TB:บทที่ 165 ชื่อเสียง

“อ้าปาก” หลานรีเย่กล่าวกับจางเฟิงหยาน

จางเฟิงหยานเปิดปากตามอย่างว่าง่าย หลานรีเย่โยนเม็ดยาสีฟ้าเข้าปากเขาแล้วจึงกล่าวว่า

“เฟิงหยาน รวมกับยารักษานี่แล้ว นายติดค้างฉันอยู่ห้าร้อยแปดสิบหกจุดเจ็ดสามสามห้าสองศูนย์หยวน จะจ่ายคืนมาเมื่อไหร่กัน”

“ฉันคิดว่านายจะไม่พูดเรื่องเงินเพราะเราเป็นเพื่อนกันเสียอีก แต่ฉันไม่คิดนะว่าเรื่องนี้เป็นธุรกิจ นายทำฉันผิดหวังจริงๆ” จางเฟิงหยานส่ายหัวและกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าปนผิดหวัง

เมื่อได้เห็นจางเฟิงหยานคิดว่าเป็นความผิดเขาแล้วและจะไม่ยอมจ่ายเงิน หบานรีเย่รู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีและกล่าวด้วยเสียงดังว่า “ราคาที่ฉันให้นี่เป็นราคาต้นทุนแล้ว ไม่มีภาษีรวมไปด้วยซ้ำ เช่นนั้นนายอยากจะรวมไปในบัญชีนายอีกไช่ไหม งั้นก็ได้พวกเราเป็นพี่น้องกัน หากเราคุยเรื่องเงินแต่เราไม่อยากพูดถึงเรื่องเงินก็มาพูดเรื่องทองกัน นายตั้งใจว่าจะใช้ทองเท่าไหร่จ่ายหนี้ที่ติดไว้กัน”

“ช่วงนี้ฉันค่อนข้างจะขาดเงินน่ะ ค่อยคุยทีหลังจะได้ไหม” หลานรีเย่เปลี่ยนเรื่องเงินเป็นเรื่องทอง แต่จางเฟิงหยานไม่เก่งเรื่องพูดขัดนัก

“นายผลัดไปเรื่อยมาครึ่งปีแล้ว ทำไมนายที่เป็นทายาทแห่งเทียนเจียจ่งจึงขี้งกได้เช่นนี้ จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ หากนายไม่จ่ายหนี้คืน ฉันจะวางยานาย” เมื่อเขาได้ยินจางเฟิงหยานพูดผลัดเงินไปอีก หลานรีเย่จึงขู่จางเฟิงหยานในทันที

“ไม่มีเงิน ไม่มีสักแดง หากต้องการจะวางยาฉัน นายก็จะไม่ได้เงิน” เขาเห็นว่าหลานรีเย่คนที่เขาติดเงินอยู่ยังกล้าจะขู่เขาอีก จางเฟิงหยานจึงตัดสินใจพูดให้จบเรื่อง

หน้าตาของจางเฟิงหยานตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเนื้อหมูที่ไม่กลัวน้ำเดือดหลานรีเย่เห็นดังนั้นแล้วจึงพุ่งเข้าไปหาจางเฟิงหยานในทันใด พวกเขานั่งเผชิญหน้ากัน

ภาพที่เฉินหลงเห็นอยู่นี้ช่างงดงามเหลือเกินจนเขาไม่อาจมองต่อไปได้

หลังจากเรื่องทันหมดเฉินหลงพุ่งความสนใจของเขาไปที่โต๊ะไวน์

นิสัยของหวังเจียนเป็นเหมือนฝีมือดาบของเขา นั่นคือตรงๆและง่ายๆ เมื่อเขาอยากดื่ม เขาจะออกไปดื่ม เมื่อเขาอยากฆ่า ดาบของเขาจะไม่ให้โอกาสคู่ต่อสู้เขาเลย และด้วยนิสัยเช่นนี้ทำให้เฉินหลงเป็นเพื่อนกับเขา

“พี่จอมสับ อยากจะรู้ตัวจริงของฉันไหม” หลังจากจิบไวน์ไป เฉินหลงถามหวัง

ปีนี้หวังเจียนอายุยี่สิบห้าปี แก่กว่าเฉินหลงสามปี และด้วยอายุเขา ตามปกติแล้วเฉินหลงจึงเรียกเขาว่าพี่หวังเจียน

“ไม่ล่ะ เพราะน้องฉันคนนี้ขนานนามกันว่าเป็น ฉือเฮยหู​” หวังเจียนมองเฉินหลงและกล่าวอย่างไม่ซับซ้อน

สำหรับหวังเจียนแล้ว ไม่ว่าตัวจริงเฉินหลงจะเป็นใคร ในสายตาเขาก็ยังคงเป็นพี่น้องเขาอยู่ดี

เฉินหลงยกแขนขึ้นและกล่าวไปว่า “เช่นนั้นก็ได้ เราจะไม่พูดเรื่องนั้นวันนี้ มาดื่มกัน”

เนื่องจากหวังเจียนไม่ได้ใส่ใจเรื่องตัวตนจริงของเขา เฉินหลงจึงยังใช้ใบหน้าของชิเฮฮูเพื่อเป็นเพื่อนกับเขาอยู่

ไวน์ที่เฉินหลงดื่มอยู่นี้เขาไม่ได้ใช้พลังของเขาเพื่อเผาผลาญแอลกอฮอล์ การดื่มจึงจะกล่าวได้ว่าสนุกสนาน

สุดท้ายแล้วหวังเจียนเป็นคนแรกที่เมาไปก่อน เพราะในท้ายที่สุดแล้วเฉินหลงที่ไม่ได้ใช้พลังเพื่อให้เมาก็มีพลังในระดับกำเนิดนั้นทำให้เขาเมาได้ยากกว่าหวังเจียนมาก

หลังจากที่หวังเจียนเมามายไปแล้ว เฉินหลงจึงพาหวังเจียนกลับไปยังวิลล่าของเขา และเพราะเฉินหลงพร้อมแล้วที่จะบอกเรื่องตัวจริงของเขา เฉินหลงจึงไม่คิดมากที่จะพาเขากลับไปวิลล่า

เมื่องานชุมนุมแลกเปลี่ยนจบลงไปแล้ว ชื่อของชิเฮฮู ปรมาจารย์แห่ง “ระฆังทอง” ที่เฉินหลงคิดขึ้นจะไปถึงพวกตระกูลเก่าแก่ในเมืองหลวง และแม้เขาจะเป็นปรมาจารย์ระดับกำเนิดแต่ในตระกูลเก่าแก่ทั้งสี่ยังคงมีผู้ที่ครอบครองพลังระดับกำเนิดอยู่ คนหนุ่มสาวที่มีพลังระดับกำเนิดนั้นมีอยู่น้อยมาก ดังนั้นแล้วสมาชิกในตระกูลเก่าแกจึงเรียกหาฉือเฮยหู แต่ฉือเฮยหูที่ว่านี่ก็คือเฉินหลงในอีกร่าง ตราบใดที่เฉินหลงถอดหน้ากากอยู่จะไม่มีฉือเฮยหูที่ไหนในโลก พวกนั้นจะรู้ได้อย่างไร

และในวิธีเดียวกันนี่ มีคนสองคนในงานชุมนุมแลกเปลี่ยนที่ประสบความสำเร็จอย่างที่สุด คนหนึ่งคือหวังเจียนที่เอาชนะพวกผู้มีความสามารถต่างชาติทั้งเก้าได้ คนของเขา ดาบของเขา และครอบครัวที่สูงศักดิ์ของเขาจะเป็นที่รู้จักในตอนนั้นเอง อีกคนหนึ่งคือจางเฟิงหยาน คนที่มีพลังถึงระดับกำเนิดด้วยอายุที่ยังไม่มากนัก

และเพราะหวังเจียนเมาแล้วเฉินหลงจึงพาเขากลับไปวิลล่า ต่อมาไม่นานครอบครัวของหวังเจียนมาหาเขา

“คุณเฉินหรือครับ”

หวังเฉียนจินเป็นคนหนุ่มที่อายุราวยี่สิบปี

หวังเฉียนจินเกิดมาพร้อมพลังเวทย์มนต์ และพลัง “เฉียนจิน เฉินฉวน” ก็เป็นที่โด่งดังในหมู่คนรุ่นใหม่

ในตอนนี้ เขากำลังนิ่งอึ้งไปเมื่อได้พบเฉินหลงที่วิลล่าแห่งนี้

จากสิ่งที่เขารู้มาหวังเจียนออกไปกับฉือเฮยหู แล้วในตอนนี้เฉินหลงมาเกี่ยวด้วยได้อย่างไร เฉินหลงเป็นคนแปลกหน้า ก่อนที่ฉือเฮยหูจะเป็นที่รู้จักในปักกิ่ง เฉินหลงเป็นคนดังมาก่อน ดังนั้นหวังเฉียนจินจึงรู้จักเฉินหลง

แล้วคนหนุ่มที่โด่งดังสองคนเกี่ยวข้องกับหวังเจียนจากสกุลหวังเช่นนี้ หวังเฉียนจินพลันรู้สึกว่าครับครัวเขากำลังจะมีโชคที่ดีมากๆ และแม้หวังเฉียนจินจะเกิดมาพร้อมพลังจากสวรรค์แต่เขายังเป็นคนที่ฉลาดเฉลียวอีกด้วย ไม่เช่นนั้นครอบครัวหวังอาจไม่ปล่อยให้เขามาหาหวังเจียน

“ครับใช่ แล้วคุณคือใครกัน” ได้เห็นหวังเฉียนจินสุภาพมากขนาดนี้ เฉินหลงจึงใจดีด้วย

คำตอบกลับของเฉินหลงที่ถามหวังเฉียนจินแต่ทำให้ท่าทีเขาแสดงความนับถือทันที เขากล่าวว่า “คุณเฉิน ผมชื่อหวังเฉียนจิน ผมเป็นน้องชายของพี่นักกุดหัว เรื่องเป็นแบบนี้ครับ เขาไม่ได้ติดต่อครอบครัวมาพักใหญ่ๆแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาที่ละเอียดอ่อน พวกเราเกรงว่าเขาจะอยู่ในอันตราย พวกเขาเลยให้ผมมาตามหาเขาน่ะครับ ผมรู้มาว่าพี่ชายผมเมาเลยมาที่นี่กับฉือเฮยหูผมคาดไม่ถึงว่าที่นี่จะเป็นบ้านของคุณเฉิน แต่คงเดาได้ไม่ยากว่าคุณจะซื้อบ้านที่ใหญ่โตแบบนี้ได้”

“ครับ หวังเจียนอยู่ที่นี่กับผม แต่ฉือเฮยหูไปแล้วน่ะครับ ผมเป็นคนให้บัตรเชิญเขาไปเอง ผมคิดว่าเขาจะช่วยพวกคุณได้” เนื่องจากหวังเฉียนจินอยู่ที่นี่ เฉินหลงจึงยืมชื่อสกุลหวังมาให้เหตุผลเรื่องความสัมพันธ์เขากับฉือเฮยหู

แน่นอนว่าเมื่อเขาได้ยินที่เฉินหลงเรียกฉือเฮยหู สายตาของหวังเฉียนจินพลังฉายแววอ่อนโยน เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ

“เฉินหลง ครั้งนี้พี่ฉือสร้างความประทับใจให้คนมากๆที่งานชุมนุมแลกเปลี่ยน แล้วเขาก็ยังสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในวงการศิลปะการต่อสู้ของชาติจีนที่ยิ่งใหญ่ด้วย ดาบและหมัดเขาประเมินค่าไม่ได้ แม้ผมไม่ได้ไปร่วมด้วย ผมยังเลือดพลุ่งพล่านเลยตอนฟังคนอื่นเล่า น่าเศร้าที่พี่ฉือออกไปก่อน ไม่เช่นนั้นผมคงได้เจอเขา”

หวังเฉียนจินพูดอย่างจริงใจ ไม่ได้กล่าวในเชิงชื่นชมแต่อย่างใดทว่าฟังแล้วสบายใจยิ่งกว่าคำเชยชมเสียอีก

คำของหวังเฉียนจินทำให้ร่างเฉินหลงสงบไปด้วยมื่อได้ฟัง ทันใดที่รู้สึกถึงเห็นสายตาของหวังเฉียนจินที่มีความพึงพอใจอย่างไร้สิ่งใดเทียบเคียงได้ เขากล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม “เฉียนจิน พี่ชายนายหลับอยู่ข้างใน อยากจะไปหาเขาหน่อยไหม”

“ไม่ละครับ เพราะคุณเฉินอยู่นี่เลยไม่น่ามีปัญหา ผมจะไม่ไปรบกวนเขา” หวังเฉียนจินกล่าว

“แต่อย่างไรเสีย ที่บ้านผมขอให้ผมพาพี่เขากลับไป หากผมกลับไปคนเดียวคงไม่ดีแน่ พี่เฉินครับถ้าพี่ไม่ว่าอะไรขอผมอยู่ที่นี่จนกว่าพี่จะตื่นได้ไหมครับ” ใบหน้าหวังเฉียนจินแสดงความอับอาย