ส่วนที่ 4 ตอนที่ 187 ฐานรองนั่งดอกบัวหยกสีเลือด

ความลับแห่งจินเหลียน

รอจนสวี่อี้หรานยกน้ำเข้ามาแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็พยายามฝืนกลั้นความรู้สึกสะอิดสะเอียนและนั่งอยู่บนเก้าอี้เป็นที่เรียบร้อย เป็นไปตามที่เธอคาดการณ์ไว้ หากสิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้ว เธอก็สามารถใช้พลังมองทะลุผ่านได้เหมือนเดิม แต่กับสิ่งที่เธอใช้พลังไม่ได้ก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นสิ่งมีชีวิต

 

การทดลองนี้เท่ากับว่าล้มเหลวไม่เป็นท่า แม้ว่าสวี่อี้หรานพยายามดึงดันให้ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายอยู่ทานข้าวต่อที่บ้านของตน แต่เมื่อซีเหมินจินเหลียนคิดถึงสภาพในตู้เย็นของเขาที่แช่แข็งของสกปรกต่างๆ ไว้ แล้วใครจะไปมีความอยากอาหารกัน…ต่อจากนี้เธอคงต้องอยู่ให้ห่างเขาหน่อยแล้ว หมอเป็นสิ่งที่น่าหวาดผวามาก

 

ตอนที่สวี่อี้หรานเดินมาส่งซีเหมินจินเหลียน เมื่อกลับมาเขาก็รู้สึกกล้ำกลืนยิ้มไม่ออก ในใจเขาเข้าใจดีว่าซีเหมินจินเหลียนน่าจะกลัวกายวิภาคของมนุษย์เหล่านั้น หากรู้ก่อนหน้านี้เขาคงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ดูสิทำให้เธอตกใจจนรีบหนีไปแล้ว

 

ถัดมาไม่กี่วัน ซีเหมินจินเหลียนก็กำชับให้จ่านป๋ายจองตั๋วเครื่องบินไปกลับให้ ส่วนเธอกลับปิดประตูสนิท ตั้งใจอยู่กับการแกะสลักหยกสีเลือดดอกบัวแดงนั่น

 

ความพยายามหนึ่งสัปดาห์ที่ยืนหยัดมา ในที่สุดฐานรองนั่งดอกบัวหยกสีเลือดก็แกะสลักเสร็จจนเป็นรูปเป็นร่าง จ่านป๋ายจึงรีบไปช่วยเธอขัดและเจียระไนให้แวววาว

 

“เสี่ยวป๋าย ในที่สุดก็สำเร็จจนได้!” ซีเหมินจินเหลียนกระโดดไปยังฐานรองนั่งดอกบัวหยกสีเลือด และเดินไปรอบๆ จ่านป๋ายที่กำลังมองอยู่ได้แต่เหม่อลอย

 

“สวยเหลือเกิน ระยิบระยับเปล่งประกาย!” จ่านป๋ายพยักหน้าพูด “หยกว่าสวยแล้ว แต่คนสวยยิ่งกว่า”

 

“เหลวไหล!” ซีเหมินจินเหลียนถลึงตาใส่เขา “ฉันรู้ว่าฉันยังสวยไม่พอ ถ้าเทียบกับจางต่งเอ๋อร์แล้ว…ฉันก็เทียบไม่ติดด้วยซ้ำ”

 

“ในใจของผม คุณก็สวยที่สุดครับ” จ่านป๋ายยิ้ม

 

“คุณ…เสี่ยวป๋าย ฉันคิดปัญหาร้ายแรงขึ้นมาได้บางอย่าง” จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็พูดขึ้นมา

 

“หือ?” จ่านป๋ายนิ่งงันไป ปัญหาร้ายแรงอะไรกัน? ฟ้ากำลังจะถล่มเหรอ

 

“ของพวกนี้เราก็ไม่สามารถเอาไว้ที่ห้องใต้ดินได้ตลอดใช่ไหม?” สีหน้าของซีเหมินจินเหลียนดูเป็นทุกข์ “ถึงเราจะไม่ขาย แต่ยังไงก็ไม่ควรที่จะตั้งไว้ที่ห้องใต้ดินแบบนี้ แต่หนักอย่างนี้จะย้ายยังไงกัน? และยังไม่สามารถเรียกใครมาช่วยได้อีก…” น้ำหนักของฐานรองดอกบัวหยกสีเลือดไม่ได้เบาเลย แม้หยกจะสวยแค่ไหน แต่มันก็แค่หินหนักๆ ก้อนหนึ่ง

 

จ่านป๋ายได้ยินแล้วก็นิ่งไปนาน ครุ่นคิดไปมาถึงขมวดคิ้วพูดขึ้น “พวกเราสามารถใช้รถฟอร์คลิฟท์ขนาดเล็กขนย้ายมันไปยังห้องรับแขกข้างใน จากนั้นก็ค่อยเรียกคนมาขนย้ายก็ได้ ว่าแต่ คุณอยากจะย้ายไปที่ไหนครับ?”

 

“ย้ายมาที่ห้องฉัน” ซีเหมินจินเหลียนพูด

 

“ของแบบนี้วางได้แค่ในห้องของคุณ เอาไว้นั่งเล่นทั่วไป ไม่อย่างนั้นหากนำไปไว้ข้างนอก ใครจะซื้อไหว?” จ่านป๋ายยิ้ม

 

“ฉันไม่ได้คิดจะขายสักหน่อย” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “ถึงจะขายก็ต้องรอให้ฉันเล่นให้สมใจก่อนสิ”

 

“จินเหลียน รอให้ทำหยกนี่เสร็จแล้ว ผมจะถ่ายรูปตอนที่คุณกำลังลอยให้ดีไหม? รวมเข้ากับเครื่องประดับหยกทุกชนิดเพื่อทำเป็นตัวอย่างสร้างเป็นอัลบั้มโฆษณา คุณคิดว่าอย่างไร?” จ่านป๋ายเผยรอยยิ้ม

 

ซีเหมินจินเหลียนคิดดูแล้ว ภาพเหาะเหิแน่นอนว่าเธอต้องเคยเห็น ท่วงท่าที่งดงาม หากเสริมเข้ากับฐานรองนั่งดอกบัวหยกสีเลือด ถ่ายรูปเป็นเซ็ตคงต้องสวยมากแน่ๆ ส่วนโฆษณา เธอคิดดูแล้วช่างมันเถอะ เก็บไว้ให้ตัวเองดูก็ได้แล้ว

 

“โอเค” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าถาม “จะไปพม่ากันเมื่อไหร่?”

 

“ผมจองตั๋วเครื่องบินวันมะรืนนี้ ตอนแรกคิดว่าคุณอาจจะต้องใช้เวลาสักสองวันถึงจะทำเสร็จ แต่คิดไม่ถึงว่าคุณจะทำเสร็จเร็วขนาดนี้” จ่านป๋ายพูด

 

“ฉันต้องรีบสิ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกเรายังมีเวลาถ่ายรูปได้อีกหลายรอบ ฉันจะไปจองเสื้อ”

 

จ่านป๋ายเห็นเธอดีอกดีใจ ก็มีความสุขล้นเต็มอก รีบใช้รถฟอร์คลิฟท์นำฐานรองดอกบัวหยกสีเลือดไปยังประตูลิฟต์ จากนั้นโทรไปหาคนที่เชื่อใจได้ให้ช่วยขนย้ายหยกไปด้านบน

 

ซีเหมินจินเหลียนรู้ว่าทักษะฝีมือการถ่ายรูปของจ่านป๋ายไม่เลว เธอเลยดีใจมาก รีบเลือกเครื่องประดับหยกหลากหลายรูปแบบนำมาใส่ให้เข้ากับชุด และให้เขามาช่วยถ่ายรูป

 

วุ่นวายจนถึงเที่ยงคืน จ่านป๋ายก็ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยปรับแต่งรูป เขาอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มออกมา รูปหนึ่งซีเหมินจินเหลียนกำลังเหาะเหินเวหาและในมือกำลังโปรยดอกไม้ ท่วงท่าที่งดงามเสริมกับฐานรองนั่งดอกบัวสีเลือด ทำให้เธอดูราวกับเทพธิดากำลังเหาะเหินอยู่บนเวหาจริงๆ…

 

หลังจากที่ฐานรองนั่งดอกบัวหยกสีเลือดแกะสลักเสร็จ ซีเหมินจินเหลียนก็เรียกจ่านป๋ายให้จัดเตรียมกระเป๋า ไปอวี้ตูหยางเหม่ยก่อน จากนั้นค่อยไปพม่า ครั้งนี้เธอเตรียมตัวไว้สิบวัน อยากจะไปดูว่าสามารถหาหินหยกลักษณะดีได้หรือเปล่า ครั้งนี้เธอไม่ได้คันไม้คันมือแล้ว ซื้อกลับมาตั้งไว้ก่อนแล้วค่อยเจียระไนหิน แน่นอนว่าหากมีหินหยกที่น่าอัศจรรย์ใจก็ค่อยว่ากัน

 

บนเครื่องบิน ซีเหมินจินเหลียนถามจ่านป๋าย “ครั้งนี้พวกเราต้องซื้อมากพอสมควร มีที่ไหนที่สามารถเก็บหินหยกไว้ได้บ้าง?”

 

“หินหยกธรรมดาสามารถเอาไว้ที่โรงงานแปรรูปของเราได้ เพราะที่นั่นติดตั้งระบบความปลอดภัยที่ผมทำขึ้น ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ส่วนหินที่มีค่าหน่อยก็เอาไว้ที่บ้านพวกเราเองเถอะครับ” จ่านป๋ายพูด

 

ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าแล้วยิ้ม มีจ่านป๋ายคอยช่วยเธอจัดการเรื่องพวกนี้ ก็ช่วยแบ่งเบาภาระของเธอไปเยอะ ส่วนการออกแบบหยกหลากหลายแนวของหลินเสวียนหลานก็ถือว่าโดดเด่นไม่ซ้ำใคร การออกแบบที่แปลกใหม่ หากขายสู่ตลาดคงต้องได้ใจผู้บริโภคไปไม่น้อย ธุรกิจของบริษัทจินเหลียน จิวเวอรี่คงได้โด่งดังไม่หยุด

 

ซีเหมินจินเหลียนเองได้ถามหลินเสวียนหลานเป็นการส่วนตัวว่า ในเมื่อมีพรสวรรค์ในการออกแบบคอลเลคชั่นใหม่ๆ ทำไมเมื่อก่อนตอนที่อยู่บ้านถึงไม่เคยออกแบบมาก่อน?

 

หลินเสวียนหลานได้ยินคำถามนี้เข้า เขาก็ทำได้แค่ฝืนยิ้ม ภาพสเก็ตหยกพวกนี้เขาเพิ่งมีไอเดียตอนที่ทำงานกับเธอ บริษัทที่ไหนจะมีหยกแบบนี้ให้เขาได้ใช้กัน?

 

ยิ่งเป็นรูปแบบการออกแบบที่แปลกใหม่ยิ่งต้องสิ้นเปลืองวัสดุหยกมากขึ้น…โดยทั่วไปการออกแบบหยก นอกเสียจากแบบดั้งเดิมพวกนั้นแล้ว หยกก้อนใหญ่ไม่ใช่ว่าจะไม่มี เพียงแต่อาศัยการจำลองแบบสีของช่างฝีมือ จากนั้นถึงค่อยตัดสินใจว่าจะแกะสลักเป็นเครื่องประดับอะไร

 

เหมือนกับซีเหมินจินเหลียน เริ่มจากการสเก็ตเครื่องประดับหยกก่อน จากนั้นก็หาหยกที่เหมาะสมมาแกะสลัก เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น

 

“หวังว่าครั้งนี้จะสามารถหาหยกที่เหมาะสมที่จะนำมาทำเป็นเตาเผาฟ้าดินได้นะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด เธอกับหลินเสวียนหลานคิดไว้แบบนั้น หลินเสวียนหลานรีบสเก็ตรูปให้เธอ ตอนนี้มีภาพสเก็ตของเตาเผาฟ้าดินหลายภาพ เพียงแต่วัสดุที่ต้องการนั้น ต้องใช้คำพูดของจ่านป๋ายมาอธิบายว่า ต้องพิถีพิถันในการเลือกสอย

 

“จินเหลียน ผมขอให้คุณยกเลิกความคิดนี้เถอะครับ” จ่านป๋ายพูด “จากที่ผมดูภาพสเก็ตที่หลินเสวียนหลานส่งมาให้ หาหินหยกที่จะเหมาะสมคงเป็นไปไม่ได้”

 

“แต่ฉันอยากทำนี่นา” ซีเหมินจินเหลียนพูด “คุณไม่พูดก็ดีอยู่หรอก แต่พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ฉันก็คาดหวังว่ามันจะมี…”

 

จ่านป๋ายยิ้มขมขื่น “คุณไม่ได้จะใช้หินปิดฟ้าสักหน่อย จะสนใจของสิ่งนี้ไปทำไม? ความจริงหากดูตามขนาดเล็กใหญ่ที่คุณพูด คงต้องใหญ่กว่าหยกสีเลือดหน่อย หากแกะสลักออกมา เกรงว่าคงไม่ได้สวยเท่าฐานรองนั่งดอกบัวหยกสีเลือด”

 

“หึ คุณจะไปเข้าใจอะไรกัน?” ซีเหมินจินเหลียนกลอกตาใส่เขา หากเจียระไนออกมาจริงๆ เกรงว่าคงต้องสวยกว่าฐานรองนั่งดอกบัวเสียเลือดเสียอีก

 

“โอเคๆๆ ผมไม่เข้าใจอะไร?” จ่านป๋ายพูด “ประเด็นก็คือ คุณจะทำมันขึ้นมาทำไมกันครับ? หรือว่าคุณอยากจะเลียนแบบเครื่องใช้ทุกอย่างในตำนานหินปิดฟ้าของเทพธิดาหนี่วา?”

 

“ฉันก็คิดไว้แบบนั้น” ซีเหมินจินเหลียนพูด

 

“โอเคๆๆ คุณพูดอะไรก็ตามนั้นแหละ หากหาหินไม่เจอ คุณอย่าร้องไห้ขี้มูกโป่งก็แล้วกันครับ” จ่านป๋ายชนะเธอไม่ได้ ทำได้แค่ถอนหายใจออกมา “ยิ่งหวังมาก ความผิดหวังก็ยิ่งมาก ผมเตือนคุณด้วยความหวังดีนะ ของสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียกร้องแล้วได้เจอง่ายๆ”

 

ซีเหมินจินเหลียนเบะปากไม่พูดอะไรออกมาอีก รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดคือความจริง แต่ในใจของเธอก็เดือดพล่านควบคุมไม่อยู่ แน่นอนการไปพม่าในครั้งนี้ก็เพื่ออยากไปดูเหมืองแร่หยก เหมืองแร่หยกพวกนี้ทำไมถึงก่อตัวเป็นหยกชั้นดีได้? หรือว่าเธอควรจะเข้าไปดูในเหมือง เข้าใจแหล่งของหยกราชางู…

 

เครื่องบินกำลังลงที่กว่างตง จากนั้นเปลี่ยนเครื่องเดินทางไปยังเจียหยาง เมื่อถึงเจียหยาง เวลาก็ดึกแล้ว จ่านป๋ายหาโรงแรมเพื่อพักค้างแรม ซีเหมินจินเหลียนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้านั่งพิงโซฟาดูโทรทัศน์ คิดไว้ว่าพรุ่งนี้ค่อยไปดูหินหยก

 

ขณะที่จ่านป๋ายกำลังเตรียมของบางอยู่ จู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขารีบไปกดปุ่มสปีคเกอร์โฟน ปลายสายก็มีน้ำเสียงรื่นหูส่งผ่านเข้ามาว่า “คุณผู้ชายต้องการใช้บริการไหมคะ”

 

จ่านป๋ายกำลังวางสาย ซีเหมินจินเหลียนจึงรีบใช้สายตาสั่งเขา เป็นความหมายให้เขาตอบรับ

 

บนศีรษะของจ่านป๋ายเต็มไปด้วยเหงื่อไหลพรู ในใจสงสัยไม่หยุด หรือซีเหมินจินเหลียนชอบเลสเบี้ยน ไม่น่าใช่หรอกมั้ง? แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังทำตามที่เธอขอร้องให้ผู้หญิงในปลายสายมาที่ห้อง

 

“จินเหลียน คุณคงไม่ได้มีความชอบส่วนตัวแบบนี้ใช่ไหมครับ?” จ่านป๋ายวางสายและรีบถามอย่างร้อนรน

 

“คุณน่ะสิถึงจะชอบแบบนี้!” ซีเหมินจินเหลียนกลอกตาพร้อมแค่นเสียงเหอะใส่

 

“แล้วทำไมคุณถึงให้เธอเข้ามาล่ะ” จ่านป๋ายถามขึ้น

 

“พวกเราอยู่ที่เจียหยาง ไม่ได้คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้…แต่การทำธุรกิจแบบนี้ก็ต้องหาคนในพื้นที่ หากให้เงินกับเธอและให้เธอช่วยนำทางให้พวกเรา นั่นก็ไม่ดีกว่าเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนพูด “หรือว่าคุณยังหวังว่าหากพวกเราไปซื้อของที่ถนนหยกโบราณจะยังสามารถซื้อสินค้าดีๆ ได้อีก?”

 

“ถนนหยกโบราณอาจมีแต่ของมีตำหนิ” จ่านป๋ายพูด “ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่ครั้งก่อนก็ไม่ใช่ว่าคุณรู้จักคนที่นี่แล้วหรือ? ชื่ออะไรนะ เหล่าหลี่ใช่ไหม?”

 

“พรุ่งนี้ค่อยติดต่อเขาก็ได้ ตอนนี้ไม่เหมือนกับงานประมูลหยก แต่ละบริษัทต่างอยากขายสินค้า ตอนนี้มีสินค้าดี เจ้าของเลยไม่รีบขาย เกรงว่าคงเก็บของดีสะสมไว้ หากมีคนสนิทที่คอยช่วยติดต่อมันก็เป็นเรื่องที่ดี” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ขอแค่พวกเราสร้างกระแสจากหยกให้ได้ หินหยกนี้คงเพิ่มราคาไม่น้อย…ฉันก็ไม่น่าโยนหินใส่เท้าตัวเอง[1]เลยจริงๆ!”

 

จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นอดไม่ได้ที่จะปรบมือชื่นชม “คำเปรียบเปรยนี้ คุณก็ใช้ได้ดีเลย แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่าคุณโยนหินใส่เท้าตัวเองแล้วหรอกเหรอ?”

 

ซีเหมินจินเหลียนกำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับได้ยินเสียงเคาะประตูก่อน จ่านป๋ายเดินไปทางประตู

 

ด้านนอกประตูมีผู้หญิงหน้าตาใสสะอาด อายุราวๆ ยี่สิบยืนอยู่ด้านหน้าประตู จ่านป๋ายหลีกตัวให้เธอเข้ามาข้างใน

 

 

 

[1] โยนหินใส่เท้า เป็นสำนวนหมายถึง การหาเรื่องใส่ตัว หาปัญหาให้ตัวเอง