ตอนที่ 388 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน / ตอนที่ 389 จิ้งจอกเฒ่า

จอมใจจ้าวพิษ

ตอนที่ 388 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

 

 

เมื่อมหาเสนาบดีซูถูกเรียกตัวเข้าวัง สีหน้าระรื่นมาก เขาตีหน้าถ่อมตัว กล่าวขอบใจคนในวังและเพื่อนขุนนางที่พบระหว่างทางซึ่งพากันแสดงความยินดีกับเขา

 

 

เขากระทั่งคิดทบทวนดีแล้ว อีกเดี๋ยวเมื่อเขาเฝ้าเผชิญหน้ากับฮ่องเต้หนุ่มซึ่งเพิ่งครองราชย์ไม่นาน เขาจะขู่ด้วยสีหน้าอ่อนน้อม ให้ทรงตั้งอันกุ้ยเฟยธิดาคนโตของตนเป็นฮองเฮา

 

 

ฉู่จิ่งเหยายังทรงหนุ่มแน่นมาก ไม่รู้ว่าการเป็นฮ่องเต้นั้น เมื่อยังไม่อาจประกันว่าพระองค์เข้มแข็งยิ่งใหญ่พอ ก็ไม่อาจมีจุดอ่อนได้

 

 

พระองค์เปิดเผยจุดอ่อนของตนเองออกมาอย่างง่ายดาย จากนั้นก็ถูกตนคว้าไว้

 

 

เขาซ่อนรอยยิ้มที่มุมปาก จัดชุดของตนให้เข้าที่ที่นอกห้องทรงพระอักษร แล้วเดินช้าๆ เข้าไป จากนั้นจึงคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้หนุ่ม ยืดลำตัวขึ้นตรง

 

 

“เกล้ากระหม่อมถวายบังคมฝ่าพระบาท ขอจงทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นหมื่นปีพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ฉู่จิ่งเหยาทรงวางฎีกาที่อ่านอยู่ลง แย้มพระสรวลให้มหาเสนาบดีซูแล้วตรัสว่า

 

 

“อำมาตย์ซู รีบลุกขึ้นเถอะ”

 

 

เมื่อทอดพระเนตรเห็นมหาเสนาบดีซูยืนขึ้นแล้ว จึงตรัสกับมหาดเล็กว่า

 

 

“ยังไม่รีบยกเก้าอี้มาหรือ ประทานให้ท่านอำมาตย์นั่งเสียสิ”

 

 

มหาเสนาบดีซูประสานมือถวายบังคมพลางทูลว่า

 

 

“ขอบพระทัยในพระเมตตาพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

เขาหันไปจะนั่งลงบนเก้าอี้ ก็ได้ยินฮ่องเต้หนุ่มแย้มพระสรวลแล้วตรัสว่า

 

 

“ระยะนี้อำมาตย์ซูงานยุ่งจริงนะ แม้แต่เจิ้นอยากพบเจ้ายังต้องเรียกตัวหลายครั้งจึงจะได้พบ”

 

 

มหาเสนาบดีซูทูลตอบ

 

 

“หลายวันมานี้เกล้ากระหม่อมกำลังสะสางคดีความหลายเรื่อง ไม่กี่วันนี้เพิ่งมีความคืบหน้าบ้างพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฉู่จิ่งเหยาพยักพระพักตร์ แล้วมีพระบัญชาให้นำชาบรรณาการเป็นยอดอ่อนชาเม่าซานซึ่งเพิ่งถวายเข้ามาให้มหาเสนาบดีซูดื่ม แล้วทรงสนทนากับเขาเรื่องศึกชายแดนระยะนี้และนโยบายการปฏิรูป

 

 

พระองค์ตรัสอย่างไม่เร็วและไม่ช้า ทรงเลี่ยงเรื่องฝ่ายในซึ่งมหาเสนาบดีซูเอ่ยถึงหลายครั้งอย่างชาญฉลาด กลับทรงขุดคุ้ยเรื่องพรรคพวกของเขาออกมาไม่น้อย ยังผลักคดียากหลายเรื่องไปให้มหาเสนาบดีซู

 

 

แค่ชั่วดื่มชาสองสามถ้วย มหาเสนาบดีซูก็เริ่มนั่งไม่ติดแล้ว เขากระแอมหลายที เลิกวางท่า แล้วทูลเข้าเรื่องทันที

 

 

“ฝ่าพระบาท บุตรีเกล้ากระหม่อมเข้าวังมาระยะหนึ่งแล้ว ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงมีความเห็นอย่างไรต่อนางพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างขณะนี้ตำแหน่งฮองเฮายังว่างอยู่ คำโบราณว่าในหมู่มังกรถ้าไร้หัวหน้าก็จะวุ่นวาย คิดว่าในฝ่ายในก็คงเช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฉู่จิ่งเหยาหยุดแย้มพระสรวล ทอดพระเนตรมองมหาเสนาบดีด้วยแววพระเนตรที่ล้ำลึก เชิดมุมพระโอษฐ์ขึ้นพลางตรัสว่า

 

 

“ถ้าเช่นนั้นตามความเห็นอำมาตย์ซู คิดว่าควรจะทำอย่างไร”

 

 

มหาเสนาบดีซูลูบเคราสองที นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงทูลว่า

 

 

“ฝ่ายในเกี่ยวพันกับราชสำนัก ฮองเฮายิ่งสูงศักดิ์ ฝ่าพระบาทต้องทรงคัดเลือดอย่างรอบคอบพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เขาเหลือบมองฉู่จิ่งเหยาแล้วทูลอีก

 

 

“แน่นอนว่า สกุลซูเรายินดีถวายการรับใช้ฝ่าพระบาทอย่างสุดชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฉู่จิ่งเหยาไม่ตรัสอะไร ทรงเล่นฝาถ้วยชาในพระหัตถ์ไปมา จากนั้นจึงเงยพระพักตร์ขึ้นตรัสว่า

 

 

“อำมาตย์ซู เจ้าควรจะรู้ว่าอะไรคือพอเหมาะแล้วควรจะหยุด หากอยากได้ไปเสียหมด สุดท้ายก็มักจะไม่ได้อะไรเลย”

 

 

“อีกอย่าง อำมาตย์ซูควรจะรู้ว่าถัดอกมังกรลงไปสามนิ้วมีเกล็ดย้อนแผ่นหนึ่ง ใครแตะเป็นต้องตาย!เมื่อรู้ว่าไม่ควรได้ก็จะเอาให้ได้ นี่ไม่สมกับท่วงทำนองการทำงานที่ผ่านมาของท่านเลย”

 

 

“ฝ่าพระบาท ที่ทรงตรัส…”

 

 

ฉู่จิ่งเหยาทรงห้ามไม่ให้เขาทูลต่อ แล้วโยนจดหมายที่อยู่ตรงมุมโต๊ะไปที่ข้างตัวเขา

 

 

“อำมาตย์ซูน่าจะลองอ่านดู มีอะไรค่อยพูดก็ยังไม่สาย”

 

 

มหาเสนาบดีซูเปิดจดหมายออก ในนั้นเป็นกระดาษที่เหลืองซีดใบหนึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นกระดาษที่ฉีกออกมาจากที่ไหนสักแห่ง

 

 

เขากวาดตาดูด้วยความอยากรู้ แล้วดวงตาเบิกกว้างขึ้นทันที สีเลือดในดวงตาจางลง จากนั้นใบหน้าก็ขาวซีดราวกับกระดาษ

 

 

กระดาษที่เหลืองซีดแผ่นนั้นหลุดจากมือ ค่อยๆ ปลิวลงมาบนพื้นหินอ่อน

 

 

 

 

ตอนที่ 389 จิ้งจอกเฒ่า

 

 

“ตุบ!”

 

 

มหาเสนาบดีซูลุกจากเก้าอี้ คุกเข่าลงบนพื้นทันที หมอบแผ่นหลังที่เหยียดตรงลงไป บนหน้าผากมีเหงื่อเม็ดใหญ่ซึมออกมา

 

 

เพียงชั่วประเดี๋ยว มหาเสนาบดีซึ่งก่อนนี้หยิ่งผยองตลอดมาราวกับถูกดูดพลังไปจนหมดสิ้น เขาหมอบลงไปบนพื้นราวกับชายแก่ธรรมดาคนหนึ่ง

 

 

“ฝ่า ฝ่าพระบาท…”

 

 

เมื่อมหาเสนาบดีพูดออกมาอีกครั้ง ฉู่จิ่งเหยาอดแปลกพระทัยไม่ได้ นี่ไม่ใช่เสียงมหาเสนาบดีซูที่เวลาพูดน้ำมักจะใช้เสียงจะหยิ่งผยอง แต่เสียงนี้กลับอ่อนแอไร้พลัง ราวกับเฒ่าชรา

 

 

ฉู่จิ่งเหยาทรงใช้พระหัตถ์เคาะโต๊ะสองสามที สิ่งที่อยู่บนกระดาษแผ่นนั้นกล่าวได้ว่าจิ้งจอกเฒ่าได้เผยหางออกมา แม้จะเป็นเรื่องร้ายแรง แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะทำให้เขาตกใจกลัวปานนี้

 

 

ท่าทีของมหาเสนาบดีซูเช่นนี้ กลับทำให้ฉู่จิ่งเหยาทรงระวังพระองค์ยิ่งขึ้น

 

 

เสียงมหาเสนาบดีซูดังขึ้นอย่างตะกุกตะกัก

 

 

“ฝ่าพระบาท ฝ่าพระบาท นี่เป็น นี่เป็นความโง่เขลาของเกล้ากระหม่อมในวัยหนุ่มพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

เขาเงยหน้าขึ้น น้ำตาคลอ “ครั้งนั้นเกล้ากระหม่อมสติฟั่นเฟือน ภายหลังนึกแค้นใจตลอดเวลา หลายปีมานี้เกล้ากระหม่อมทำงานรับใช้บ้านเมืองอย่างหนัก หวังว่าจะช่วยลบล้างความผิดที่ผ่านมาได้พ่ะย่ะค่ะ…”

 

 

เป็นวิธีถอยเพื่อลุกอย่างแยบยล!

 

 

ฉู่จิ่งเหยาทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตรัสว่า

 

 

“เรื่องนี้ผ่านมานานมากแล้ว เวลานี้ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรไดเ หลายปีมานี้อำมาตย์ซูทำงานเพื่อบ้านเมืองไม่น้อยจริงๆ ถือว่าทำความชอบลบล้างความผิด…เพียงแต่วันหน้าหวังว่าอำมาตย์ซูจะรู้ฐานะของตนเอง เรื่องที่ไม่ควรไปยุ่ง เรื่องที่ไม่ควรไปจัดการ ก็อย่าไปทำ”

 

 

พระองค์ทอดพระเนตรมหาเสนาบดีซูแวบหนึ่ง แล้วตรัสว่า

 

 

“เจ้าเอากระดาษแผ่นนั้นไปด้วยเถอะ ขอเพียงให้เจ้ารู้ว่าเจิ้นขาดความอดทน ไม่ยอมให้ใครทำผิดซ้ำซาก สำหรับครั้งนี้จะไม่มีการลงโทษย้อนหลัง”

 

 

มหาเสนาบดีซูโขกศีรษะถวายบังคมไม่หยุด เมื่อเดินออกไป ยังเห็นสายพระเนตรของฉู่จิ่งเหยาเมื่อครู่ลอยอยู่ตรงหน้า รู้สึกหวั่นใจ ทันใดนั้นก็ตระหนักว่าดูเหมือนตนจะมองผิดไป…

 

 

นั่นเป็นดวงตาที่มีเฉพาะในสุนัขป่าและเป็นดวงตาที่เฉียบคมแบบราชัน ในดวงตาที่ดำขลับแฝงไว้ด้วยกลิ่นคาวเลือด ราวกับสัตว์ร้ายที่หลบซ่อนอยู่

 

 

เขาจึงนึกขึ้นได้ว่าฮ่องเต้วัยหนุ่มพระองค์นี้ ไม่ได้ทรงเติบโตขึ้นอย่างสุขสบายในเมืองหลวง แต่เป็นราชันเลือดเหล็กที่บุกฝ่าจากชายแดนมายังเมืองหลวง!

 

 

หลังจากมหาเสนาบดีซูจากไปแล้ว ฉู่จิ่งเหยาทรงเรียกขันทีคนสนิทมาตรัสสั่งสองประโยค ขันทีถวายบังคมอย่างน้อบน้อมแล้วผละไป พระองค์ทรงหยิบพู่กันขึ้นมา แล้วเขียนลงบนกระดาษสองคำอย่างไม่ได้ตั้งพระทัย

 

 

“ถังเฉียน”

 

 

ครั้งนี้ไม่เพียงทรงตรวจพบความจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตอย่างถูกปรักปรำของคู่แข่งทางการเมืองของมหาเสนาบดีซู ยังพบความจริงโดยบังเอิญเกี่ยวกับเรื่องที่ครอบครัวสกุลถังถูกประหารเก้าชั่วโคตรครั้งนั้น

 

 

แม้จะไม่มีรายละเอียดของเรื่อง แต่จากข้อความสองสามประโยคก็สามารถมองออกว่า เรื่องนี้พัวพันถึงมหาเสนาบดีซู

 

 

แต่มหาเสนาบดีซูเป็นขุนนางใหญ่สองรัชกาล บัดนี้พระองค์ได้ข่มขวัญเขาไปแล้ว ถ้าบีบคั้นให้เขาจนตรอก พระองค์เองก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร

 

 

ทรงคิดเช่นนี้ แล้วไม่รู้ว่าทรงคิดอะไร จึงเขียนสองคำนั้นลงบนกระดาษ พระองค์เองก็ไม่เข้าพระทัยเช่นกัน

 

 

ดูเหมือนนานแล้วที่ไม่ได้เสด็จมาดูแมวน้อยที่ความจำเสื่อมและเก็บเขี้ยวเล็บแล้ว

 

 

 

 

เขาศักดิ์สิทธิ์

 

 

เขาศักดิ์สิทธิ์มีหมอกหนาทึบกระจายอยู่ชั่วนาตาปี หมอกสีขาวน้ำนมเข้มปกคลุมต้นไม้ประหลาดที่ไม่ทราบชื่อ รวมทั้งถ้ำแปลกพิสดารบนหน้าผาที่ซ่อนเร้น

 

 

ลึกเข้าไปในถ้ำซึ่งเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย น้ำที่หยดช้าๆ ลงมาจากเพดานถ้ำรวมตัวกันเป็นสระน้ำ ไม่รู้ว่ามีอะไรตั้งอยู่บนพื้นสระ ทำให้คลื่นน้ำสะท้อนแสงห้าสี

 

 

มีเตียงหยกสีขาวตั้งอยู่กลางสระน้ำ ชายหนุ่มหน้าตาคมสันอยู่บนเตียง มีแถบผ้าสีแดงคาดหน้าผาก ใต้แถบผ้าห้อยกระพรวนเงินใบจิ๋วไว้

 

 

ทันใดนั้นมีเสียงสัตว์ร้ายคำรามดังมาจากนอกถ้ำ ชายหนุ่มหลับตาลง ตัวสั่นระริก