเหนื่อยกับการทำงานแม้แต่น้อย

“ทำไมพวกเขาถึงได้มีความสุขแบบนี้ล่ะ?”

หลินเป่ยเฉินถามอย่างไม่เข้าใจ

อู๋เฟิ่งกูตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะถูกส่งมาทำงานขุดเหมือง พวกเขาก็ต้องตายไปพร้อมกับนายทหารจากแคว้นซินจินเหล่านั้นแล้วขอรับ นี่เท่ากับว่าคุณชายหลินเป็นคนช่วยให้พวกเขารอดชีวิต ซ้ำยังให้พวกเขามีงานทำ มีข้าวกินครบสามมื้อ ในเมื่อโชคดีถึงขนาดนี้ แล้วจะไม่ให้พวกเขามีความสุขได้อย่างไร?”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็คิดว่านี่เป็นคำตอบที่มีเหตุผลดีทีเดียว

ยามเกิดสงคราม แม้แต่เหมืองหินที่สกปรกและร้อนอบอ้าว ก็กลายเป็นสวรรค์บนดินขึ้นมาในพริบตา

นับว่าสวรรค์ช่างเล่นตลกกับชีวิตผู้คนเหลือเกิน

“บัดนี้ พวกเราขุดศิลาบูชาขึ้นมาได้เท่าไหร่แล้ว?”

นี่คือคำถามที่หลินเป่ยเฉินอยากรู้คำตอบมากที่สุด

“ยินดีกับนายท่านด้วยขอรับ ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา พวกเราสามารถขุดศิลาบูชาคุณภาพสูงขึ้นมาได้ถึง 50,000 ชั่ง นายท่านอยากจะนำมาใช้งานเมื่อไหร่ก็ได้ตามสบายเลยขอรับ”

อู๋เฟิ่งกูให้คำตอบด้วยน้ำเสียงประจบประแจงอยู่ข้างกาย “แต่ยังไม่เท่านั้นนะขอรับ เพราะถ้าดูจากความเร็วในการขุดเหมืองขณะนี้แล้ว ประเมินได้ว่าเราน่าจะขุดศิลาบูชาขึ้นมาจากใต้ดินได้ประมาณ 150,000 ชั่งต่อปี และพวกเราก็จะร่ำรวยมหาศาลแน่นอนขอรับ”

“ไม่ใช่”

หลินเป่ยเฉินพูดขัดขึ้นทันที “ข้าต่างหากที่ร่ำรวย ไม่ใช่พวกเรา”

อู๋เฟิ่งกูได้แต่ยืนตกตะลึง พูดอะไรไม่ออก

หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อ “เอาล่ะ เลิกพูดจาไร้สาระเสียที ไปเอาศิลาบูชาที่ดีที่สุดมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ข้ามีเรื่องจำเป็นต้องใช้งานพวกมันอย่างเร่งด่วน”

บัดนี้ ไม่มีอะไรจะสำคัญสำหรับเด็กหนุ่มมากไปกว่าการฟื้นฟูพลังกลับขึ้นมาให้ได้อีกแล้ว