ขณะที่พวกเขาคุยกันก็ได้เดินมาถึงโถงหลักอย่างไม่ทันรู้ตัว โม่เทียนเกอสังเกตเห็นว่าสังเวียนกว้างถูกจัดไว้อยู่ตรงกลางโถง มีผู้ฝึกตนราวๆ ยี่สิบถึงสามสิบคนที่ยืนและนั่งอยู่โดยรอบ
คนงานบอกว่า “ในระหว่างจลาจลของสัตว์ปีศาจครั้งก่อน สหายศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังประมาณร้อยคนของเราต้องตายจากไป ทุกวันนี้จำนวนผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังที่โรงเรียนเรายังมีไม่ถึงสองร้อยคนด้วยซ้ำ มิเช่นนั้นที่นี่คงจะมีคนอย่างน้อยสี่สิบถึงห้าสิบคนได้”
เมื่อเห็นความเศร้าซ่อนเร้นบนใบหน้าของผู้ฝึกตนคนนี้ โม่เทียนเกอก็เดาว่าญาติหรือสหายของเขาอาจจะตายไปในการจลาจลสัตว์ปีศาจ นางจึงยิ้มและพูดว่า “การแข่งขันย่อยภายในของโรงเรียนกำลังจะเริ่มขึ้น ข้าคิดว่าเราจะต้องมีศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นหลังจากนั้นแน่”
“ท่านพูดถูก” คนงานยิ้ม “อาจารย์ลุงโม่ ข้าขออนุญาตขอตัวก่อน”
โม่เทียนเกอตอบกลับการทำความเคารพของเขาและมองคนงานคนนั้นออกไป จากนั้นนางเดินไปทางข้างสังเวียนและเลือกที่ว่างอย่างสบายๆ เพื่อดู
คนที่กำลังต่อสู้กันบนสังเวียนตอนนี้คือผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังขั้นต้นสองคน คนหนึ่งคือชายหนวดเฟิ้มร่างใหญ่ขณะที่อีกคนเป็นชายวัยกลางคนดูผอมแห้งและอ่อนแอ
ชายร่างใหญ่สูงมากแต่เครื่องมือเวทของเขาคือกระบี่บินที่งดงามและเล็กอย่างไม่น่าเชื่อ ในทางกลับกัน ชายวัยกลางคนกำลังถือพัด ชายร่างใหญ่กำลังเป็นฝ่ายจู่โจมในขณะที่ชายวัยกลางคนเป็นฝ่ายตั้งรับ ทั้งสองคนผลัดกันรุกและการรุกแต่ละครั้งก็รุนแรงอย่างมาก
โม่เทียนเกอดูพวกเขาแค่ระยะหนึ่งเท่านั้นแต่นางก็เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างการประลองได้ ตัวอย่างเช่น วิธีการใช้กระบี่บินของชายร่างใหญ่คล้ายกับวิธีการใช้อาวุธลับ มันบินอย่างเงียบเชียบและไร้ร่องรอย การจะทำเช่นนี้ให้สำเร็จจำเป็นต้องฝึกมาหลายครั้งจนนับไม่ถ้วนแน่ ส่วนสำหรับชายวัยกลางคน พัดของเขายังมีความลับบางอย่าง มันสามารถดึงดูดพลังทางจิตวิญญาณของชายร่างใหญ่ได้ ดังนั้นจึงทำให้ชายวัยกลางคนเอาตัวรอดจากสถานการณ์ช่วงคับขันไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
โม่เทียนเกอทุ่มความสนใจทั้งหมดไปกับการดูการประลองอยู่พักหนึ่งก่อนที่ใครบางคนจะสะกิดไหล่นางเข้า
เมื่อนางหันหน้าไป นางก็ต้องดีใจไปพร้อมกับประหลาดใจ “พี่ใหญ่เยี่ย!”
คนที่กำลังยืนยิ้มอยู่ข้างนางคือเยี่ยจิ่งเหวินนั่นเอง
เยี่ยจิ่งเหวินอายุเกือบจะหกสิบปีแล้วในตอนนี้ เพราะอย่างนั้นเขาจึงดูเหมือนจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย เขาดูกระฉับกระเฉงน้อยลงแต่มั่นคงมากขึ้น
สิบปีที่แล้ว ทั้งสองคนสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ประสบกับการต่อสู้เฉียดตายกับผู้ฝึกตนสำนักกู่เจี้ยนหลายคน ความรู้สึกระหว่างคนทั้งสองคนจึงไม่ง่ายอย่างที่มันเคยเป็น หลังจากประมุขเต๋าจิ้งเหอทำให้ทั้งสองคนบาดเจ็บอย่างไม่ตั้งใจ โม่เทียนเกอสามารถหายดีได้ภายในเวลาหลายวันก็เพียงเพราะเส้นลมปราณของนางแข็งแกร่งและเพราะประมุขเต๋าจิ้งเหอให้นางอยู่ในบ่อน้ำเวินหย่าง แต่เยี่ยจิ่งเหวิน ในทางกลับกัน ได้รับบาดเจ็บหนักกว่านาง เขาต้องฟื้นตัวอยู่มากกว่าหนึ่งปีก่อนที่จะกลับมาแข็งแรงได้อีกครั้งอย่างสมบูรณ์ ในระหว่างเวลานั้น โม่เทียนเกอถูกประมุขเต๋าจิ้งเหอสั่งให้ทำนั่นทำนี่ทุกๆ วัน พวกเขาได้เจอกันแค่ไม่กี่ครั้งและก็มักจะเร่งรีบจนไม่มีแม้แต่เวลาพูดคุยกัน ในภายหลังนางยังเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอีก เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เจอกันถึงห้าปี
เยี่ยจิ่งเหวินยังคงยิ้มอยู่ขณะที่เขาจ้องมองนางและชี้ไปด้านหลังเขา ทั้งสองคนเคลื่อนตัวออกจากฝูงชนและมองหาเก้าอี้ตรงมุม
หลังจากพวกเขานั่งลง เยี่ยจิ่งเหวินหัวเราะและพูดว่า “เทียนเกอ ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“ใช่… แค่เมื่อวานนี้เองที่ข้าออกมาจากการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ”
เยี่ยจิ่งเหวินใช้จิตสัมผัสของเขาเพื่อตรวจดูนางแล้วจึงพูดด้วยความประหลาดใจ “เจ้าอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นกลางแล้วหรือ”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “ข้าโชคดีนัก ครั้งนี้การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิของข้าเป็นไปอย่างราบรื่นมาก”
เยี่ยจิ่งเหวินจ้องหน้านางซึ่งไม่มีความอวดดีเลยแม้แต่นิดเดียวและเขาก็ถอนหายใจ “ข้าได้ยินว่าต้นทุนของเจ้ายอดเยี่ยมแต่ข้าก็ไม่เชื่อมากนัก ตอนนี้ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเชื่อเสียแล้ว เมื่อข้าพบเจ้า เจ้าเป็นเพียงเด็กน้อยในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณระดับสองขณะที่ข้าอยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง แต่ตอนนี้เจ้ากลับนำหน้าข้าไปแล้ว…”
ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เยี่ยจิ่งเหวินก็ก้าวหน้าในการฝึกตนของเขาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าของเขาไม่เด่นชัดมากมายเหมือนอย่างของโม่เทียนเกอ ในเมื่อเขาต้องใช้เวลาบางช่วงไปกับการฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ ตอนนี้เขาจึงด้อยกว่านางเล็กน้อย
นางส่ายหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่เยี่ย อย่าล้อข้าสิ เหตุผลเดียวที่ข้าทำสำเร็จได้ทุกวันนี้ก็เพราะชะตาลิขิต” ถ้านางไม่ได้โชคดีบังเอิญเจอจงมูหลิงเข้า ตอนนี้นางก็คงยังมีรากวิญญาณที่สูญเปล่าอยู่ แม้แต่หลังจากประมาณสิบปีมานี้ นางก็อาจจะยังคงอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังหากไม่ใช่เพราะเขา
ตอนนั้นเมื่อนางเพิ่งสร้างฐานแห่งพลังได้ นางไม่มีศาสตร์แห่งต้นกำเนิด และแม้แต่ประสิทธิภาพของศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ก็ลดลง ดังนั้นนางจึงไม่สามารถรักษาพลังทางจิตวิญญาณที่นางซึมซับเข้ามาในร่างกายไว้ได้ ทุกวันนี้เพราะนางได้รับศาสตร์แห่งต้นกำเนิดมาและฝึกตนภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าช่องว่างระหว่างคนที่มีรากวิญญาณสูญเปล่ากับอัจฉริยะที่มีรากวิญญาณเดี่ยวหรือรากวิญญาณกลายพันธุ์นั้นห่างชั้นกันมากแค่ไหน ถ้าปริมาณพลังทางจิตวิญญาณที่ก่อนหน้านี้นางสามารถกักเก็บไว้ในร่างกายคือหนึ่งสิบส่วน ถ้างั้นตอนนี้ปริมาณที่นางสามารถเก็บไว้ได้ก็คือเก้าในสิบส่วน! ปริมาณมากขึ้นเก้าเท่าที่น่าตกใจนี้ทำให้นางรู้ว่าหากนางไม่ได้พบกับจงมู่หลิงและได้รับศาสตร์แห่งต้นกำเนิด นางก็คงไม่สามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ตลอดชีวิต
เยี่ยจิ่งเหวินไม่รู้เกี่ยวกับความรู้สึกสลดในใจของโม่เทียนเกอ ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินนางพูดอย่างถ่อมตัว เขาก็มองค้อนนางด้วยสายตารุนแรง “ข้าบอกเจ้าเช่นนี้ตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว ชะตาลิขิตก็เป็นส่วนหนึ่งในจุดแข็งของเจ้าเช่นกัน ทำไมเจ้าชอบจะปฏิเสธนัก” เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วถามต่อ “เทียนเกอ เจ้ามาที่โถงฝึกวรยุทธ์เพื่อฝึกฝนหรือ”
“อืม หลังจากข้าสร้างฐานแห่งพลัง ข้ายังไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้มากนัก คาดว่าถ้าข้าแลกเปลี่ยนความรู้กับสหายศิษย์ด้วยกัน ข้าสามารถเพิ่มประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทได้”
“อืม นั่นก็จริง ในการต่อสู้ด้วยพลังเวท ประสบการณ์สำคัญกว่าความสามารถ อัจฉริยะในการฝึกตนอาจจะอ่อนแอในการต่อสู้ด้วยพลังเวทก็ได้ ในขณะเดียวกัน คนที่ทำได้ไม่ดีในการฝึกตนอาจจะทำได้ไม่เลวร้ายนักในการต่อสู้ด้วยพลังเวทถ้าพวกเขามีการฝึกฝนมามาก”
“งั้นก็หมายความว่า… พี่ใหญ่เยี่ยมาที่โถงฝึกวรยุทธ์บ่อยหรือ” โม่เทียนเกอถามด้วยความสนใจ เมื่อนางเจอเยี่ยจิ่งเหวินตอนแรก นางยังไม่ได้รู้จักเขาดีและไม่เคยเห็นเขาในการต่อสู้ด้วยพลังเวท เมื่อพวกเขามาเจอกันภายหลังที่สันเขาเฉียนเหมินบนภูเขาเทียนหัวและสู้เคียงข้างกัน ในที่สุดนางก็รู้ว่าเขาเป็นคนประเภทที่เด็ดเดี่ยวในการฆ่า ดูเหมือนว่าเขาน่าจะสนใจการต่อสู้ด้วยพลังเวทมากทีเดียว
แน่นอน เยี่ยจิ่งเหวินพยักหน้า “ถ้าข้ามีเวลาว่าง ข้าก็มักจะมาที่นี่ สำหรับเราพวกผู้ฝึกตนสายกระบี่ ทักษะวิทยายุทธ์สำคัญมากในการต่อสู้ด้วยพลังเวท”
“ข้าเกรงว่าผู้ฝึกตนสายกระบี่ทุกคนจะชอบต่อสู้ ใช่ไหม”
เยี่ยจิ่งเหวินอดหัวเราะไม่ได้ “ใช่! ถ้าเราไม่ชอบ เราก็คงไม่เลือกมาเป็นผู้ฝึกตนสายกระบี่”
ทั้งสองคนยิ้มให้กัน
หลังจากนั่งอย่างเกียจคร้านอยู่พักหนึ่ง เยี่ยจิ่งเหวินพูดว่า “จริงสิ! ในเมื่อเจ้ามาที่นี่เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และข้าก็ยังไม่อยากขึ้นไปบนเวที งั้นเรามาแข่งกันแบบส่วนตัวดีไหมล่ะ”
“เอาสิ!” โม่เทียนเกอเองก็กระตือรือร้นเพราะนั่นเป็นสิ่งที่นางต้องการพอดี พลังการต่อสู้ของเยี่ยจิ่งเหวินเหนือกว่าผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังธรรมดาทั่วไปและเขายังมีประสบการณ์มากมายอีกด้วย เขาเป็นคู่ต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
ทั้งสองคนยืนขึ้นพร้อมกัน ออกไปตามหาคนงานเพื่อรับป้ายเลขห้อง จากนั้นพวกเขาเข้าไปที่ห้องด้านข้างนำโดยคนงานคนหนึ่ง
ถึงแม้ว่ามันจะเรียกว่าห้องด้านข้างแต่ก็ใช้สำหรับการประลอง ดังนั้นจึงมีพื้นที่กว้างขวางและใหญ่พอๆ กับเวทีขนาดเล็ก ทั้งสองคนขึ้นไปบนเวทีและหลังจากได้รับการยืนยันว่าลุยต่อได้จากคนงาน พวกเขาจึงเริ่มการประลอง
เยี่ยจิ่งเหวินเป็นผู้ฝึกตนสายกระบี่และพวกเขาก็ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การรุก ดังนั้นทันทีหลังจากพวกเขาได้รับสัญญาณจากคนงาน กระบี่บินของเขาถูกส่งออกมาและตรงเข้าหาโม่เทียนเกอ
โม่เทียนเกอก้าวขึ้นบนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนาง นางจงใจไม่ตั้งการป้องกันอะไรไว้บนตัวนางและหลบกระบี่บินทันที อย่างไรก็ตาม กระบี่บินของผู้ฝึกตนสายกระบี่มีพลังกระบี่ เมื่อมันวาบผ่านนางไป มันก็บาดหัวไหล่ของนาง ทำให้นางรู้สึกเจ็บจากตรงไหล่
พอเห็นเช่นนั้น เยี่ยจิ่งเหวินรีบเรียกกระบี่บินของเขากลับคืน เขารวบรวมพลังวิญญาณของเขาบนกระบี่บิน แสงกระบี่สีขาวนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นจากคมมีดของกระบี่และล้อมรอบตัวเขาทันที ทันใดนั้น เขาก็ผลักแสงกระบี่เหล่านั้นมาหาโม่เทียนเกอ
เมื่อไร้หนทาง โม่เทียนเกอจึงเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวกลับมาจากข้างใต้เท้าแล้วจากนั้นขว้างมันไปข้างหน้า สร้างกำแพงอิฐซึ่งขัดขวางแสงกระบี่เอาไว้ ในขณะเดียวกันนางยังขว้างกระสวยอัปสราออกไปด้วย มันกลายเป็นลำแสงสีทองซึ่งตรงเข้าหาเยี่ยจิ่งเหวินเพื่อกักขังเขาไว้ข้างใต้
ทั้งสองคนผลัดกันโจมตีและสู้กันอยู่ระยะหนึ่ง เพียงหลังจากที่พวกเขาเห็นว่าคนงานตบมือและส่งเสียงโห่ร้อง ในที่สุดพวกเขาจึงหยุด
พวกเขาลงจากเวทีและหยุดพัก
เยี่ยจิ่งเหวินเห็นว่าโม่เทียนเกอดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เขาจึงถามอย่างสงสัย “มีอะไรหรือ”
โม่เทียนเกอตอบ “เดิมทีข้าไม่อยากจะใช้อาวุธเวทอันนั้น แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพลังกระบี่ของพี่ใหญ่เยี่ย ข้าก็ไม่รู้ว่าจะหลบมันอย่างไร”
เมื่อนางพูดเช่นนั้น เยี่ยจิ่งเหวินระเบิดหัวเราะ “เจ้าคิดเรื่องนี้จริงๆ หรือ”
โม่เทียนเกอถามด้วยความประหลาดใจ “มีอะไรผิดด้วยหรือ”
ครั้งนี้คนงานที่ดูแลพูดขัดขึ้น “อาจารย์ลุงโม่ พลังกระบี่ของผู้ฝึกตนสายกระบี่นั้นยากจะหลบได้ เมื่อคิดดูว่าสถานที่นี้คับแคบแค่ไหน ท่านก็ต้องใช้เครื่องมือเวทหรือคาถาเพื่อสกัดกั้นมันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ดีแล้วที่อาจารย์ลุงมีอาวุธเวท ทำไมท่านถึงอยากจะหลบล่ะ”
โม่เทียนเกออึ้งไปแต่นางก็ดูอับอายหลังจากนั้น “ก็แค่ข้ามักจะอยากปลอดภัยไว้ก่อน”
เยี่ยจิ่งเหวินพูด “เทียนเกอ ประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทของเจ้านั้นครอบคลุมกว้างขวาง แต่แค่วิธีคิดของเจ้าไม่ได้ถูกต้องเสมอ เจ้าต้องจำไว้ว่าในการต่อสู้ด้วยพลังเวท ชัยชนะในที่แคบก็ยังเป็นชัยชนะ เจ้าแค่ต้องใช้วิธีการอะไรก็ตามที่เจ้ามี”
“ใช่ ขอบคุณที่เตือนข้านะพี่ใหญ่เยี่ย” ถึงแม้ว่าระดับการฝึกตนของนางจะสูงกว่าของเยี่ยจิ่งเหวินเล็กน้อย แต่โม่เทียนเกอก็รู้ดีว่านางไม่เก่งเท่าเยี่ยจิ่งเหวินในการต่อสู้ด้วยพลังเวท ดังนั้นนางจึงจริงใจกับการพูดแสดงความขอบคุณ
เยี่ยจิ่งเหวินหัวเราะเบาๆ “ถ้าช่วงนี้เจ้าไม่มีอะไรทำ เจ้ามาที่โถงฝึกวรยุทธ์และมาแข่งกับข้าได้เสมอ เราต่างสามารถเรียนรู้ได้จากอีกฝ่ายและก้าวหน้าขึ้นไปด้วยกันได้”