ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 43 ของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในโลก

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

งานเลี้ยงในวันนี้ ที่สำคัญคือการเชิญลั่วลั่ว แต่เพื่อให้นางสามารถหาเหตุผลออกจากพระราชวังได้ ดังนั้นจึงมีการเชิญแขกเพิ่มอีกส่วนหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น เฉินหลิวอ๋อง เหมาชิวอวี่ และยังมีอาจารย์ซิน ในตอนที่เรียงรายชื่อ เฉินฉางเซิงไม่ได้สนใจถึงปัญหาเรื่องความแตกต่างทางสถานะกับความอ่อนไหว เพียงแค่อยากจะถือโอกาสขอบคุณเหล่าคนที่เคยช่วยเหลือสำนักฝึกหลวงเหล่านั้น เฉินหลิวอ๋องมาแล้ว เหมาชิวอวี่ไม่ได้มา อาจารย์ซินมาแล้ว แต่มองดูคนที่อยู่ ณ ที่นี้ นึกถึงสถานะของตัวเอง เมื่อวางของขวัญแล้วก็ถอยออกไป จึงได้รับคำชมจากถังซานสือลิ่วไปจนถึงความไม่เข้าใจของเซวียนหยวนผ้อ

อาหารเลิศรสกับสุราเหมย สายลมจากทะเลสาบไปจนถึงคนหนุ่มสาว

เฉินหลิวอ๋องไม่สนิทกับทุกคนที่สุด แต่สมแล้วที่เป็นราชวงศ์เพียงคนเดียวที่ยังสามารถอยู่ในจิงตูได้จนถึงตอนนี้ และเป็นลูกหลานเพียงคนเดียวที่สามารถได้รับการชื่นชมจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ คำพูดคำจาและการกระทำแสนจะนุ่มนวลเป็นธรรมชาติอย่างถึงที่สุด ผ่านไปได้ไม่นานก็คุ้นเคยกับเฉินฉางเซิงขึ้นมา รอจนอาหารจานสุดท้ายถูกยกขึ้นมา เขาก็คิดถึงเรื่องที่ได้ยินระหว่างทางก่อนหน้านี้ ซึ่งไม่ค่อยแน่ใจนักจึงเอ่ยถามขึ้น

“เรื่องนั้นเป็นความจริงหรือ”

ลั่วลั่วถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “เรื่องอะไรหรือ”

เฉินหลิวอ๋องนำเรื่องก่อนหน้าที่เกิดขึ้นที่หอเฉิงหูมาพูดรอบหนึ่ง และยังพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นต่อมาในภายหลัง

เฉินฉางเซิงเห็นว่าเรื่องนี้ปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว จึงส่งสัญญาณให้ถังซานสือลิ่วหยิบสาสน์ท้าประลองเหล่านั้นออกมา แล้วพูดขึ้น “รู้สึกว่าค่อนข้างจะเป็นการละเล่นอยู่บ้าง”

เฉินหลิวอ๋องมองสาสน์ท้าประลองเหล่านั้น แล้วส่ายศีรษะพลางพูดขึ้น “การละเล่นเล็กน้อยของบุคคลสำคัญ มักจะมีความหมายแอบแฝง เจ้าดูว่ามีอะไรที่ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่”

เฉินฉางเซิงคิดดู แล้วพูดขึ้น “อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องของสำนักฝึกหลวง พวกข้าจัดการกันเองก่อน ถ้าหากไม่ไหวจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะทำได้เพียงเข้าพระราชวังหลีไปขอพบใต้เท้าสังฆราช”

ลั่วลั่วมองเฉินฉางเซิงแวบหนึ่ง

เฉินฉางเซิงใช้ตะเกียบคีบผัดผักบุ้งไปใส่ให้ในจานของนาง

ลั่วลั่วเข้าใจแล้ว จึงเอ่ยขอบคุณเสียงเบา และก้มหน้ากินอาหารต่อ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร

……

……

“อาจารย์ สำนักฝึกหลวงเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ ทำไมท่านถึงไม่พูดกับข้าเลยล่ะ”

“พักอยู่ที่พระราชวังแล้วเคยชินหรือยัง อ๋อ ข้าลืมไป ตอนแรกสุดที่เจ้ามายังจิงตูก็พักอยู่ที่พระราชวัง”

“อาจารย์ คนที่ชื่อโจวจื้อเหิงผู้นั้นอยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวจริงๆ หรือ อาจารย์ใช้เพียงแค่กระบี่เดียวก็สามารถฆ่าเขาได้แล้วจริงๆ หรือ”

“พูดขึ้นมาแล้ว ทำไมเสนาธิการจินถึงไม่ยอมเข้ามาในสำนัก ก็เพราะว่าเขาไม่ชอบกองทัพของนิกายหลวงที่ด้านนอกหรือ”

“อาจารย์ เจ้าถังถังนั่นในตอนนี้แข็งแกร่งขนาดนี้จริงๆ หรือ”

“เจ้ารู้สึกว่าเฉินหลิวอ๋องเป็นคนเช่นไร ข้ารู้สึกว่าไม่เลวเลย แต่เจ้าก็รู้ เพื่อนของข้ามีน้อยอย่างมาก และข้าก็ไม่ได้มองคนทะลุปรุโปร่งอะไร”

“อาจารย์ หรือว่าถังถังในตอนนี้จะยังแข็งแกร่งกว่าข้าอีก น่าจะไม่ใช่หรือเปล่า ในเมื่อเขาสามารถเอาชนะติดต่อกันได้ถึงสิบสองครั้ง ถ้าหากข้าเป็นตัวแทนสำนักฝึกหลวงออกไปสู้ จะชนะติดต่อกันไปตลอดเลยหรือเปล่า”

“ไม่รู้เพราะอะไร ถังซานสือลิ่วถึงไม่ชอบเขามาโดยตลอด”

“อาจารย์…”

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การพูดจาด้วยความเห็นที่แตกต่างกัน และก็ไม่ใช่การจงใจมองดูคนสองคนพูดเรื่องที่ต่างกัน ถึงแม้ในตอนแรกสุด เฉินฉางเซิงจะคิดเช่นนี้จริงๆ แต่เมื่อมาถึงตอนหลังแล้ว เขาเพียงแค่รู้สึกว่าเช่นนี้น่าสนใจอย่างมาก ก่อนที่จะเข้าสุสานเทียนซู โดยเฉพาะก่อนที่เซวียนหยวนผ้อกับถังซานสือลิ่วจะเข้ามาในสำนักฝึกหลวง สำนักฝึกหลวงแห่งนี้ที่มีพื้นที่นับพันไร่ และกว้างขวางอย่างหาใดเปรียบ กลับมีเพียงแค่เขากับลั่วลั่วเพียงสองคน ช่วงหัวค่ำในตอนนั้นพวกเขาล้วนเดินเล่นที่ข้างทะเลสาบ หรือไม่ก็นั่งเหม่อลอยบนต้นไทรย้อย พวกเขาเองก็เคยทำเรื่องที่น่าสนใจเหล่านี้

เฉินฉางเซิงมองดูคลื่นน้ำที่อยู่บนผิวทะเลสาบกับพระราชวังหลีที่ไกลออกไป พลางเอื้อมมือออกไปลูบศีรษะของลั่วลั่ว

ตอนที่เขาทำสิ่งนี้ เขาไม่ได้มองมาที่ลั่วลั่วเลย แต่ว่าฝ่ามือก็สามารถลงมาอยู่ที่หัวของนางได้อย่างแม่นยำ เพราะว่าการกระทำเช่นนี้ของเขานั้นเคยทำมาหลายครั้งแล้ว และตำแหน่งที่นั่งของลั่วลั่วก็เป็นที่ตรงนั้นมาโดยตลอด

คืนนั้นที่เหมยหลี่ซาหวนคืนสู่ทะเลแห่งดวงดาว ที่จริงพวกเขาก็คาดเดาเหตุการณ์ในปัจจุบันนี้ได้แล้ว ครั้งก่อนที่พวกเขาเจอหน้ากันก็เคยพูดคุยกันถึงเรื่องนี้แล้ว ทุกคนล้วนมีหน้าที่ของตน ที่น่ารำคาญที่สุด ทุกคนล้วนไม่อาจที่จะเป็นทุกคนได้ ซึ่งทุกคนล้วนมีญาติสนิทมิตรสหายครูอาจารย์เพื่อนร่วมสำนักไปจนถึงผู้สืบทอดแผ่นดินของตนเอง ดังนั้นเจ้าไม่อาจจะให้ตนเป็นผู้เลือกหรือทำการตัดสินใจได้ เจ้ามักจะต้องพิจารณาถึงเรื่องที่อยู่ตรงหน้า และยังตรงพิจารณาถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง

“ข้าไม่เคยปัดความรับผิดชอบในหน้าที่ของตน” ลั่วลั่วดิ้นออกจากฝ่ามือของเขา และยืนมองไปยังทางพระราชวังหลีเหมือนกับเขา พลางพูดขึ้น “แต่พวกท่านทำไมถึงไม่คิดบ้างว่าข้าเองก็เป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง และก็จำเป็นต้องแบกรับหน้าที่ในส่วนนี้เหมือนกัน”

“เพราะว่า…อันดับแรกเลยคือเจ้าเป็นลูกสาวที่ล้ำค่าที่สุดของบิดาเจ้า เป็นองค์หญิงผู้เป็นที่รักของชาวบ้านเผ่าปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนในแม่น้ำแดงกว่าแปดร้อยลี้”

เฉินฉางเซิงมองนางแล้วพูดขึ้น “ส่วนสำนักฝึกหลวง ทางด้านนี้มีข้าและยังมีถังซานสือลิ่ว เจ้าไม่ต้องกังวลอะไร”

หลังจากที่กลับมาจากเมืองสวินหยาง เขาพบว่ากลุ่มอำนาจของจิงตูนั้นตึงเครียดอย่างมาก จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กับใต้เท้าสังฆราชเริ่มแสดงกำลังของตน คนจำนวนมากเริ่มต้นและถูกบีบให้เลือกข้าง เขาไม่อยากให้ลั่วลั่วสนใจเรื่องของสำนักฝึกหลวง ก็เพราะเขาไม่อยากให้ลั่วลั่วเลือกข้าง เพราะว่าในบางความหมายแล้ว ลั่วลั่วนับเป็นตัวแทนถึงท่าทีทั้งหมดของเผ่าปีศาจ

“แต่ว่า…” ลั่วลั่วก้มหน้าลงมองดูเงาของต้นไทรย้อยกับเงาของนางและเฉินฉางเซิงที่อยู่บนผิวน้ำ แล้วพูดขึ้น “ข้าเสียใจอย่างมาก”

เฉินฉางเซิงพูดปลอบใจนาง “ผ่านไปอีกสักพัก ถ้าหากสถานการณ์ชัดเจนกว่านี้สักหน่อย บางทีอาจจะไม่อ่อนไหวขนาดนี้แล้วก็ได้”

อย่างไรเสียก็เป็นเด็กหนุ่มที่มาจากเมืองซีหนิง ไหนเลยจะเข้าใจว่าเรื่องเช่นนี้เมื่อเริ่มต้นขึ้นมาแล้ว ก็จะไม่มีทางมีตอนจบ

ลั่วลั่วเป็นองค์หญิงที่มาจากเมืองไป๋ตี้ แน่นอนว่านางเข้าใจ ดังนั้นจึงยิ่งโศกเศร้า

มองดูท่าทางของนาง เฉินฉางเซิงก็อดไม่ได้ จึงเปลี่ยนเรื่องคุยขึ้นมา “เมื่อหลายคืนก่อน พวกเจ๋อซิ่วได้เลือกกระบี่กันคนละเล่ม เจ้าก็เลือกสักเล่มเถอะ อืม ยังมีกระบี่ที่ไม่เลวอยู่อีกมาก”

เขาคิดว่าทุกคนในสำนักฝึกหลวงล้วนมีกระบี่จากสระกระบี่กันคนละเล่ม แน่นอนว่าลั่วลั่วเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น อีกทั้งถ้าหากนางคิดว่านี่เป็นการสนับสนุนจากสำนักฝึกหลวง บางทีอาจจะรู้สึกดีใจ ส่วนลั่วลั่วจะเลือกกระบี่อะไร…เขาไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก ในตอนแรกที่เขาไม่ได้รับปากม่ออวี่เรื่องคำขอเกี่ยวกับกระบี่สตรีแดนเย่ว์อย่างง่ายดาย นอกจากที่เขาคิดว่าตนไม่มีหน้าที่ที่จะต้องให้นางแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเขาคิดว่าลั่วลั่วยังไม่ได้เลือกกระบี่เลย กระบี่สตรีแดนเย่ว์กับกระบี่ประกายแสงซึ่งเป็นกระบี่ที่ค่อนข้างมีความเป็นสตรีเช่นนี้ จะต้องเก็บเอาไว้ให้นางก่อน เมื่อนางไม่ต้องการแล้วค่อยว่ากัน

เป็นอย่างที่คิด เมื่อได้ยินว่าทุกคนล้วนมีกระบี่ที่มาจากสระกระบี่ ลั่วลั่วก็ดีใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ทำการเลือกกระบี่ในทันที เพียงแค่พูดว่าให้เฉินฉางเซิงเก็บเอาไว้ก่อน ภายหลังค่อยว่ากัน

เฉินฉางเซิงมองแซ่วิรุณโปรยที่อยู่ตรงเอวของนาง ทันใดนั้นก็นึกได้ว่านางสูงศักดิ์เป็นถึงองค์หญิงเผ่าปีศาจ แม้แต่กระดุมพันลี้ก็ยังมีอยู่สิบเม็ด ยังมีแซ่วิรุณโปรย เขี้ยวจักรพรรดิ ซึ่งอาวุธเหล่านี้ล้วนเป็นศาสตราวุธวิเศษที่อยู่ในอันดับร้อยศาสตรา เกรงว่าพวกกระบี่ที่เคยมีชื่อเหล่านั้นจะไม่ได้น่าสนใจสักเท่าไหร่

“อืม ข้ายังเตรียมของขวัญเล็กน้อยเอาไว้ให้เจ้า ถ้าหากว่า…สุดท้ายแล้วข้าสามารถเอามาไว้ในมือได้ละก็นะ” เฉินฉางเซิงมองนางแล้วพูดขึ้น เขาคิดว่าถ้าหากตนสามารถเข้าไปในสวนโจวได้จริงๆ แล้วหากสามารถเรียนรู้ทักษะของหวังจือเช่อในตอนนั้นได้ ก็จะนำแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่รอบสุสานโจวทั้งสี่ทิศเหล่านั้นเปลี่ยนมาเป็นหินสีดำก้อนเล็ก และมอบก้อนหนึ่งให้กับนาง

นำแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์มาเป็นของขวัญ…

เขาจะต้องไม่เคยคิดมาก่อน ถ้าหากสิ่งนี้กลายเป็นความจริงขึ้นมา เช่นนั้นนี่จะต้องกลายเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน