ตอนที่ 465 วัดผานรั่ว โดย Ink Stone_Fantasy
“ทราบ! ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้านอบน้อม จากนั้นก็หันไปกล่าวลาเฟิงจ้านและซินหยวน
“ประมุขเฟิง ข้าขอขอบคุณท่านที่ดูแลเป็นย่างดี” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะเฟิงจ้าน และกล่าวออกมาอย่างเกรงใจ
“สหายหลิ่วไม่ต้องเกรงใจ เป็นเจ้าที่พยายามต่อสู้เพื่อพรรคฉางเฟิงถึงจะถูก ในเมื่อสหายหลิ่วมีความสัมพันธ์อันลึกล้ำกับนิกายยอดบริสุทธิ์ในแผ่นดินจงเทียน ไม่แน่ว่าการไปในครั้งนี้ อาจจะเป็นโอกาสอันดีก็เป็นได้ ข้าเองก็จะไม่ยื้อสหายไว้แล้ว” เฟิงจ้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พี่หลิ่วไปแผ่นดินจงเทียนในครั้งนี้ ระยะทางยาวไกลมาก ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อใด ดูแลตัวเองให้ดีๆ ล่ะ” ซินหยวนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พี่ซินก็ดูแลตัวเองด้วย ลาก่อน!” หลิ่วหมิงกุมมือคารวะทั้งสอง
ระหว่างที่พูดนั้น หญิงสาวชุดขาวได้เดินไปถึงหน้าประตูแล้ว พอนางโบกมือข้างหนึ่ง ก็ยกตัวหลิ่วหมิงขึ้น จากนั้นทั้งสองก็ขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้า
……
หนึ่งเดือนต่อมา บนเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งในทะเลหนานไห่
ท่ามกลางเทือกเขาที่ดูเร้นลับแห่งหนึ่ง
สถานที่แห่งนี้มีเมฆหมอกลอยวนเวียน ประจักษ์ชัดว่าเป็นสถานที่ที่ห่างไกลผู้คนมาก ว่ากันว่าเป็นพื้นที่ต้องห้ามของนิกายลึกลับบางนิกาย
ปลายทางเดินเล็กๆ คดเคี้ยวตรงตีนเขา มีถ้ำหินที่สูงจั้งกว่าๆ มีคนสี่คนยืนอยู่ตรงหน้าประตูหินขนาดใหญ่ที่มีลวดลายสีฟ้าสลักอยู่เป็นจำนวนมาก
สองคนที่อยู่ด้านหน้า คนหนึ่งเป็นหญิงสาวผมยาวเคลียไหล่ สวมชุดนักพรตสีขาว อีกคนเป็นชายวัยกลางคนสวมชุดสีขาวดำ บนสีศีรษะมีเครื่องหัวสูงๆ ประดับอยู่ ทั้งสองกำลังพูดคุยอะไรบางอย่าง
ชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งที่อยู่ด้านหลัง ก็คือหลิ่วหมิงกับเจียหลานนั่นเอง
“ประมุขหลี่ ต้องรบกวนใช้ค่ายกลส่งตัวของนิกายท่านอีกครั้งแล้ว” หญิงชุดขาวคารวะชายวัยกลางคนแล้วกล่าวออกมา
“สหายอวี้ชิง ไม่ต้องเกรงใจข้าถึงเพียงนี้ สำนักเสียงมหัศจรรย์กับนิกายวิญญาณพสุธามีความสัมพันธ์กันลึกล้ำ ร้อยปีก่อนพวกเราทั้งสองฝ่าย ก็ได้เป็นพันธมิตรกันแล้ว วันนี้แค่ใช้ค่ายกลส่งตัว มันเป็นเรื่องง่ายเพียงแค่พลิกฝ่ามือเท่านั้น” ชายวัยกลางคนตอบด้วยรอยยิ้ม
“ประมุขหลี่พูดล้อเล่นแล้ว การกระตุ้นค่ายกลส่งตัวในสมัยโบราณนี้ ต้องใช้ผลึกหินระดับสูงของนิกายท่านไม่น้อย ข้าต้องขอขอบคุณอีกครั้ง” หญิงชุดขาวกล่าวขอบคุณชายวัยกลางคนอีกครั้ง
ชายวัยกลางคนก็คารวะกลับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หยิบแผ่นป้ายออกมาจากเอว และโบกเบาๆ
“ฟู่!”
แสงสีฟ้าพุ่งออกจากแผ่นป้าย และกระพริบหายไปบนประตูหิน
ลวดลายบนประตูหินเปล่งประกายสองสามที จากนั้นก็ส่งเสียงดังโครมคราม และค่อยๆ เปิดออกมา ทำให้มองเห็นระเบียงยาวสีดำอยู่รำไร
“ที่นี่มีชั้นจำกัดค่อนข้างมาก สหายน้อยทั้งสองจงเดินตามหลังข้า หากสัมผัสโดนชั้นจำกัดเข้าล่ะก็ จะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นได้” ชายวัยกลางคนกำชับหลิ่วหมิงกับเจียหลาน จากนั้นก็ยกแขนทั้งสองปล่อยแสงสีขาวออกไป ทำให้ด้านในสว่างขึ้นมา
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เตือน”
พอทั้งสองได้ยินก็รีบพยักหน้า และเดินตามไป
พอทั้งสี่เข้าไปด้านใน ลวดลายบนประตูหินที่อยู่ด้านหลังก็เปล่งประกาย จากนั้นบานประตูก็ปิดลง และกลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง
เมื่อเดินตามระเบียงลาดเอียงไปได้หลายสิบจั้ง ก็ปรากฏลานกว้างขึ้นมาตรงหน้า
ที่แท้มันก็เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ มีพื้นที่หลายหมู่ ผนังรอบด้านมีเครื่องหมายที่ดูไม่ออกสลักอยู่ ดูท่าคงเป็นชั้นจำกัดจำนวนหนึ่งของนิกายวิญญาณพสุธา
และมุมหนึ่งของห้องโถง ก็มีค่ายกลขนาดสองสามจั้งวางอยู่ ในค่ายกลมีลวดลายจิตวิญญาณสลักอยู่เป็นจำนวนมาก และยังมีอักขระโบราณแปลกๆ จำนวนหนึ่ง รอบด้านของมันต่างก็เป็นหลุมเว้าจำนวนมาก มันคงเป็นที่วางผลึกหินระดับสูง
“ท่านทั้งหลาย เชิญ!” ชายวัยกลางคนแสดงท่าทีบอกให้ทั้งสามเข้าไปในค่ายกล จากนั้นก็นำผลึกหินสีดำแวววาวใส่ลงในหลุมที่อยู่รอบๆ
“ขณะที่ค่ายกลเริ่มทำงานนั้น จะมีพลังเวทสั่นไหวเล็กน้อย พวกเจ้าทั้งสองพยายามระมัดระวังพลังเวทไว้ เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด” หญิงชุดขาวเตือนหลิ่วหมิงกับเจียหลาน
ทั้งสองได้ยินก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน และพยักหน้าตอบรับ
หลังจากชายวัยกลางคนวางผลึกหินเสร็จแล้ว ก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งหยิบแผ่นค่ายกลออกมา หลังจากวาดนิ้วลงบนนั้นสองสามทีอย่างรวดเร็ว มันก็หมุนติ้วๆ ออกไปจากมือ และลอยอยู่เหนือค่ายกลโบราณ
ต่อมาค่ายกลก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ คลื่นจิตวิญญาณขนาดใหญ่ประทุออกมา และแสงสีเขียวเจิดจ้าก็พุ่งยิงออกจากในนั้น
หลิ่วหมิงหลับตาในทันที และพยายามรวบรวมพลังจิต เขารู้สึกแค่ว่ามีพลังจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งรวมตัวกันอยู่รอบๆ จากนั้นก็รู้สึกร้อนไปทั้งตัว ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัว ไม่นานพวกเขาก็หายไปจากค่ายกล
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงก็ลืมตาทั้งคู่ในขณะที่ยังหน้ามืดตาลายอยู่ ตอนนี้เขาค้นพบว่าตนเองมาปรากฏตัวในวิหารขนาดใหญ่หลังหนึ่ง และหญิงชุดขาวกับเจียหลานก็ยืนอยู่ด้านข้าง
วิหารใหญ่ค่อนข้างกว้าง พื้นด้านล่างก่อตัวขึ้นจากหินสีเทาขนาดใหญ่ บนเสาหินสิบกว่าต้นมีเพชรจำนวนมากเลี่ยมฝังอยู่ และค่อยๆ เปล่งแสงออกมา ทำให้ในนั้นสว่างไสว
และภายในวิหารที่มีพื้นที่กว้างขวางเช่นนี้ กลับมีนักบวชอาวุโสผมขาวท่านหนึ่ง นั่งอยู่บนเบาะกลมๆ ตรงทางออกเท่านั้น
นักบวชสวมชุดคลุมยาวทั้งตัว ดวงตาทั้งคู่หลับสนิท เขากำลังสวดมนต์และจับลูกประคำไปมาอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงไม่อาจรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของพลังเวทจากคนผู้นี้ได้เลยแม้แต่น้อย เขาจึงรู้สึกประหลาดใจมาก
ขณะนี้ อวี้ชิงซือไท่กลับค่อยๆ ก้าวไปด้านหน้า นางพนมมือทั้งสอง และโค้งตัวให้นักบวชอาวุโสตรงหน้าเบาๆ และเอ่ยปากออกมา “อาจารย์อา”
แต่นักบวชอาวุโสยังคงไม่มีความรู้สึกใดๆ บนใบหน้า ดวงตายังหลับสนิท ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลยแม้แต่น้อย ยังคงสวดมนต์เบาๆ
อวี้ชิงกลับไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย หลังจากทำความเคารพอีกครั้งแล้ว นางก็พาหลิ่วหมิงกับเจียหลานเดินผ่านด้านข้างนักบวชอาวุโส และเดินออกวิหารใหญ่ไป
เสียงระฆังดังมาจากที่ไกลๆ พอมองออกไป ด้านในกำแพงสีเหลืองอมชมพู มีบันไดหินสีขาวที่เชื่อมต่อกับอารามของวัดเล็กๆ หลายแห่ง
หลิ่วหมิงปล่อยพลังจิตส่วนหนึ่งออกไปสำรวจดูเล็กน้อย แต่กลับรู้สึกตกใจเมื่อค้นพบว่า ทั่วทั้งวัดมีนักบวชแค่สิบกว่าคนเท่านั้น และต่างก็เป็นมนุษย์ธรรมดาทั้งหมด
เมื่อพวกเขาเดินออกจากประตูใหญ่ของวัด หลิ่วหมิงก็หันไปมองอย่างอดไม่ได้ เขาเห็นว่าบนแผ่นไม้การบูรเหนือประตูวัด มีอักขระขนาดใหญ่เขียนอยู่สามคำ “วัดผานรั่ว”
และนอกวัดก็เป็นพื้นที่เปล่าเปลี่ยวสุดลูกหูลูกตา
อวี้ชิงซือไท่ปล่อยนกกระดาษสีฟ้าอ่อนออกมาตัวหนึ่ง และปล่อยพลังเวทใส่เข้าใส่
นกกระดาษส่งเสียงร้องออกมา แสงสีขาวกระพริบผ่านลำตัวชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นมันก็ขยายใหญ่ตามแรงลมอย่างรวดเร็ว นกกระดาษที่มีขนาดชุ่นกว่าๆ ขยายใหญ่สิบกว่าจั้งภายในพริบตา ท่ามกลางแสงสีฟ้ากับแสงสีขาว มันก็กลายเป็นวิหคยักษ์ที่มีหงอนสีแดงอยู่บนหัว
จากนั้นทั้งสามก็กระโดดขึ้นบนหลังนกกระดาษ อวี้ชิงซือไท่ค่อยๆ ลอยลงบนหัวของนกกระดาษ และทำท่ามือด้วยมือเดียว
พอนกกระดาษส่งเสียงร้องออกมา มันก็กระพือปีกจนก่อเกิดเป็นพายุบ้าระห่ำ และพุ่งขึ้นไปบนฟ้า มันพาทั้งสามพุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง
……
ครึ่งเดือนต่อมา เหนือเทือกเขาขนาดเล็กที่มียอดเขาสีเขียวทอดยาวติดต่อกันสิบกว่าลูก นกกระดาษที่เปล่งแสงสีฟ้าขาว ก็ปรากฏตัวออกมา และทิ้งร่องรอยสีขาวไว้บนอากาศ
อาจเป็นเพราะต้องการหลบเลี่ยงนิกายจำนวนหนึ่งหรือเมืองที่คึกคัก นกกระดาษจึงไม่ได้บินตรงมาโดยตลอด แต่กลับบินอ้อมไปทางตะวันออกบ้าง ทางตะวันตกบ้าง ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่ป่าเขาที่อยู่ห่างไกลผู้คน
ด้วยเหตุนี้ในระหว่างทาง นอกจากจะพบกับผู้ฝึกฝนระดับต่ำไม่กี่กลุ่มที่ขี่อาวุธจิตวิญญาณเดินทางแล้ว ก็ไม่พบผู้อื่นอีกเลย และไม่มีเหตุการณ์การรวมตัวของผู้ฝึกฝนอย่างที่หลิ่วหมิงคิดไว้แต่แรก
ประจักษ์ชัดว่า แม้แต่ในแผ่นดินจงเทียน เมื่อเทียบผู้ฝึกฝนกับคนธรรมดาแล้ว ก็มีอยู่น้อยมาก ทั้งยังไม่เงียบสงบอย่างที่เห็น มิเช่นนั้นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้อย่างอวี้ชิง คงไม่ต้องระมัดระวังถึงเพียงนี้
อวี้ชิงซือไท่นั่งขัดสมาธิหลับตาพักผ่อนอยู่บนหัวนกกระดาษ ตลอดทางนางพูดคุยกับพวกเขาน้อยมาก ส่วนใหญ่จะนั่งสมาธิเงียบๆ มากกว่า
และเจียหลานที่สวมชุดสีเหลืองอ่อน ก็นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างหลิ่วหมิง และสังเกตดูทิวทัศน์ด้านหน้าเงียบๆ
ไม่ว่าจะเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ที่เรียงซ้อนกันบนเขาสีเขียวที่อยู่ด้านล่าง หรือว่าเสียงไหลรินของสายน้ำใสสะอาดที่เสนาะหู หรืออาจเป็นบรรดาอสูรและวิหคดุร้ายที่หากินในป่า ต่างก็ดูราวกับว่าดึงดูดสมาธิของนางไปเล็กน้อย
หลิ่วหมิงกวาดสายตาดูใบหน้าละเอียดละออของนาง และสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยออกมาจากตัวนาง และยิ้มขมขื่นอย่างอดไม่ได้
หลังจากที่เขาออกจากพรรคฉางเฟิงมาพร้อมกับอวี้ชิงซือไท่ พวกเขาก็ไปที่อารามชิงสุ่ยสองวัน
ในระหว่างเวลานั้น อวี้ชิงซือไท่กลับรู้สึกสนใจในตัวเจียหลาน และตั้งใจทดสอบคุณสมบัติของนาง เมื่อค้นพบว่าเจียหลานไม่ใช่ร่างละเมอฝันจริงๆ แต่เป็นร่างมายาสวรรค์ที่ดูคล้ายร่างละเมอฝันมาก
แม้ทั้งสองสิ่งนี้จะคล้ายกัน แต่ร่างจิตวิญญาณกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ร่างละเมอฝัน สามารถกดดันผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันจนถึงระดับที่ต่ำกว่าได้ แต่เวลาเผชิญหน้ากับศัตรูแข็งแกร่งระดับสูง ผลลัพธ์กลับลดลงไปมาก ด้วยเหตุนี้จึงเป็นร่างจิตวิญญาณที่พบเจอได้น้อย แต่ยังคงมีข้อขาดตกบกพร่องอยู่
และร่างมายาสวรรค์นี้ แม้ดูจากภายนอกจะดูคล้ายกับร่างละเมอฝันมาก ทั้งยังถูกคนเข้าใจผิดว่าเป็นร่างละเมอฝันอยู่บ่อยๆ แต่ความจริงแล้ว มันกลับมีผลลัพธ์หลากหลายรูปแบบที่คาดไม่ถึง หากได้รับการฝึกฝนวิชาที่เหมาะสม ภายหน้าจะสามารถแสดงวิชามายาได้ถึงระดับสูงสุด สามารถสังหารศัตรูแข็งแกร่งได้อย่างไร้ร่องรอย
และร่างจิตวิญญาณประเภทนี้ ในแผ่นดินจงเทียนก็หาได้ยากนัก อวี้ชิงซือไท่ก็รู้มาจากคัมภีร์โบราณเล่มหนึ่ง ประจวบเหมาะกับที่นางรับรู้มาว่า ผู้อาวุโสบางท่านในนิกายยอดบริสุทธิ์ยังไม่มีผู้สืบทอดวิชา และเป็นร่างจิตวิญญาณประเภทนี้พอดี
หลังจากที่อวี้ชิงรู้ว่าเจียหลานยังไม่ได้เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสท่านใดในอารามชิงสุ่ยอย่างเป็นทางการ นางจึงขอเจียหลานกับแม่ชีเมี่ยวซินโดยตรง และถือโอกาสพานางไปนิกายยอดบริสุทธิ์พร้อมกัน
แม้แม่ชีเมี่ยวซินจะรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก แต่ก็รู้ว่าเป็นโอกาสดีสำหรับเจียหลาน หลังจากพูดคุยกันแล้ว ก็ตอบตกลงทันที และก่อนออกเดินทางยังมอบอาวุธจิตวิญญาณให้นางสองสามชิ้น
ด้วยเหตุนี้ จึงกลายเป็นว่าอวี้ชิงซือไท่พาทั้งสองออกเดินทางพร้อมกัน
จากการอยู่ร่วมกันในระหว่างเดินทาง เจียหลานกลับไม่แสดงออกว่ารู้จักหลิ่วหมิงที่อยู่ตรงหน้าเลย และยังแสดงท่าทีเฉยๆ กับหลิ่วหมิง
สิ่งนี้ย่อมทำให้หลิ่วหมิงยิ้มอย่างขมขื่น
……
สองเดือนต่อมา ท่ามกลางทะเลทรายเปล่าเปลี่ยว ชายหนึ่งหญิงสองกำลังเดินไปข้างหน้า
ทะเลทรายตรงหน้าดูเหมือนเป็นทะเลทรายขนาดใหญ่ที่ไร้ขอบเขต ภายใต้การส่องแสงพระอาทิตย์ ทำให้แสงสีทองเปล่งประกายเป็นจุดๆ บางครั้งก็มีพายุบ้าระห่ำโจมตีเข้ามา และยังม้วนเอาเม็ดทรายขึ้นไปบดบังท้องฟ้าและพระอาทิตย์ไว้
“ทะเลทรายที่มีหมอกควันตลบฟุ้งแห่งนี้ เป็นเพราะผนึกบางอย่างในสมัยโบราณ ที่สร้างชั้นจำกัดไว้ไม่ให้เหินเวหา แต่พวกเราเดินอีกครึ่งวัน ก็จะไปถึงค่ายกลส่งตัวระยะไกลอีกแห่งแล้ว” หญิงชุดขาวเดินอยู่ด้านหน้าสุด ขณะเดียวกันก็อธิบายให้ทั้งสองฟังไปด้วย
หลิ่วหมิงรู้สึกสงสัยว่าค่ายกลส่งตัวท่ามกลางทะเลทรายแห่งนี้ จะถูกส่งตัวไปที่ใดบ้าง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก ได้แต่เดินตามหลังเงียบๆ
เจียหลานก็สอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับแผ่นดินจงเทียนกับหญิงชุดขาวด้วยความอยากรู้
…………………………………