ตอนที่ 1799

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,799 : ผู้สังเกตการณ์

 

“หรงฟ่านนั้นท่าทางจะฉลาดไม่เบา มันคงไม่ย้อนกลับไปคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องหรอก…ข้าเชื่อว่าตอนนี้มันสมควรรู้แล้วว่าเกิดเรื่องขึ้น”

 

สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายสว่างวาบ กล่าวออก

 

หรงฟ่านที่ว่าเขาเองก็จดจำได้ มันคือชายหนุ่มหลังค่อมที่ติดตามฉีจิ้งมาเข้าร่วมการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องที่หุบเขาหลิงหลง แต่ก็ไม่นับว่ามีความสำคัญอะไร…

 

เหตุผลเดียที่ต้วนหลิงเทียนจำมันได้ก็คือ หลังมันค่อมจนมองไปคล้ายโหนกอูฐเท่านั้น! ส่วนอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว!!

 

“แม้จะระแคะระคายบางอย่างแต่มันคงยังไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด…หาไม่แล้วก่อนที่พวกเราจะกลับมา ข่าวต้องแพร่กระจายออกไปทั่ว”

 

กู่ลี่กล่าว “ตอนนี้จ้าวเติงกับบิดาของมันได้นำกำลังคนไปเฝ้าระวังที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ใครก็ตามที่ไปเยือนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องช่วงนี้ล้วนไปได้แต่กลับมิได้! เช่นนั้นพวกเราจึงวางใจได้ว่าช่วงนี้เรื่องราวการฆ่าล้างที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องสมควรมิแพร่งพรายออกไป…”

 

“หากเรื่องราวนี้แพร่กระจายออกไป คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่นก็จะถูกลบออกจากรายนามขุมพลังชั้น 4สินะ…จะอย่างไรก็แล้วแต่กระดาษย่อมมิอาจห่อไฟได้นาน…จ้าวตำหนักคิดจัดการกับเรื่องราวหลังจากนี้ยังไงหรือพี่กู่?”

 

ต้วนหลิงเทียนถามด้วยความสงสัย

 

“ท่านจ้าวตำหนักคิดให้จ้าวเติงกับบิดาของมันรั้งอยู่ที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจนกว่า วิญญาณของฉีจิ้งจะฟื้นตัวจนรับการสืบค้นวิญญาณเพื่อดึงข้อมูลของเคล็ดบำเพ็ญมารได้…”

 

กู่ลี่กล่าวออกเสียงเคร่ง “หากเคล็ดบำเพ็ญมารนั่นเป็นอวิชชาชั่วร้าย ตำหนักฟ้าลี้ลับเราจะรีบเปิดเผยเรื่องราวครั้งนี้ออกไปทันที ว่าลงมือแทนฟ้ากำราบหมู่มารปราบปรามอธรรม! อย่างไรก็ตามหากพบว่าเคล็ดบำเพ็ญมารนี้ มิได้มีแนวทางอันชั่วร้าย พวกเราก็จะส่งคนไปตรึงกำลังไว้ที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจนกว่าจะจับตัวหรงฟ่านได้!”

 

ได้ยินคำตอบของกู่ลี่ แม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ค่อยเห็นดีกับการกระทำของเมิ่งฉิงสักเท่าไหร่ แต่ก็พอเข้าใจการตัดสินใจของอีกฝ่ายได้

 

แต่อย่างไรเสียถึงแม้เคล็ดบำเพ็ญมารนั่นจะไม่ใช่แนวทางอันชั่วร้าย เกรงว่าสุดท้ายเรื่องราวครั้งนี้ก็คงต้องแดงออกมาอยู่วันยังค่ำ ให้ส่งคนไปตรึงกำลังที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องและฆ่าคนที่ผ่านไปมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์

 

สุดท้าย กระดาษก็ไม่อาจห่อไฟได้!

 

หากคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเป็นขุมพลังไก่กาก็ไม่มีปัญหาอะไร…

 

แต่ปัญหาก็คือคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะขี้หมูขี้หมาก็เป็นขุมพลังชั้น 4 ที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของขุมพลังกึ่งชั้น 3 ขุมหนึ่ง! ไม่ช้าก็เร็วพวกมันก็ต้องส่งคนไปเยือนขุมพลังใต้อาณัติ!!

 

และตอนนั้นหากคนของขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่ไปเยือนตายตกหรือไม่อาจรายงานอะไรกลับมาได้ ย่อมทำให้ขุมพลึ่งกึ่งชั้น 3 ดังกล่าวรู้ตัวทันที!

 

ถึงตอนนั้นตำหนักฟ้าลี้ลับก็ไม่อาจปกปิดเรื่องล้างบางคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเอาไว้ได้อีกต่อไป…

 

แน่นอนว่าต่อให้คนของขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่ว่าไม่เกิดเรื่อง ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่นานก็ต้องแดงออกมาแน่นอน ดั่งกระดาษที่ไม่อาจไฟได้นาน!

 

สุดท้ายแล้วการที่มียอดฝีมือไปเฝ้าระวังไว้แบบนั้นตลอดเวลา ตราบใดที่เป็นคนปกติย่อมตระหนักได้ว่าสมควรมีปัญหา!

 

อย่างไรก็ตามถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้เห็นดีกับการลงมือของเมิ่งฉิง แต่เขาก็ไม่คิดจะพูดอะไรมาก เพราะสุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับเขาแค่เล็กน้อยเท่านั้น…

 

ส่วนเคล็ดบำเพ็ญมารนั่น ไม่ว่ามันจะมีระดับสูงล้ำปานไหนก็แล้วแต่ เขาไม่เคยสนใจ

 

เพราะเขาไม่เคยคิดจะเปลี่ยนไปเดินบนวิถีแห่งมารเลยสักครั้ง!

 

‘ด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิดของข้า พลังจึงเทียบได้กับขอบเขตอริยะเซียน หากใช้ตราผนึกมาร ขอเพียงอีกฝ่ายมีระดับพลังไม่เกินเซียนมนุษย์ ข้าสามารถใช้ตราผนึกมารฆ่าพวกมันได้ทั้งหมด!’

 

พอคิดถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความตื่นเต้นขึ้นมาไม่น้อย

 

ต้องทราบด้วยว่าตัวตนที่อยู่เหนือเซียนมนุษย์ แม้กระทั่งในตำหนักฟ้าลี้ลับก็มีน้อยคนนัก

 

จากที่เขาสังเกต ในตำหนักฟ้าลี้ลับมีเพียงแค่ 3 คนเท่านั้นที่สมควรมีพลังฝึกปรือสูงกว่าขอบเขตเซียนมนุษย์ นั่นได้แก่เมิ่งฉิง กู่ซืออวิ๋น แล้วก็จ้าวจิน แน่นอนว่าเขาไม่อาจยืนยันให้แน่ชัดได้

 

“พี่กู่ ท่านเป็นลูกชายของอาวุโสกู่ เช่นนั้นท่านต้องรู้ระดับพลังฝึกปรือของอาวุโสกู่ดี…ตอนนี้อาวุโสกู่สมควรอยู่ในขอบเขตเซียนปฐพีแล้วใช่หรือไม่?”

 

ต้วนหลิงเทียนที่มองกู่ลี่อยู่ก็นึกได้ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นบุตรชายของอาวุโสผู้พิทักษ์ เช่นนั้นต้องรู้ระดับพลังฝึกปรือของบิดาตัวเองดี

 

“ใช่”

 

ต่อหน้าต้วนหลิงเทียน กู่ลี่ก็ไม่คิดจะปกปิดอะไร “ท่านพ่อเองก็ทะลวงถึงเซียนปฐพีขั้นต้นเช่นเดียวกับจ้าวจิน”

 

“จ้าวจินเองก็มีพลังฝึกปรืออยู่ที่เซียนปฐพีขั้นต้นด้วยงั้นหรือ” ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจ

 

“ใช่”

 

กู่ลี่พยักหน้า “จากที่ท่านพ่อข้าบอก ผู้ที่ทะลวงถึงขอบเขตเซียนปฐพีมีเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น และผู้ที่ทรงพลังที่สุดก็คือท่านจ้าวตำหนัก ส่วนบิดาข้ากับจ้าวจี้อ่อนด้อยที่สุด”

 

“หืม? บรรลุขอบเขตเซียนปฐพี 4 คน? แต่อาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 กลับมีพลังฝีมือรั้งท้าย?”

 

ลูกตาต้วนหลิงเทียนสว่างวาบขึ้นมาทันใด “ถ้างั้นนอกจากจ้าวตำหนักกับอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 …ยอดฝีมืออีกคนเป็นใครกัน…”

 

“เจ้าลองเดาดูสิ”

 

กู่ลี่หัวเราะ

 

เมื่อเห็นกู่ลี่หัวเราะออกมาแบบนี้ สองตาต้วนหลิงเทียนก็หยีลง ทันใดนั้นร่างหนึ่งพลันปรากฏในหัว “อ่า อย่าบอกนะว่าเป็นอาวุโสที่เฝ้าสระวิญญาณของวังนภา…บรรพจารย์ของท่านน่ะหรือพี่กู่?”

 

“ใช่!”

 

กู่ลี่พยักหน้ารับ ก่อนที่จะระบายลหายใจออกมาอย่างทอดถอน “ท่านบรรพจารย์นับว่าชะตาอาภัพนัก เพราะท่านได้รับบาดเจ็บสาหัสตอนเสียแขน ทำให้ยากจะก้าวหน้าอันใดได้อีก หาไม่แล้วด้วยศักยภาพพรสวรรค์ของท่าน ป่านนี้คงบรรลุถึงเซียนนภาไปแล้ว! ท่านบรรพจารย์คงได้เดินทางไปยังภูมิภาคเบื้องบนบรรลุขอบเขตพลังอันร้ายกาจ มิใช่มาจมปลักอยู่ในภูมิภาคเบื้องล่างเช่นนี้!”

 

“ภูมิภาคเบื้องบนมิใช่ขอเพียงเป็นตัวตนขอบเขตอริยะเซียนก็ไปได้หรือพี่กู่…ด้วยพลังฝีมือของอาวุโสสมควรไปได้มิยากเย็นนี่นา?”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยสงสัย

 

“เรื่องนั้นก็มิผิด…”

 

กู่ลี่พยักหน้าก่อน ค่อยตอบออกด้วยรอยยิ้มขื่นขม “แต่อย่างไรเสียท่านบรรพจารย์ก็เคยเป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์ ไหนเลยท่านบรรพจารย์จะทนมองศิษย์พี่ศิษย์น้องที่เติบโตมาด้วยกันก้าวหน้าจนพลังฝีมือทิ้งห่างท่านไปไกลได้…มีเพียงอยู่ภูมิภาคเบื้องล่าง และเฝ้าสระวิญญาณเอาไว้เช่นนั้น ท่านจึงยังพอรักษาความภาคภูมิใจสุดท้ายเอาไว้ได้”

 

ต้วนหลิงเทียนพอได้ฟังก็เข้าใจ คิดไปมันก็จริงอย่างว่า

 

“พี่กู่…ในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ สมควรมีตัวตนขอบเขตเซียนนภาอยู่ด้วยใช่หรือไม่?”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามเรื่องราวที่สงสัยในใจมาสักพัก

 

“มี!”

 

ทันทีที่คำพูดของต้วนหลิงเทียนจบลง กู่ลี่ก็กล่าวตอบให้ความกระจ่างแก่เขา

 

“มีจริงๆงั้นเหรอ…แต่เท่าที่ข้าเคยอ่านผ่านตามา ไม่มีใครในขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่มีพลังฝึกปรือถึงขอบเขตเซียนนภาเลยนี่นา ที่สำคัญเมื่อบรรลุถึงขอบเขตเซียนปฐพี แม้จะยังไม่ได้มีชีวิตนิรันดร์ แต่เพียงพันสองพันปีสมควรไม่มีปัญหา ทว่าหลังจากอยู่มานานขนาดนั้นแต่ไม่มีใครทะลวงผ่านขอบเขตเซียนปฐพีบรรลุถึงเซียนนภาเลยงั้นเหรอ?”

 

พอคิดถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนยิ่งงงไปกันใหญ่

 

“ที่ข้าบอกว่ามีมันก็ใช่ แต่ไม่ได้อยู่ในขุมพลังกึ่งชั้น 3”

 

กู่ลี่กล่าวสืบต่อ “ยอดฝีมือที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนนภาในภูมิภาคเบื้องล่าง นอกจากยอดฝีมือที่อยู่อย่างสันโดษตัดขาดจากโลกหล้าไม่คิดเข้าร่วมขุมพลังและชิงดีชิงเด่นอันใด ก็มีแค่ผู้สังเกตการณ์คนเดียวเท่านั้น”

 

“ผู้สังเกตการณ์”

 

ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว “มันคืออะไรหรือ?”

 

“ผู้สังเกตการณ์ก็เสมือนผู้พิทักษ์ของภูมิภาคเบื้องล่าง เป็นยอดฝีมือที่ถูกขุมพลังชั้น 1 จากภูมิภาคเบื้องบนส่งลงมารักษาการณ์ คอยเฝ้าจับตาดูยอดฝีมือที่บรรลุถึงเซียนนภาในภูมิภาคเบื้องล่าง…ยอดฝีมือขอบเขตปฐพีคนใดเมื่อบรรลุถึงขอบเขตเซียนนภาแล้วจะต้องขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบน เพราะหากบรรลุถึงเซียนนภาแล้วจะไม่ได้รับอนุญาติให้ลงมือเคลื่อนไหวทำอะไรทั้งสิ้น ไม่งั้นจะถูกผู้สังเกตการณ์ที่เป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนนภาจัดการ”

 

กู่ลี่กล่าวออกด้วยสีหน้ายำเกรง “เมื่อยอดฝีมือที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนนภา ไม่ยอมไปภูมิภาคเบื้องบน แล้วลงมือทำร้ายผู้ใดในภูมิภาคเบื้องล่าง…เจ้าลองเดาดูสิว่าผลจะเป็นอย่างไร?”

 

“เป็นอย่างไรรึ?”

 

ต้วนหลิงเทียนตอบคำถามด้วยการถามกลับอย่างสงสัย

 

เซียนนภานับว่าเป็นตัวตนอันทรงพลังในภูมิภาคเบื้องล่างจริงๆ หากคิดทำอะไรจริงคงยากที่ใครจะต้านทาน

 

“ตายสถานเดียว! ผู้สังเกตการณ์จะเป็นคนฆ่ามันเอง!!”

 

กู่ลี่กล่าวตอบ

 

“อะไร?”

 

ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปอยู่บ้าง ตัวตนขอบเขตเซียนนภากลับไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมือของผู้สังเกตการณ์?

 

นี่มันผู้สังเกตการณ์หรือผู้ดูแลกันแน่?

 

“ตามกฏที่ขุมพลังชั้น 1 บนภูมิภาคเบื้องบนตราไว้ หากผู้ฝึกตนคนใดในภูมิภาคเบื้องล่างบรรลุถึงขอบเขตเซียนนภาสมควรต้องออกจากภูมิภาคเบื้องล่าง เพื่อสร้างความสมดุลของพลังในภูมิภาคเบื้องล่าง…แน่นอนว่าแม้บรรลุแล้ว แต่ก็สามารถเลือกที่จะอยู่ในภูมิภาคเบื้องล่างได้ ทว่าจะไม่ได้รับอนุญาตให้ลงมือใดๆทั้งสิ้น”

 

“เพราะทันทีที่ลงมือคิดทำร้ายผู้ใด ผู้สังเกตการณ์จะลงมือสังหารทันที…”

 

“ด้วยเหตุนี้ภายในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ ยอดฝีมือทั้งหลายตราบใดที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนนภา ต่างก็เลือกที่จะขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนทั้งสิ้น…ถึงแม้อาจจะเป็นใหญ่ทรงพลังเหนือใครในภูมิภาคเบื้องล่างได้ แต่ก็เหมือนถูกมัดมือมัดเท้าทำอันใดไม่ได้เลย แล้วจะมีความหมายอะไร…”

 

“เจ้าเองก็รู้…มีพลังฝีมือร้ายกาจแต่มิอาจใช้ออก มันอึดอัดเสมือนปวดหนักแต่มิอาจถ่ายท้อง! ทำให้ไม่ว่าใครก็คิดไปภูมิภาคเบื้องบนทั้งสิ้น เพราะนั่นเสมือนเวทีให้ไปโลดแล่นเฉิดฉาย…” กู่ลี่กล่าวออกมายืดยาว และเรื่องราวเหล่านี้เป็นอะไรที่ต้วนหลิงเทียนไม่รู้มาก่อน

 

เพราะพวกมันไม่ได้มีบันทึกไว้ในหอตำราที่เขาเคยไปใช้งาน

 

“ขุมพลังชั้น 1 ของภูมิภาคเบื้องบนนับว่ามีอำนาจจริงๆ”

 

ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

 

“กล่าวกันว่าภูมิภาคเบื้องบนนั้น มีมหาอำนาจยักษ์ใหญ่อยู่ 3 แห่งที่มีอำนาจควบคุมทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…กระทั่งขุมพลังชั้น 1 ทั้งหลายยังได้แต่รับคำสั่งและปฏิบัติตามมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 นั่นอย่างเชื่อฟัง…พวกมันคือ 3 ลัทธิ!”

 

กู่ลี่กล่าว

 

3 ลัทธิ!

 

ได้ยินวาจานี้ของกู่ลี่ ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงทันใด

 

ลัทธิบูชาไฟเองก็เป็น 1 ในมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ที่ว่า!

 

คู่หมั้นของเขากลับถูกมันพรากไป!

 

อย่างไรก็ตามอารมณ์ของต้วนหลิงเทียนที่พุ่งพล่านขึ้นมาพลันสงบลงได้ในเวลาอันสั้น

 

“งั้นก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะไม่มีตัวตนขอบเขตเซียนนภาดำรงอยู่…”

 

“ผู้สังเกตการณ์ที่คอยควบคุมและจับตาดูยอดฝีมือขอบเขตเซียนนภา…” ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์

 

“ว่าแต่ตอนนี้ในบรรดายอดฝีมือของขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งหลาย ข้าได้ยินมาว่าที่ร้ายกาจที่สุดก็คือผู้นำตลาดมืดหยินชาน กับจ้าวตำหนักเมฆาครามงั้นหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาอีกครั้ง

 

“ใช่แล้ว”

 

กู่ลี่พยักหน้า “ผู้นำตลาดมืดหยินชานกับจ้าวตำหนักเมฆาครามนั้น จากที่ท่านพ่อบอกข้ามา ทั้งคู่ล้วนบรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นสูงสุดกันแล้ว…ที่สำคัญก็คือทั้งคู่ล้วนเป็นผู้ฝึกมาร ทำให้พลังฝีมือของทั้งคู่เข้มแข็งเหนือกว่าผู้ฝึกตนธรรมดาในขอบเขตเดียวกัน…”

 

“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งคู่ไม่อาจลงมือทำอะไรได้อีกแล้วไม่ใช่เหรอหากบรรลุถึงเซียนนภา? พอถึงตอนนั้นจริงไม่ใช่ตลาดมืดหยินชานกับตำหนักเมฆาครามก็เสมือนมังกรไร้เศียรกลายเป็นไร้พิษสงรึไง?”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาอีกครั้ง

 

“ก่อนอื่นเลย…มิใช่เรื่องง่ายที่จะทะลวงถึงขอบเขตเซียนนภา…”

 

กู่ลี่ส่ายหัวไปมา “แถมทั้งคู่ล้วนมีอายุน้อยกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนปฐพีขั้นสูงสุดคนอื่นมาก…กระทั่งทั้งคู่เองก็พึ่งบรรลุเซียนปฐพีขั้นสูงสุดได้ไม่กี่ปี! เรียกว่าด่านพลังยังไม่บรรลุถึงจุดสูงสุดเต็มขอบเขต…เช่นนั้นหมายความว่ายังมีเวลาอีกมากที่จะเพาะสร้าง ‘ผู้สืบทอด’ ที่มีคุณสมบัติสูงพอ…”