ผจญภัยชมตลาด

 

 

 

 

เมืองเป่าฟั่นใกล้ตรอกปี้สุ่ย เสียงฆ้องเสียงกลองครึกครื้นกึกก้องถึงท้องฟ้า 

 

 

ด้วยเพราะ ‘พระนางนั่งผกา’ และ ‘นางมารผกา’ ในปีนี้เริ่มเคลื่อนขบวนแล้ว ตามเส้นทางที่กำหนดไว้จะเริ่มจากตรอกปี้สุ่ยที่กำแพงเมืองทิศใต้ใกล้กับพระราชวัง ทั้งร้องเพลงทั้งเต้นรำตลอดทางจนถึงตรอกซั่นเต๋อที่กำแพงเมืองทิศเหนือ 

 

 

ในขั้นตอนการเคลื่อนขบวนทั้งหมดจะใช้เกี้ยวหลากสีสันประทับ“พระนางนั่งผกา” ใช้ ‘กรงขังปลอม’ ที่ประดับเต็มไปด้วยดอกไม้สดกักขัง ‘มารผกา’ ไว้แล้วเคลื่อนไปข้างหน้า ทำการแสดงตลอดเส้นทางว่ายามนั้นพระนางนั่งผกาอาจหาญไร้หวาดกลัวเยี่ยงไรรวมทั้งคุณูปการเกริกก้องยามนั่งทับสังหารมารผกา ‘พระนางนั่งผกา’ กับ ‘มารผกา’ ล้วนเฟ้นหาสตรีโฉมงามมีชาติตระกูลในท้องถิ่นมารับบทบาทพร้อมมอบค่าตอบแทนให้มากมายตามสมควร สตรีผู้ได้รับการคัดเลือกในเทศกาลนั่งผกาจะมีชื่อเสียงรวดเร็วค่าตัวพุ่งสูงลิบลิ่ว 

 

 

ปีนี้บริเวณตรอกปี้สุ่ยครึกครื้นยวดยิ่ง นอกตรอกสามชั้นแลในตรอกสามชั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนกำลังบรรยายความงามของพระนางกับมารผกาปีนี้ด้วยท่าทีสนใจไม่เบา 

 

 

“ได้ยินว่าพระนางผกาที่ได้รับเลือกในปีนี้คือคุณหนูแห่งตระกูลหวงตระกูลเศรษฐีอันดับหนึ่งในเมืองนี้! ว่ากันว่าเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมสติปัญญา ในภายหน้าจะโยนลูกบอลแพรปักหาคู่ครอง[1]!” 

 

 

“ทว่าข้าได้ยินว่าผู้ได้รับเลือกเป็นมารผกามีภูมิหลังยิ่งกว่า นางคือบุตรีของนักแสดงหลักคณะรุ่ยเฟิงคณะงิ้วอันดับหนึ่งแต่ก่อนของเขตซีเอ้อเรา บุตรีของจินเฟิ่งหวงนามเสี่ยวเฟิ่งหวง ว่ากันว่าสีเขียวมาจากสีน้ำเงินทว่าเข้มข้นกว่าสีน้ำเงิน[2] รูปโฉมงามเลิศล้ำเสียงไพเราะราวกระพรวนทองคำซ้ำยังเชี่ยวชาญการขับร้องการระบำ นางคือสิ่งวิเศษที่ท่านขุนนางปกครองเมืองแห่งนี้ถูกตาต้องใจมาเนิ่นนานแล้ว เดือนหน้าขึ้นเวทีคราแรกเขาแสดงออกชัดเจนว่าจะหนุนนำนางอย่างเต็มที่…” 

 

 

“พระนางกับมารผกาปีนี้ล้วนมีสติปัญญาพบหาได้ยากในเกือบสิบปีมานี้ ฉะนั้นย่อมครึกครื้นยวดยิ่งนัก ไม่รู้ว่าจะดึงดูดให้กษัตริย์เสด็จออกจากพระราชวังมาทอดพระเนตรได้หรือไม่” 

 

 

“เจ้าอย่าได้เอ่ยวาจานี้เชียวนะ! พวกเรายังอยากฉลองเทศกาลอยู่หรือไม่ พระนางเสด็จมายังจะดีอยู่หรือ?” 

 

 

“หุบปาก! อย่าได้เอ่ยถึงกษัตริย์!” 

 

 

… 

 

 

เบื้องนอกฝูงชนครึกครื้น ใกล้ตลาดมีเพิงหลากสีสันหลายแห่ง ยังมีชั้นสองของโรงน้ำชาหลายแห่งสร้างเพิงสูงเพื่อให้ผู้คนทัศนา แน่นอนว่านี่ล้วนเป็นสิ่งตอบแทนแด่ขุนนางและเศรษฐี คนธรรมดาสามัญเบียดกายเข้าไปมิได้ 

 

 

หอหลากสีแห่งหนึ่งซึ่งสูงที่สุดยามนี้แลดูล้วนเงียบสงบ ม่านโปร่งสีแดงกุหลาบอ่อนๆ ห้อยย้อย ตะขอเงินห้อยม่านสยายถูกลมพัดจนเสียงดังกรุ๊งกริ๊งทว่ากลบเสียงหัวเราะแผ่วเบาเลือนรางในห้องมิได้ 

 

 

“ปีนี้เทศกาลนั่งผกาครึกครื้นขึ้นมาบ้างด้วยเพราะเจ้ามาแล้วใช่หรือไม่เล่า?” เสียงเอ่ยวาจาเป็นเสียงสตรีฟังแล้วแหบกระด้างเล็กน้อย ทว่าด้วยเพราะเสียงวาจากดต่ำจึงผุดผาดความลึกลับที่สะกดไว้บางส่วน 

 

 

ในห้องเงียบงันไปชั่วครู่ จากนั้นเสียงบุรุษทุ้มต่ำไพเราะดังขึ้น  

 

 

“ความครึกครื้นของเมืองเป่าฟั่นล้วนย่อมเป็นเหตุจากกษัตริย์ หากมิใช่กษัตริย์พาข้ามา ข้าคงมิอาจได้เห็นความครึกครื้นเช่นนี้” 

 

 

เสียงหัวเราะของสตรีในม่านกระโจมสีม่วงทุ้มกระด้างน้ำเสียงขึ้นลงโดยกำเนิด เอ่ยเรื่องราวปกติยังคล้ายยั่วยุอยู่ตลอดเวลา  

 

 

“เจ้ากำลังโทษว่าข้ายืนกรานจะออกมาหรือ…” มือสตรีนุ่มนิ่มไร้กระดูกยื่นออกมาแช่มช้าปีนป่ายหัวไหล่ของบุรุษคล้ายมิได้ใส่ใจ ปลายนิ้ววาดวนเกาะกุมแผ่ขยายไปจนถึงด้านในปลายจอนผมสีดำเข้มของเขา ปากเอ่ยว่า “…ข้านี้กลัวว่าเจ้าขังตนรักษาตัวจนอึดอัดจึงได้ออกมาผ่อนคลายเป็นเพื่อนเจ้านะ…” 

 

 

นางหัวเราะอย่างออดอ้อน ดวงหน้าหันข้างเพียงน้อย เงากระดาษตัดรูปดอกเสาวรสจากโคมวังหลวงสาดส่องแสงสีเหลืองอ่อน นางรู้ว่าในมุมสายตาเช่นนี้ใต้แสงโคมตนเองงดงามที่สุด 

 

 

เขาหันใบหน้าเพียงน้อย แสงโคมสะท้อนเงาด้านข้างของเขาออกมางามเลิศล้ำ ทรวดทรงทุกแห่งล้วนกำลังบรรยายลักษณะของลูกหลานตรอกอูอี[3]หมวกเอียงสง่างามเลื่องลือ[4] นางจ้องมองหว่างคิ้วคมเข้มของเขาอย่างลุ่มหลงหวังประทับริมฝีปากตนเองบนสีแดงอ่อนโยนลึกลับผืนนั้นของเขา ทว่าสุดท้ายด้วยเพราะความงามสูงศักดิ์ของเขาจึงสำรวมความปรารถนาก่อการขลาดเขลา เพียงอมยิ้มมองเขาสัมผัสปลายนิ้วตนเองไว้แผ่วเบาวางไว้บนฝ่ามืออย่างอ่อนโยนแลเบาบาง 

 

 

สำหรับพฤกษาเขียวขจีบนโลกมนุษย์ต้นหนึ่งนี้ นางมิกล้ามุ่งมาดปรารถนาเกินงามด้วยกลัวจะหักทลายความงามกิ่งก้านใบเขียวชอุ่มของเขา 

 

 

เขายิ้มแย้มสัมผัสนิ้วมือของนาง ไอออกมาเบาๆ สองเสียง  

 

 

“อาการบาดเจ็บกำเริบหรือ?” นางกังวลโดยพลันเอ่ยสืบต่อว่า “เช่นนั้น พวกเรากลับวังกันเถิด” 

 

 

“เพิ่งเริ่มเคลื่อนขบวน…” สีหน้าเขาเอาอกเอาใจ  

 

 

“ร่างกายเจ้าสำคัญกว่า…” นางยิ่งละม้ายภริยาผู้นุ่มนวลอ่อนโยน  

 

 

วาจาไพเราะน่าฟังยังมิทันสิ้น เบื้องล่างเสียงดังโหวกเหวกระลอกหนึ่งมีเสียงร้องตกใจเลือนราง นางหันกายด้วยความตกใจ เดินไปยังริมหน้าต่างปากเอ่ยว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” 

 

 

… 

 

 

เงาขาวกะพริบวูบ กงอิ้นปรากฏกายที่อีกฝั่งหนึ่งของถนน เหลียวซ้ายแลขวาปราดเดียวย่อมรู้ว่าจิ่งเหิงปัวไม่อยู่ 

 

 

เขาต่อรองราคากับชายขายดอกไม้ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตา จิ่งเหิงปัวหลุดพ้นจากสายตาของเขาอย่างรวดเร็วเยี่ยงนี้ได้ย่อมใช้การหายตัวเป็นแน่ 

 

 

ตามทิศทางที่ผู้คนเคลื่อนกายไหลหลาก เขามองฝูงชนที่ชุมนุมอยู่ห่างไกล เป็นไปตามคาดการณ์ว่าสตรีนางนั้นวิ่งไปมองความครึกครื้นตรงนั้นเสียแล้ว  

 

 

เขาครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนส่งสัญญาณลับเรียกหา เหมิงหู่ปรากฏข้างกายเขาในชั่วประเดี๋ยวเดียว 

 

 

“ในเมืองเป็นเช่นไร?” 

 

 

“ปลอดภัยขอรับ” 

 

 

“ข่าวของเหยียลี่ว์ฉี?” 

 

 

“ตามรายงานถึงเมืองเฮยสุ่ยแล้ว ปรากฏกายใกล้ภูเขาเฮย ก้าวต่อไปคงจะมุ่งหน้าสู่เจี๋ยหูขอรับ” 

 

 

กงอิ้นหยุดฝีเท้าโดยพลัน  

 

 

“ภูเขาเฮย? เมืองเฮยสุ่ยหรือ?” 

 

 

“ขอรับ” 

 

 

“อยู่ที่นั่นตลอดหรือ?” 

 

 

“คนของพวกเราล้อมปราบเขาที่นั่นได้สามวันแล้วขอรับ” 

 

 

กงอิ้นไม่ขยับเขยื้อนแล้วค่อยๆ เงยหน้ามองท้องฟ้า แสงอาทิตย์แห่งเขตซีเอ้อร้อนแรงเช่นนี้ทว่านัยน์ตาของเขาคล้ายค่อยๆ เยือกเย็นเป็นน้ำแข็งหนึ่งชั้น  

 

 

เหมิงหู่กระวนกระวายใจขึ้นมา  

 

 

“นายท่าน…” 

 

 

“พวกเจ้าพลาดเสียแล้ว” กงอิ้นขัดวาจาของเขาอย่างเชื่องช้า “เหยียลี่ว์ฉีไม่ได้หยุดพักที่เฮยสุ่ย” 

 

 

“นี่…” 

 

 

“ยาถอนพิษโลหิตที่ข้ามอบให้เขาคือยาถอนพิษแลมีส่วนผสมเพิ่มพิเศษ ข้างในแฝงด้วยเมล็ดผลึกน้ำแข็งปัญญาหิมะของข้า เมล็ดผลึกน้ำแข็งจะออกฤทธิ์ในสภาพแวดล้อมหนาวเย็นชื้นแฉะทุกแห่ง เติบโตกลายเป็นยาพิษอีกชนิดหนึ่ง เพื่อรับมือไล่ล่าสังหาร เหยียลี่ว์ฉีคงใช้ยาถอนพิษของข้าเป็นแน่ ใช้ยาถอนพิษแล้วย่อมไม่อาจพักอยู่สถานที่หนาวชื้นเช่นเฮยสุ่ยนั้นยาวนานแน่แท้ สามวันหรือ?” เขาแบะมุมปากอย่างเสียดสีเพียงครั้ง เอ่ยสืบต่อว่า “สามวัน พวกเจ้าคงไม่ต้องไล่ล่า ทว่าคงจะเก็บซากศพของเขาได้แล้ว” 

 

 

เหมิงหู่หน้าแดงไปถึงหูรีบเร่งก้มหน้า  

 

 

“ข้าน้อยไร้ความสามารถ…” 

 

 

กงอิ้นโบกมือหยุดยั้งวาจาของเขา  

 

 

“ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด เรื่องสำคัญที่ต้องจัดการยามนี้คือรู้ว่าเขาอยู่ที่แห่งใดกันแน่ หากเขามิได้หยุดพักที่เฮยสุ่ยย่อมมิอาจข้ามเจี๋ยหู เช่นนั้น…” 

 

 

เขาชะงักไปโดยพลันมองไปยังแหล่งครึกครื้นในเมืองคล้ายครุ่นคิดบางสิ่ง จากนั้นสีหน้าเปลี่ยนไป เงาร่างกะพริบวูบแฉลบผ่านกลางฝูงชนดุจเมฆสีขาวก้อนหนึ่ง  

 

 

… 

 

 

ใจกลางผู้คนหลั่งไหล ณ ตรอกปี้สุ่ย รถขบวนแห่ขยับเขยื้อนเชื่องช้า รถขบวนแห่เกิดจากรถม้าหลายคันรื้อผนังด้านนอกออกเชื่อมต่อกัน เสาสี่ด้านประดับด้วยม่านหลากสีบนหลังคากองเต็มไปด้วยดอกไม้ใบหญ้า ‘พระนางนั่งผกา’ ดวงพักตร์งามเพียบพร้อมนั่งอยู่ตรงกลางสวมชุดจีนโบราณสีแดง ส่วน ‘มารผกา’ แต่งกายงามเพริศแพร้วแต่งหน้าแฉล้มแก้มแดงวาดคิ้วโก่งสูง นางกำลังกางแขนงดงามสองข้างร่ายรำล้อมรอบ ‘พระนางนั่งผกา’ ยามนี้กำลังแสดงฉาก ‘มารผกาก่อกวน ดอกไม้โปรยเต็มนภา’ พอดิบพอดี  

 

 

สตรีผู้รับบทเป็นมารผกาสมเป็นบุตรีของนักแสดงงิ้วผู้โด่งดังที่กำลังจะมีชื่อเสียงในภายหน้า รูปร่างอ่อนช้อยงดงาม ระบำคราหนึ่งท่วงท่างามเฉิดฉาย กระโดดขึ้นยอดเสาประดับทั้งสี่ด้านบ่อยครั้ง กลีบดอกไม้ที่ปลายเท้าขึ้นลงงดงามพาให้ผู้ชมตลอดทางร้องเฮกึกก้อง  

 

 

“ฟิ้ว” 

 

 

เงาคนกะพริบวูบ จิ่งเหิงปัวมาถึงแล้ว  

 

 

นางปรากฏกายด้านหน้าสุดท่ามกลางฝูงชน ความสนใจของผู้คนล้วนอยู่ที่รถขบวนแห่ด้วยเพราะคนเยอะ แม้มีความรู้สึกประหลาดแต่ไม่ได้ใส่ใจ  

 

 

มีเพียง ‘มารผกา’ ที่เริงระบำอยู่บนเสาประดับร่างอยู่บนตามองล่างชะงักโดยพลันพร้อมเบิกตากว้าง  

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้ว่านางมองเห็นแล้วจึงยิ้มยิงฟันให้นางครั้งหนึ่ง  

 

 

ความหวาดผวาในแววตาของสตรีนางนั้นยิ่งมากขึ้น เท้าอ่อนยวบพลันยืนบนเสาไม่อยู่ ร้อง “อ๊า” เสียงหนึ่งเรือนร่างหงายล้มขาชี้ฟ้าลงไป 

 

 

ศีรษะของนางกระแทกกับริมขอบรถขบวนแห่ดัง ตึง! เสียงหนึ่ง ยังมิทันได้เอ่ยวาจาก็สลบไสลไปเสียแล้ว  

 

 

เสียงร้องยินดีเงียบกริบโดยพลัน ทุกผู้คนปากอ้าตาค้างมิเข้าใจว่าเกิดอุบัติเหตุฉับพลันนี้ด้วยเหตุใด ‘พระนางนั่งผกา’ นั้นลุกขึ้นอย่างงงงันทว่าสะดุดเรือนร่าง ‘มารผกา’ จนล้มลงร่วงไปข้างล่างรถขบวนแห่เสียงดังพลั่กเสียงหนึ่งเช่นกัน  

 

 

ความเงียบสงบยามปากอ้าตาค้างถูกทลายด้วยเสียงร้องตระหนกตกใจโดยพลัน ผู้คนมองหน้ากันไปมา…ที่ผ่านมามิใช่ไม่เคยเกิดปัญหา ทว่ายังไม่เคยเกิดเรื่องผู้แสดงหลักสองนางล้มลงไปในพริบตาเดียวเช่นนี้มาก่อน 

 

 

ผู้ใดเป็นคนทำ? 

 

 

“ผู้ใดเป็นคนทำ!” เสียงหนึ่งตะโกนก้อง ขุนนางชุดคลุมยาวสีเขียวผู้หนึ่งหิ้วชุดตนไว้ ไอสังหารกระโจนลอยล่องรถขบวนแห่ตะโกนสืบต่อว่า “ห๊า? ผู้ใดเป็นคนทำ!” 

 

 

ผู้นี้คือฝู่เฉิง[5]แห่งเมืองนี้ เขาเป็นผู้ดูแลและผู้รวมพลของการเคลื่อนขบวนซ้ำยังเป็นผู้หนุนนำเบื้องหลังของเสี่ยวเฟิ่งหวงผู้รับบทเป็น ‘มารผกา’  

 

 

รถขบวนแห่เกิดเรื่อง ‘พระนางนั่งผกา’ และ ‘มารผกา’ ล้วนเคลื่อนขบวนมิได้อีก สำหรับเขาแล้วนับเป็นเรื่องที่จัดการได้ยากเรื่องหนึ่ง  

 

 

“ผู้ใดเป็นคนทำ ห๊า?” นายท่านผู้ยิ่งใหญ่โกรธเกินยับยั้งสะบัดแขนเสื้อดังเพี้ยะเพี้ยะตะโกนสืบต่อว่า “ผู้ใดเป็นคนทำ! ลากออกมาขึ้นรถประจาน!” 

 

 

ผู้คนเงียบงัน ผ่านไปชั่วครู่ เหล่าสตรีในฝูงชนพลันมีผู้ทอดสายตาไปทางจิ่งเหิงปัวร้องตกใจแผ่วเบาเสียงหนึ่ง  

 

 

จากนั้นมีผู้คนมากยิ่งขึ้นทอดสายตาไปทางนาง คนเหล่านี้กว่าครึ่งหนึ่งเป็นสตรี  

 

 

สายตาของจิ่งเหิงปัวมองคนพวกนี้อย่างแปลกประหลาด ชิบ ผิดเรื่องแล้วมั้ง ผู้หญิงสองคนนี้นางตกใจจนเกิดปัญหาเอง เกี่ยวกับพี่สักเหมา[6]เหรอ? 

 

 

สีหน้าอิสรเสรีของนางนั้นเมื่อมองในสายตาของเหล่าสตรียิ่งจุดประกายเพลิงริษยาโหมกระหน่ำ  

 

 

ใช่! นางนั่นล่ะ! 

 

 

เมื่อครู่นางนั้นลากพ่อรูปงามซื้อดอกไม้ริมถนนทางนั้น! 

 

 

หน้าไม่อายกล้าฉุดกระชากบุรุษกลางถนนหนทาง! 

 

 

ซ้ำยังให้คุณชายรูปงามสูงส่งเช่นนั้นต่อรองราคาให้นาง! 

 

 

ยามนี้ยังวิ่งมาเดินกรีดกรายไปตามถนนอยู่ที่นี่! 

 

 

สตรีเช่นนี้จะไม่ลงโทษได้เยี่ยงไร? 

 

 

“ผู้ใดเป็นคนทำ!” นายท่านผู้ยิ่งใหญ่บนรถขบวนแห่คำรามก้อง  

 

 

สตรีกลุ่มหนึ่งพุ่งขึ้นไปเบื้องหน้ารถขบวนแห่พึ่บพั่บ หันหลังอย่างพร้อมเพรียงแล้วชี้ไปที่จิ่งเหิงปัว  

 

 

“นาง!” 

 

 

… 

 

 

กษัตริย์เทียนหนานพิงกายที่ขอบหน้าต่าง ยิ้มแย้มมองความเคลื่อนไหวด้านล่าง  

 

 

“อะไรหรือ?” เสียงบุรุษเกียจคร้านลึกลับแว่วมา เขาคล้ายไม่คิดจะเดินไปดูความครึกครื้นแล้ว  

 

 

“คล้ายว่าพระนางนั่งผกาและมารผกาตกอกตกใจกันไปหมด” กษัตริย์เทียนหนานผลักหน้าต่างเปิดออกอย่างมิได้ใส่ใจ เอ่ยสืบต่อว่า “ดูท่าทางการเคลื่อนขบวนครานี้คงต้องหยุดลงด้วยเหตุมิคาดฝันเสียแล้ว พวกเรากลับวังพอดิบพอดี” 

 

 

บุรุษหัวเราะแผ่วเบาเสียงหนึ่ง เสียงดีอกดีใจ “ย่อมได้” 

 

 

“อ๊ะ” กษัตริย์เทียนหนานที่กำลังตระเตรียมจากไปหยุดลงโดยพลัน หันหน้ามองเบื้องล่างพลางเอ่ยว่า “ลากสตรีขึ้นไปนางหนึ่ง…เหตุใดจึงปะปนได้ตามใจชอบได้เช่นนี้…อา สตรีนางนี้งดงามกว่ามารผกานางนั้นเสียอีก!” 

 

 

ในเสียงนางเปี่ยมด้วยความริษยา เอ่ยถึงช่วงท้ายแผ่ไอสังหารออกมาเสียแล้ว  

 

 

สตรีที่งดงามพราวเสน่ห์ทุกนางบนโลกนี้ล้วนมิควรเทียบเทียมถึงเสน่ห์หมื่นเท่าของนาง ผู้ใดยิ่งมากกว่าผู้นั้นยิ่งควรขจัดทิ้ง  

 

 

บุรุษลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนอกประตู ยามได้ยินประโยคนี้ชะงักโดยพลันหันกายกลับมา  

 

 

… 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] โยนลูกบอลแพรปักหาคู่ครอง เป็นธรรมเนียมการเลือกคู่ครอง ชายผู้ที่เก็บลูกบอลได้คือผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นคู่ชีวิตที่หญิงผู้โยนลูกบอล 

 

 

[2] สีเขียวมาจากสีน้ำเงินทว่าเข้มข้นกว่าสีน้ำเงิน อุปมาว่า คนรุ่นหลังเหนือกว่าคนรุ่นก่อน 

 

 

[3] ตรอกอูอี คือที่อยู่ของตระกูลขุนนางใหญ่สมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก ภายหลังอุปมาว่า ลูกหลานตระกูลเศรษฐี 

 

 

[4] หมวกเอียงสง่างามเลื่องลือ ตู๋กูซิ่นสมัยราชวงศ์สุยเป็นชายหนุ่มที่มีรูปโฉมงดงามแม้ยามหมวกเอียงยังงามสง่า ภายหลังอุปมาว่า มีรูปโฉมงามสง่า 

 

 

[5] ฝู่เฉิง ตำแหน่งขุนนางปกครองเมือง 

 

 

[6] เหมา เป็นสกุลเงินจีน 1 หยวน เท่ากับ 10 เหมา