TB:บทที่ 167 ดาบหนึ่งเล่มที่สร้างโลก
ตาของหวังเฉียนจินโตขึ้น เขามองเฉินหลง “หมอฮัวเป็นศิษย์ของคุณจริงๆหรือ ก่อนหน้านี้ที่ผมได้ยินมา ผมแทบไม่เชื่อ คุณนี่ช่างสุดยอดจริงๆ”
“เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เขาอายุขนาดนั้นแล้ว ฉันทำได้แค่รับเขามา” เฉินหลงเปิดเผยอย่างช้าๆ
“คุณรักษาโรคอะไรก็ได้เลยใช่ไหมครับ” หวังเฉียนจินถามด้วยความประหลาดใจ
“บางโรคก็ใช้เวลาหน่อย แต่ฉันพอทำได้” เฉินหลงมั่นใจเต็มปี่ยม
หากมีโรคที่เฉินหลงรักษาไม่ได้ เช่นนั้น “หนังสือสมบัติแพทย์หนึ่งหมื่นอย่าง” คงไร้ประโยชน์จริงๆแล้ว
“แล้วคุณรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยแต่กำเนิดได้ไหมครับ” หวังเฉียนจินมองเฉินหลงอย่างคาดหวัง
“ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ มีอะไรหรือเปล่า นายมีญาติพี่น้องที่เป็นโรคนี้หรือ” เฉินหลงรู้ว่าหวังเฉียนจินคงไม่ถามอย่างไร้เหตุผล
เขาได้ยินเฉินหลงตอบเช่นนี้ ใบหน้าหวังเฉียนจินพลันแสดงความตื่นเต้นอย่างเป็นที่สุดออกมา เขากล่าว “จริงหรือครับ คุณรักษาได้จริงๆหรือ น้องชายของผมเกิดมาพร้อมโรคกล้ามเนื้อเจ็ดสิบเปอร์เซ็นอ่อนเปลี้ย หากว่าอาจารย์เฉินรักษาน้องผมได้ ผมจะยอมทำทุกอย่างที่พี่สั่งเลยครับ”
หวังเฉียนจิน มีน้องชายชื่อว่าหวังซือเหวิน เขาอ่อนกว่าสี่ปี ก่อนที่เขาจะอายุสองขวบ หวังซือเหวินยังเป็นอย่างเด็กทั่วไปที่แข็งแรงอยู่ ชื่อของเขาแต่เดิมไม่ใช่หวังซือเหวิน แต่ชื่อหวังหว่านจิน เขาและพี่เขา หวังเฉียนจิน เกิดมาพร้อมพลังระดับดั้งเดิมจากสวรรค์เหมือนกันแถมยังทรงพลังกว่าหวังเฉียนจินด้วยซ้ำตอนยังเด็ก ทีแรกพ่อแม่ของน้องชายหวังเฉียนจินมองว่าพวกเขาทั้งคู่เป็นเด็กที่ได้รับพรจากสวรรค์จึงเป็นธรรมดาที่คนจะตื่นเต้น ในตระกูลอย่างสกุลหวัง การมีคุณสมบัติเช่นนี้ย่อมหมายถึงอนาคตที่ดีด้วย เป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่ของพวกเขาจะมีความสุขกับพวกเขา
แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่หวังซือเหวินอายุได้สองปี มีการตรวจพบว่าเขาเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ย พ่อแม่ของเขาไม่ได้เตรียมใจว่าลูกของพวกเขาจะเป็นโรคเช่นนี้
ทว่า ไม่ว่าเรื่องของเด็กคนนี้จะเศร้าโศกหรือไร้หนทางเพียงไหนก็ตาม สุดท้ายแล้วก็เป็นลูกของพวกเขาที่ช่างไร้เดียงสา ถึงแม้เขาจะป่วย แต่ตระกูลไม่ยอมแพ้กับเรื่องนี้
และดังที่เป็นเช่นนั้น ชื่อของหวังหว่านจินจึงเปลี่ยนเป็นหวังซือเหวิน และเพราะที่เป็นเช่นนี้จึงไม่มีทางที่เขาจะพัฒนาฝีมือศิลปะการต่อสู้ได้อีก เขาจึงเรียนรู้วรรณกรรมแทน
อีกเรื่องหนึ่งคือหวังเฉียนจินรักน้องของเขามากเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นอะไรดีๆทั้งหลายเขายกให้น้องหมดเสมอ
วันคืนผ่านพ้นไป ความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้ของหวังเฉียนจินเริ่มเบ่งบานขึ้นทีละน้อย เขาจึงเป็นตัวหลักในการฝึกฝนของตระกูล แต่อย่างไรเสีย อาการของหวังซือเหวินก็แย่ลงแย่ลงตามวันเวลาที่ผ่านไป
แม้สกุลหวังจะเชิญหมอชื่อดังกี่คนมารักษาหวังซือเหวินก็ตาม แต่ด้วยความสัมพันธ์กับหวังเฉียนจินจึงช่วยเขาได้นิดหน่อย อย่างมากที่สุดคือทำให้ความรุนแรงของโรคทุเลาลงไปทีละช้าๆได้
หวังซือเหวินเป็นคนทะเยอทะยานด้วย ถึงเขาจะป่วยจากโรคในภายนอกแต่เขาไม่ละเลยตนเอง เพราะเขาอ่านออกเขียนได้ เขาจึงอ่านทุกอย่างอย่างบ้าคลั่ง เขาพยายามทำให้ตัวเองทรงภูมิ ในขณะเดียวกันเขายังช่วยพี่ของเขาที่เป็นห่วงเขาเสมอมาด้วย
กระบวนท่า “เฉียนจิน เฉินฉวน” ของหวังเฉียนจินเป็นที่กล่าวกันว่าเขาคิดค้นขึ้นมาด้วยตัวเอง ทว่าในความเป็นจริงแล้วส่วนมากมาจากการช่วยเหลือของหวังซือเหวิน ครั้งหนึ่งหวังซือเหวินไม่ยอมให้หวังเฉียนจินป่าวประกาศว่าหวังซือเหวินเองที่เป็นคนคิดกระบวนท่า “เฉียนจิน เฉินฉวน” เพื่อให้ทุกคนคิดว่าหวังเฉียนจินเป็นคนคิดค้นเอง
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นคือหวังซือเหวินไม่อยากจะอวดปัญญาอะไรและมีชื่อเรียกขานในเมืองหลวงเช่นดียวกับซ่งหยู่
เรื่องฉายาแน่นอนว่าทายาทของตระกูลเก่าแก่กล้าที่จะเรียกฉายาลับหลังกันอยู่ ใครก็ตามที่กล้าเรียกชื่อเขาในที่แจ้งจะต้องได้รับคำท้าทายและโดนกระทืบจนตายจากหวังเฉียนจิน
หลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งก็ไม่มีใครกล้ากล่าวชื่อหวังซือเหวินโดยไม่จำเป็นอีก
เนื่องจากความรู้สึกของหวังเฉียนจินต่อน้องชายเขานี้ ทำให้เขาตื่นเต้นเป็นที่สุดเมื่อเฉินหลงบอกเขาว่า เขารักษาอาการป่วยของน้องชายเขาได้
“นี่ ไม่ต้องตื่นเต้นไป ฉันจะช่วยนายเอง อย่างไรก็เถอะตอนนี้เริ่มดึกแล้ว ถึงเวลาไปพักผ่อนได้แล้ว ไปนอนก่อน พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน ตอนตื่น” เพื่อจะรักษาน้องชายเขา หวังเฉียนจินกล่าวว่าจะทำทุกอย่างตามที่เฉินหลงสั่ง เฉินหลงลุกขึ้นและตัดสินใจจะไปดูอาการด้วยตัวเองในวันรุ่งขึ้น
ในใจลึกๆเฉินหลงมีอีกความคิดหนึ่ง เขาต้องการจะถามฉางฮัว หมิงเหรินให้ไปดูว่าจะฝังเข็มได้อย่างไรด้วย
“ขอบคุณนะครับ ท่านอาจารย์เฉิน ขอบคุณจริงๆครับ อาจารย์เฉิน” หวังเฉียนจินกล่าวขอบคุณ
“ไปพักเสียเถิด” เฉินหลงยิ้ม
จบคำ เฉินหลงเล่นเสี่ยวเฮยหมายเลขสองและหมายเลขสามต่อ
ตอนนี้เสี่ยวเฮยหมายเลขสองและหมายเลขสามเพิ่งฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บ
วันต่อมา
หวังเจียนตื่นขึ้น เขามองไปรอบๆและพบว่าเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แปลกไป แต่เขาไม่ได้คิดอะไรมากแม้แต่น้อย หลังเขาออกท่องโลกไปเรื่อยมาหลายปี เขาตื่นขึ้นมาในที่ไม่คุ้นชินเสมอ เรื่องนี้ปกติสำหรับเขา
เมื่อลุกจากเตียงแล้ว หวังเจี้ยนยืดตัวและไปเปิดประตู
“อ้าว หลับสบายดีไหมเมื่อคืน”
บนโซฟาในห้องนั่งเล่นชั้นล่าง คนหนุ่มหน้าตาดียิ้มให้หวังเจียน
คนคนนี้คือเฉินหลง
และข้างเฉินหลงมีหวังเฉียนจินอยู่ เขาไม่ค่อยได้นอนเท่าไหร่เมื่อคืน เนื่องจากความตื่นเต้นที่ยังคงไม่ดับหายไป
ตอนที่เขาเห็นเฉินหลง หวังเจียนรู้สึกคุ้นชินแบบแปลกๆทันที คล้ายกับว่ารู้จักเขาแต่บอกไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร
ขณะที่หวังเจียนกำลังสับสนอยู่นั้นเอง หวังเฉียนจินกล่าวขึ้น “พี่นักกุดหัว เมื่อวานพี่เมาแล้วที่บ้านติดต่อพี่ไม่ได้ เลยให้ผมมาหาพี่”
“ขยันนี่” หวังเจียนขัดขึ้น เขาหัวเราะและเดินลงชั้นล่าง
“ไม่เป็นไรครับ พี่นักกุดหัว พี่เป็นหน้าเป็นตาให้สกุลหวังเมื่อวาน ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าในหมู่คนรุ่นใหม่ของตระกูลเก่าแก่แห่งปักกิ่ง พี่เป็นสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์”
หวังเฉียนจินว่าอย่างตื่นเต้น
มักเป็นเช่นนี้สำหรับศิษย์ของตระกูลเก่าแก่ ชื่อเสียงพวกเขาต้องได้รับการให้เกียรติอย่างที่สุด
อย่างไรก็ตาม หวังเจียนก็ไม่ได้ตื่นเต้นเลย คล้ายกับว่า การเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตแม้แต่น้อย
“เฉียนจิน นายก็อยู่บนเส้นทางศิลปะการต่อสู้มานาน หากนายพอใจกับแค่การเป็นยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ของคนรุ่นใหม่ในปักกิ่งแล้ว วิสัยทัศน์นายคงไม่กว้างไกลเสียเลย เป้าหมายของฉันคือไปให้ถึงระดับยอดของวูเต๋า และดาบเล่มหนึ่งจะสร้างโลกได้” หวังกล่าว
“เข้าใจแล้วครับ พี่นักกุดหัว” หวังเฉียนจินเลิกทำสีหน้าตื่นเต้น
คำของหวังเจียนคล้ายกับเป็นอ่างน้ำเย็นที่ปลุกความตื่นเต้นของหวังเฉียนจิน ใช่แล้วเขาไม่ใช่ยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ของคนรุ่นใหม่ในตระกูลเก่าแก่แห่งปักกิ่ง แล้วอะไรจะทำให้พวกเขาภูมิใจได้อีกละ ที่งานชุมนุมแลกเปลี่ยนเมื่อวาน ฉือเฮยหูและจางเฟิงหยานเป็นถึงระดับกำเนิดตอนอายุไล่เลี่ยกัน ผู้เยี่ยมยุทธ์เช่นนี่คือปรมาจารย์ที่แท้จริง ก่อนนี้วิสัยทัศน์เขาคงแคบไปจริงๆ และคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่น้องเขามักพยายามไปให้ไกลกว่าเดิม หากเขาไม่ได้เป็นโรคนี้ ความสำเร็จของเขาคงไปไกลกว่าตัวเขามากแน่ๆ