ตอนที่ 22 โดย ProjectZyphon
หลังจากได้ยินที่ผมพูด ชินซังยงก็ก้มหน้าลงราวกับว่าคำพูดของผมไปเสียดแทงอะไรสักอย่างที่อยู่ในใจเขาเข้า คงเป็นเพราะเขาไม่อยากให้ผมเห็นใบหน้าที่ดูอิดโรยของเขา แต่แล้วน้ำตาหลายหยดก็ไหลลงมาบนริมฝีปากที่เม้มแน่นของเขา เขาสะอึกสะอื้นอยู่แบบนั้นสักพักโดยไม่คิดเช็ดมันออก
ผมยังคงเงียบเมื่อมองไปที่ชินซังยงที่ดูช่างมืดมนจนผมไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลย ผ่านไปสามนาทีซึ่งเหมือนสามชั่วโมงมากกว่า อาการสั่นระริกที่ไหล่เขาจึงได้เริ่มเบาลง
หลังจากนั้นเสียงแหบแห้งก็ดังขึ้นมาจากใบน้าที่ก้มงุดๆ อยู่
“ผมไม่รู้ว่าคุณจะจำได้หรือเปล่า…แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณเคยพูดกับผมเอาไว้น่ะครับ”
“อะไรหรือครับ”
“เมื่อรู้สึกว่ามาถึงขีดจำกัดของตนเองแล้วก็ต้องทำมันให้สำเร็จด้วยการข้ามกำแพงนั้นไปด้วยแรงกำลังของตัวเอง แม้ว่าระหว่างที่ข้ามไปจะเหน็ดเหนื่อยยากลำบากเพียงใด…แต่เมื่อเราข้ามมาด้วยตัวเราเองแล้ว กำแพงนั้นจะกลายเป็นสิ่งค้ำยันที่คงทนแข็งแรงอยู่ใต้เท้าเรานั่นเอง”
ผมจำได้ นั่นเป็นคำพูดที่ผมได้พูดกับพวกเขาเมื่อจองฮายอนและชินซังยงเข้ามาเป็นสมาชิกวันแรกตั้งแต่ยังอยู่ที่มิวล์ ผมพยักหน้ากลับไปเงียบๆ
“เมื่อก่อน ก่อนจะได้พบกับแคลนลอร์ด ผมเคยเป็นคนที่เห็นแก่ชีวิตตัวเองเป็นสำคัญ เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่ผมจะออกไปจากเมือง ผมใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่ปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ แต่หลังจากที่ได้พบกับแคลนลอร์ดและได้ใช้ชีวิตกับเพื่อนๆ สมาชิกเผ่าคนอื่นๆ ผมก็เริ่มมีความคิดว่าอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้างครับ ไม่สิ ผมว่าผมน่าจะเปลี่ยนครับ”
จากเปลี่ยนกลายเป็นน่าจะเปลี่ยน ผมลอบกลืนน้ำลายให้กับคำพูดที่มีความหมายลึกซึ้งซึ่งผมไม่อาจรู้ได้
“นั่นเป็นจุดประสงค์ที่ทำให้ผมเข้าร่วมในสงครามนี้ครับ แสดงท่าทีกล้าหาญให้แคลนลอร์ดเห็น แต่ในเวลานี้ผมรู้ซึ้งแล้วครับว่ามันไม่ใช่ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว แต่ทว่าคือความบ้าบิ่นต่างหาก”
“…”
“ผมอยากจะพิสูจน์ให้คุณเห็น…ว่าผมทำได้ ผมเปลี่ยนได้แต่…ฮ่าๆ คนที่มันไม่เอาถ่าน ทำอย่างไรมันก็ไม่ได้หรอกครับ”
“ผู้เล่นชินซังยง”
ชินซังยงส่ายหน้าช้าๆ ตอบรับคำเรียกของผม สุดท้ายแม้ผมจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังออกมา แต่ก็ฟังดูเหมือนจะเป็นการหัวเราะเยาะตัวเองเสียมากกว่า
“ผมได้ยินว่าคุณหมดสติไป ขออภัยจริงๆ นะครับที่ไปไม่ได้ ผมอยากจะวิ่งไปหาแล้วถามข่าวคราวของคุณได้อย่างใจนึกแต่ว่า…”
ชินซังยงหยุดพูดไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าที่ก้มมาตลอดขึ้นมาให้ผมเห็นเสียที รอยยิ้มเศร้าสร้อยวาดอยู่บนริมฝีปาก เขาพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากเงียบมาสักพัก
“ผมไม่อยากให้แคลนลอร์ดต้องมาเห็นผมในสภาพเช่นนี้เลยครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้นผมก็รีบตอบออกไปในทันที
ดวงจันทร์สีนวลลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า เมฆดำสนิทราวกับมีหมึกสีดำอยู่ข้างในนั้นและกลดของดวงจันทร์ที่วาดขึ้นเป็นทรงกลมทำนายได้ว่าพรุ่งนี้คงมีฝนเป็นแน่ ผมแหงนมองดูฟ้านิ่งๆ ก่อนจะเข้าไปในเต็นท์แต่
จู่ๆ ลมหนาวเย็นของยามราตรีก็โอบล้อมรอบตัวผมเอาไว้
บรรยากาศเงียบสงบเข้าปกคลุมค่ายของฝั่งตะวันออก แต่อากาศขุ่นมัวกลับโปรยปรายลงมาจากที่ใดสักแห่ง บางทีอาจเป็นผลที่เกิดจากการต่อสู้เมื่อวานนี้ก็เป็นได้
ตั้งแต่ที่การต่อสู้ได้อุบัติขึ้น เมื่อวานเป็นวันที่ฝั่งตะวันออกได้รับความเสียหายมากที่สุด จำนวนผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันแล้วคือยี่สิบสองศพ อาจเป็นเพราะพวกเขาทนพิษบาดแผลที่เหล่าศัตรูกระหน่ำระเบิดลงมาที่แถวหน้าไม่ไหว จริงอยู่ที่ฝ่ายตรงข้ามเองก็มีความเสียหายมากมายเช่นกัน แต่ในตอนนี้เรายังไม่รู้รายละเอียดที่แน่ชัดนัก
โดยส่วนตัวแล้วนั้น ผมว่ามันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่บรรยากาศขุ่นมัวเช่นนี้จะโปรยปรายลงมาเพราะการตายของทั้งยี่สิบสองคน สุดท้ายแล้วกำลังใจก็เป็นสิ่งสำคัญ ความจริงที่ว่าเราเกือบจะพ่ายแพ้อย่างยับเยินในครั้งนี้ช่างน่าตกใจพอๆ กับการที่เราเป็นผู้อยู่เหนือกว่าในการต่อสู้มาตลอดจนถึงตอนนี้
ถึงจะบอกว่าผมเองก็สร้างความเสียหายให้กับพวกศัตรูด้วยการส่งมังกรไฟกลับคืนไปเช่นกัน แต่ก็ดูเหมือนว่าขวัญกำลังใจก็ไม่ได้คืนกลับมาเท่าใดนัก
พรุ่งนี้สิคือปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความได้เปรียบหรือจะสลับกัน แต่ผมไม่คิดว่าเราจะโจมตีแบบนั้นได้อีกครั้งหรอกนะ…
“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”
ทันใดนั้น ขณะที่ผมตัดสินใจว่าจะหยุดคิดเพียงเท่านี้แล้วแยกย้ายไปนอน ผมก็ได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ยั่วยวนเรียกผมเข้า
“ยังไม่นอนสินะคะ โล่งอกไปที”
“แคลนลอร์ดหอคอยแห่งเวทมนตร์?”
หญิงสาวที่เรียกผมก็คือนักมายากลไพ่ทาโร่ต์ ซอนยูลนั่นเอง หล่อนยักไหล่ขึ้นครั้งหนึ่งตามด้วยพยักหน้าอีกครั้งสองครั้ง
“เรียกแบบนั้นไม่ลำบากแย่หรือคะ เรียกแค่ซอนยูลเฉยๆ จะขอบคุณมากเลยค่ะ”
“นี่ก็ดึกมากแล้ว เรื่องอะไรทำให้คุณมาถึงที่นี่ได้ล่ะครับ”
“ตายจริง”
ซอนยูลยกยิ้มมุมปากขึ้นมาทันทีที่ผมถามถึงธุระของหล่อน ก่อนจะตอบออกมาอย่างรวดเร็วราวกับรับรู้ความคาดหวังของผม
“ใช่แล้วล่ะค่ะ ฉันมีธุระกับแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ เป็นธุระทางการแล้วก็ธุระส่วนตัวรวมแล้วก็สามข้อ ก็เลยมาที่นี่นี่แหละค่ะ ข้อแรกเป็นเรื่องคำร้องขอย้ายผู้เล่นที่แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ได้ขอเอาไว้ ข้อสองเป็นเรื่องที่ฉันต้องขอโทษคุณเป็นการส่วนตัว และข้อที่สามคือข่าวที่ฉันต้องแจ้งให้คุณทราบค่ะ”
“หากเป็นเรื่องคำร้องเรื่องย้ายคน…ตอนนี้คุณอยู่ระหว่างพักหรือเปล่าครับ”
“ค่ะ จริงๆ แล้วต้องเป็นคนอื่นที่มาแจ้งข่าวกับคุณ แต่เพราะฉันเองก็มีธุระกับคุณอยู่แล้วด้วยก็เลยเป็นคนมาแจ้งพร้อมกันเสียเลยน่ะค่ะ”
ผมจ้องมองซอนยูลที่พูดลื่นเหมือนน้ำไหลด้วยความรู้สึกใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน
“แล้วฉันก็ไม่ใช่คนที่จะนอนโดยที่ยังมีงานที่ต้องทำค้างอยู่เสียด้วย รบกวนหน่อยนะคะ”
ผมเกาหัวพร้อมกับถอนหายใจออกมาเมื่อซอนยูลเลิกคิ้วขึ้นแบบนั้น พูดตามตรงหล่อนไม่ได้รบกวนเลย กลับกันผมยินดีด้วยซ้ำ เพราะผมเองก็นิสัยเหมือนกันกับหล่อนน่ะสิ
“ฟู่วว คำร้องเรื่องย้ายคนออก…ก็เป็นแบบนั้นล่ะครับ ข้าขอให้แคลนลอร์ดหอคอยแห่งเวทมนตร์ช่วยเข้าใจด้วยนะครับ”
“หากเป็นเรื่องของผู้เล่นชินซังยงล่ะก็ ฉันรู้ค่ะ เพราะฉันเองก็ให้ความสนใจกับเขามาตลอดอยู่แล้วนี่คะ อย่างไรก็ตาม…เอาเถอะ จะอนุมัติให้ค่ะ แต่ฉันอยากให้คุณทราบเอาไว้อย่างหนึ่งนะคะแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”
“อะไรหรือครับ…”
“หากคุณได้ยินข่าวลือที่อยู่รอบตัวชินซังยง ฉันก็อยากบอกคุณว่าข่าวลือนั้นไม่เป็นความจริงเลยนะคะ ฉันรับประกันได้ค่ะ”
ข่าวลือแปลกๆ รอบตัวของชินซังยงก็คือเรื่องที่เขามักจะแยกตัวออกมาในระหว่างเดินทัพอยู่เป็นประจำ เป็นสถานการณ์ที่ข่าวลือน่าขายหน้าแพร่สะพัดไปทั่วว่าเขาไม่เข้าร่วมทัพในการต่อสู้ ไม่ใช่สิ ‘ไม่สามารถ’ ต่างหาก
“อย่างไรเสีย คุณชินซังยงเข้าร่วมในทุกการต่อสู้ที่เกิดขึ้น เขาต่อสู้อย่างเต็มกำลังเท่าที่เขาจะสามารถทำได้แล้วจริงๆ ค่ะ”
แต่ผมก็พยักหน้าตอบกลับไปเพราะผมเองก็รู้อยู่แล้วว่าข่าวลือเหล่านั้นเป็นความจริง หลังจากเห็นผมตอบรับ ซอนยูลก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องคำร้องขอย้ายก็เรียบร้อยไปแล้ว…ตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่ฉันต้องขอโทษคุณเป็นการส่วนตัวแล้วนะคะ”
“ไม่ทราบว่าคุณทำอะไรผิดกับผมไว้หรือครับ”
“ค่ะ คุณยังจำที่ฉันดูดวงให้ได้หรือเปล่าคะ”
“จำได้สิครับ”
“หลังจากที่คุณกลับไป ฉันเปิดไพ่เหล่านั้นดูตามอำเภอใจน่ะค่ะ ถึงจะตีความคำทำนายไม่ได้แต่ก็…ขอโทษด้วยนะคะ”
แล้วจะให้ฉันพูดอะไรได้อีก
ผมไม่เข้าใจที่หล่อนอุตส่าห์มาหาผมเพียงเพื่อจะขอโทษที่เปิดไพ่ของผมดู แต่ผมคิดว่าคงเพราะมันเป็นงานของหล่อน และผมเองก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอยู่แล้วเพราะถึงอย่างไรหล่อนก็ไม่สามารถทำนายไพ่ออกมาได้อยู่ดี
“ผมแค่ดูเพื่อความสนุกเท่านั้นเองครับ คุณไม่ต้องขอโทษหรอก”
“หึๆ ขอบคุณนะคะที่คิดเช่นนั้น”
ดูเหมือนหล่อนจะถูกใจคำตอบของผมจึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลดระยะห่างกับผมลงเรื่อยๆ หล่อนก้าวออกมาข้างหน้าสองก้าวแล้วจู่ๆ ก็ส่งมือมาให้ผม ในมือนั้นมีไพ่ทรงสี่เหลี่ยมใบหนึ่งอยู่ด้วย
“นี่ของขวัญค่ะ ฉันให้”
“นี่มัน…ไพ่เวทมนตร์ที่แคลนลอร์ดหอคอยแห่งเวทมนตร์ใช้ส่วนตัวไม่ใช่หรือครับ”
“ไพ่ใบนี้เป็นไพ่ใบสุดท้ายจากทั้งสิบห้าใบที่ท่านได้เปิดเมื่อคราวก่อนค่ะ จนถึงใบที่สิบสองเป็นไพ่ที่ฉันใช้ในเวลาปกติค่ะ แต่ใบที่สิบสามถึงสิบห้าไม่ใช่หรอกค่ะ คิดเสียว่าเป็นอุปกรณ์เสริมในการดูดวงของฉันเหมือนกับนาฬิกาที่เคยให้ดูในตอนนั้นก็ได้นะคะ”
“ถึงอย่างนั้น…”
“สิ่งที่สำคัญก็คือ มันอาจจะเป็นไพ่ที่ไร้ประโยชน์สำหรับฉันแต่สำหรับแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่แล้ว มันเป็นสิ่งจำเป็นเลยนะคะ”
ถึงจะเป็นคำพูดที่ดูกำกวมแต่ผมก็กลืนคำปฏิเสธกลับลงคอไปอีกครั้ง หลังจากผ่านไปสักพักจึงยื่นมือออกไปหาไพ่นั้นช้าๆ
ผมไม่รู้สึกถึงพลังเวทแต่อย่างใดและแม้จะมองดวงตาที่สามก็แล้ว แต่ก็ไม่มีข้อมูลพิเศษอะไรออกมาให้เห็น ถึงจะไม่รู้ว่าไพ่นี่จะช่วยผมได้อย่างไรแต่ผมว่ารับมาก่อนก็ไม่เสียหายอะไร
ผมมองเห็นด้านหลังของไพ่ใบที่ผมรับมา ผมสะบัดไพ่เล็กน้อยโดยที่ยังกำมันอยู่ในมือ ซอนยูลยักไหล่อีกครั้งราวกับจะบอกให้ผมทำตามใจได้เลย ถึงจะลังเลไปบ้างว่าผมควรจะดูดีหรือไม่ แต่ไหนๆ ก็รับมาแล้ว ผมว่าแค่ดูรูปวาดบนนั้นคงไม่เป็นอะไร เพราะผมเองก็ไม่ได้ไพ่อื่นที่เชื่อมกันและความเป็นไปได้ที่ผมจะตีความไพ่ได้ก็ต่ำมากด้วย
คิดดังนั้นผมก็รีบพลิกมันไปอีกด้านทันที
รูปคนสองคนชายหญิงถูกวาดอยู่บนไพ่ โดยในรูปเน้นไปที่รูปผู้หญิง ดูจากปีกที่มีอยู่แล้วคงจะสื่อความหมายถึงทูตสวรรค์ ซึ่งมองเพียงเผินๆ ใบหน้าของหล่อนอาจดูไร้ความรู้สึกแต่พอมองให้ลึกลงไปจะเห็นว่ามีน้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาและในอ้อมแขนของทูตสวรรค์เจ้าน้ำตานั้นก็กำลังโอบกอดชายอยู่คนหนึ่ง
หนึ่งจุดที่พิเศษของไพ่ใบนี้ก็คือ ปีกของทูตสวรรค์ถูกระบายเป็นสีดำ
“จริงสิ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่คะ พอมาลองนึกดูแล้ว คุณบอกว่ามีข่าวจะบอกฉันไม่ใช่เหรอคะ”
นี่ผมจดจ่อกับมันมากไปหรือเปล่า เพราะเมื่อผมได้ยินเสียงที่ฟังดูราวกับอยู่ในความฝันของซอนยูล ผมก็มองไปที่ทูตสวรรค์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเงยหน้าขึ้น แต่เมื่อสายตาผมสบเข้ากับใบหน้าของหล่อน คำพูดของผมก็ดูเหมือนจะเลือนหายไปเสียอย่างนั้น
เอ๊ะ…?
“ฉันยังไม่ได้บอกเหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ นะคะ…ฮะๆ เป็นข่าวดีน่ะค่ะ ในที่สุดก็ได้ข่าวจากฝั่งเหนือและฝั่งใต้แล้วค่ะ”
ไม่รู้ทำไม แต่เมื่อผมมองตาของทูตสวรรค์ จู่ๆ ผมก็นึกถึงบางคนที่คุ้นเคย คนคนนั้น…
เซราฟ?