ตอนที่ 676 เพียงสามตัวอักษร

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 676 เพียงสามตัวอักษร

หลังจากได้เข้าไปภายในกำแพงเตี้ยนั่นแล้ว พบว่าด้านในมีบรรยากาศดุจสรวงสวรรค์อย่างแท้จริง

แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้มีกะจิตกะใจจะเชยชมอย่างละเอียดนัก เพราะเขาได้ตรงเข้าไปยังลานภายในสำนักทันที โดยการนำทางของศิษย์พี่ใหญ่

เหล่าศิษย์นอกกุฏิทั้งหลายถูกซูม่อพาไปยังภูเขาหมิน จึงเป็นเหตุให้บัดนี้ภายในสำนักเต๋าเงียบสงบมากยิ่งนัก

“ท่านอาจารย์มักอยู่ที่หอเทียนซิน” ซูเจวี๋ยชี้ไปยังหอที่สูงที่สุดแล้วเอ่ยต่อว่า “ด้านในมีแสงไฟส่องสว่าง แสดงว่าท่านอาจารย์กำลังดูดาวอยู่”

ในจังหวะที่ซูเจวี๋ยกำลังเอ่ยอยู่นั้น ไฟที่หอเทียนซินก็ได้ดับมอดลง จากนั้นก็มีคนบินลงมาจากหอ ดูเหมือนเป็นก้อนกลม ๆ กำลังกลิ้งมาและคนผู้นั้นก็คือเกาหยวนหยวนนั่นเอง

ใบหน้ากลม ๆ ของเกาหยวนหยวนดูตื่นเต้นมากยิ่งนัก

“คารวะศิษย์พี่ใหญ่ สวัสดีศิษย์น้องหก อ่า…ศิษย์น้องเล็ก ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน ! ”

สองมือของเกาหยวนหยวนคว้าบ่าของฟู่เสี่ยวกวนเอาไว้ แรงกดจากร่างกายอันใหญ่ท้วมทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่ามีแรงกดทับอันหนักอึ้ง

“อ่า…ศิษย์พี่รอง ข้าก็คิดถึงท่านเช่นกัน ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนอยากจะดิ้นให้หลุดออกไป แต่ทว่าสองมือที่ใหญ่ดั่งพัดธูปฤาษีนั้นได้บีบจนเขาแทบจะหมดลม !

“ศิษย์น้องเล็ก ตั้งแต่จากลากันที่เมืองกวนหยุนครานั้นเพียงพริบตาเดียวก็ล่วงเลยไปปีกว่าแล้ว วันนี้นกกางเขนร้องเสียงเบิกบานยิ่งกว่าเดิม ศิษย์น้องห้าซูเตี่ยนเตี่ยนทำนายว่าอาจจะมีแขกผู้ทรงเกียรติขึ้นเขามาที่นี่ มิคาดคิดว่าจะเป็นศิษย์น้องเล็ก มาเถิด มามามา ศิษย์พี่รองขอเลี้ยงข้าวเจ้า 1 มื้อ ! ”

เมื่อเกาหยวนหยวนเอ่ยจบ มือใหญ่เท่าพัดธูปฤาษีของเขาก็ตบเข้าที่บ่าทั้งสองข้างของฟู่เสี่ยวกวน ทำให้เขาแทบจะกระอักโลหิตออกมาในทันใด

“ศิษย์พี่รอง ศิษย์น้องยังมีทักษะเพียงแค่ระดับสามเท่านั้น เบาหน่อย เบามือหน่อย ! ”

“อ่า…ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่รองมิได้เจตนาเพราะศิษย์พี่รองรู้สึกดีใจมากยิ่งนัก ไปเถิด… วันนี้ศิษย์น้องห้าล่าแกะมาได้ 1 ตัว ประเดี๋ยวจะมอบขาแกะให้แก่เจ้า”

คนทั้งหมดจึงเดินเข้าไปในหอเทียนซินภายใต้การนำของเกาหยวนหยวน ทว่ามิได้ขึ้นไปบนหอแต่กลับทะลุผ่านหอเพื่อไปยังริมทะเลสาบ

ที่แห่งนี้มีกองไฟกำลังลุกโชติช่วงอยู่

และบนกองไฟนั้นมีแกะหนึ่งตัวถูกแขวนเอาไว้

ด้านข้างของกองไฟปรากฏคนนั่งอยู่ 3 คน

แน่นอนว่าพวกเขาเหล่านั้นต้องเป็นศิษย์พี่สี่ซูปิงปิง ศิษย์พี่ห้าซูเตี่ยนเตี่ยน และศิษย์พี่เจ็ดซูหยางหยาง

ทั้งสามคนได้เงยหน้าขึ้นมามอง แล้วลุกพรวดขึ้นทันใด

พวกเขาล้วนคำนับให้ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยด้วยความเคารพนับถือ จากนั้นก็หันไปขยิบตาให้ซูซู แล้วสุดท้ายทุกสายตาต่างก็จับจ้องไปที่ฟู่เสี่ยวกวน

“ศิษย์น้องเล็ก แขกผู้มีเกียรติ ช่างเป็นแขกผู้มีเกียรติเสียจริง ! ทุกคนได้โปรดมานั่งด้วยกันเถิด ประเดี๋ยวข้าจะไปอุ้มเหยือกสุราซีซานมาดื่มด้วยกัน”

เกาหยวนหยวนทำสีหน้าดีใจ แต่ก็ยังเอ่ยถามว่า “ศิษย์น้องห้า เจ้ามิกลัวว่าท่านอาจารย์กลับมาแล้วลงโทษเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ก็เลี้ยงต้อนรับศิษย์น้องเล็ก ท่านอาจารย์แก่แล้วจะว่าอันใดได้เล่า ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนเมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที จึงรีบเอ่ยถามบ้างว่า “ท่านอาจารย์มิอยู่ที่นี่หรอกหรือ ? ”

เกาหยวนหยวนยิ้ม “ท่านอาจารย์ออกจากสำนักได้หกเจ็ดวันแล้วล่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวใจหล่นวูบในทันใด “ท่านไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ท่านบอกว่า…ไปวัดฟูจื่อ”

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน “ท่านอาจารย์ได้บอกไว้หรือไม่ว่าจะไปทำอันใดที่วัดฟูจื่อ ? ”

“ท่านอาจารย์กล่าวว่า เมื่อต้นไม้ปรารถนาอยู่นิ่งเฉยแต่ทว่าลมมิหยุดพัด เมื่อสายน้ำประสงค์ความสงบแต่มัจฉามิจำยอม ก็จงไปหยุดสายลมพัดและสังหารมัจฉาเหล่านั้นเสีย ! ”

เกาหยวนหยวนโบกมือใหญ่ไปมา “ศิษย์น้องเล็กมิต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของท่านอาจารย์หรอก เพราะท่านเก่งกาจไร้เทียมทาน พวกสำนักป่ากระบี่และภูเขาดาบคงมิอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว พวกมันจึงฉกฉวยโอกาสนี้ใส่ไฟให้คนทั้งยุทธภพเข้ามาล้อมสำนักเต๋า แต่พวกมันมิล่วงรู้ว่าบัดนี้ท่านอาจารย์ได้ถือกระบี่เตรียมพังทลายรังนอนของพวกมันเข้าเสียแล้ว ! ”

“พวกเราศิษย์ทั้งสี่กำลังรอคอยให้ไอ้พวกตัวตลกทั้งหลายเข้ามา ไหนจะมีทหารคอยรักษาการณ์จำนวนมาก… ศิษย์น้องเล็กวางแผนได้รอบคอบมากยิ่งนัก หากท่านอาจารย์รู้การเคลื่อนไหวนี้เมื่อใดย่อมรู้สึกพึงพอใจมากเป็นแน่ มิแปลกใจเลยว่าเหตุใดศิษย์น้องห้าถึงกล้าขโมยสุราของท่านอาจารย์”

การจัดลำดับความคิดของเกาหยวนหยวนอาจจะกระโดดไปกระโดดมา เป็นเหตุให้คำเอ่ยของเขาฟังดูแล้ววกวน แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนก็เข้าใจดี

สิ่งที่ข้าหมายถึงนั้นมิใช่สุรา

ข้าอยากพบหน้าท่านอาจารย์สักคราเท่านั้นเอง !

เมื่อดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ก็เท่ากับข้าเสียเวลาเดินทางมาโดยเปล่าประโยชน์

“ท่านอาจารย์บอกหรือไม่ว่าจะกลับมาเมื่อใด ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม

มืออวบใหญ่ของเกาหยวนหยวนโบกสะบัด “ท่านอาจารย์ออกไปคราใดมิเคยมีกำหนดการตายตัว ดีมิดีอาจจะ 3 ปี…” ในระหว่างที่เอ่ยเขาก็ได้ยกมือขึ้นมาหมายจะตบเข้าที่ไหล่ของฟู่เสี่ยวกวนอีกครา แต่ทว่ามือนั้นได้หยุดชะงักกลางอากาศแล้วถูกดึงกลับเสียก่อน “ศิษย์น้องเล็กช่างนึกถึงผู้อื่นอย่างแท้จริง มิเคยลืมท่านอาจารย์เลย จริงสิ ! ได้ข่าวว่าเจ้ากำลังจะเดินทางไปยังว่อเฟิงเต้า ดังนั้นการมาเยือนในครานี้ก็เพื่อหาวันว่างมาเยี่ยมท่านอาจารย์สินะ อ่า…จริงด้วย ท่านอาจารย์มีจดหมายฝากให้เจ้าด้วย”

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตกตะลึงมากยิ่งนัก หรือว่าท่านอาจารย์ผู้ลึกลับคาดเดาว่าข้าจะมาเยือนสำนักเต๋าไว้แล้วกัน ?

เกาหยวนหยวนหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แล้วส่งไปให้ฟู่เสี่ยวกวนที่นั่งอยู่ริมกองไฟ จากนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง…

ท่านเขียนอันใดถึงข้ากันแน่ ?

ในเมื่อท่านรู้ว่าข้าก็เดินทางข้ามกาลเวลามาด้วยเช่นกัน ท่านจะเขียนบทกวีสักบททิ้งไว้บนจดหมายหรือไม่ ?

หรือว่าท่านจะเฉลยตัวตนที่แท้จริงของข้าเสียเลย ?

ในสภาวะที่จิตใจมิสงบนิ่ง เขาได้ดึงผนึกจดหมายออกแล้วเปิดอ่าน… จากนั้นก็แทบจะล้มตึงลงไปในทันใด

ในจดหมายนั้นมีตัวอักษรอยู่เพียงแค่สามตัว ทั้งสามตัวถูกจรดไว้อย่างสวยงาม

‘มิใช่ข้า ! ’

ท่านมิใช่สิ่งใดเล่า ?

มิใช่เช่อเหมินแห่งลัทธิจันทรา ?

หรือมิใช่ผู้เดินทางข้ามกาลเวลามา ?

หรือมิใช่ผู้ที่ก่อคดีโจรกรรมสะเทือนปฐพีกันแน่ ?

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ หรือบางทีที่กล่าวมาข้างต้นอาจจะมิใช่ทั้งหมด !

ถ้าเกิดว่าเป็นเช่นนั้น ท่านอาจารย์ย่อมรู้คำตอบดี

ท่านย่อมรู้ว่าผู้อาวุโสแห่งลัทธิจันทราคือผู้ใด ท่านย่อมรู้ว่ายังมีคนเดินทางข้ามกาลเวลามาอีกคนหนึ่ง และรู้ไปถึงว่าผู้ใดเป็นผู้ขโมยขุมทรัพย์กองเท่าภูเขาเลากานั้นไป

เช่นนั้นจึงมีคำถามตามมา

ในเมื่อท่านรู้ดีว่าข้าจะมาเยือนสำนักเต๋า แล้วเหตุใดจึงหาเหตุผลที่ดูเหมือนไร้ข้อบกพร่องนี้เพื่อจากไปกัน ?

ท่านมิอยากพบข้า !

แน่นอนว่าเมื่อทั้งสองได้มาพบกัน ข้าย่อมไถ่ถามเรื่องราวเหล่านี้แต่ทว่าท่านก็มิอาจให้คำตอบได้

แล้วเหตุใดท่านจึงมิสามารถให้คำตอบได้กัน ?

ใครคนนั้นมิเพียงแต่เป็นคนที่ท่านอาจารย์รู้จักแต่ยังเป็นคนที่ท่านอาจารย์สนิทชิดเชื้อด้วย ท่านจึงมิอาจทรยศต่อคนผู้นั้นได้ แต่ทว่าก็มิอยากเอ่ยเท็จต่อข้าเช่นกัน ดังนั้นการมิพบเจอเลยยังจะดีกว่า เพราะอย่างน้อยในความเห็นของท่านอาจารย์คือตอนนี้อาจจะมิใช่เวลาที่เหมาะสมในการพบเจอกัน

ในเมื่อมิใช่ท่านอาจารย์แล้วเป็นผู้ใด ?

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดสารพัดเรื่องราวภายในระยะเวลาอันสั้น

เขาเก็บจดหมายนั้นไว้ สีหน้าที่ดูเคร่งขรึมจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง เยี่ยงไรเสียการเดินทางครานี้ก็บรรลุผลสัมฤทธิ์อยู่ดี เพราะอย่างน้อยก็พิสูจน์ได้แล้วว่าสมมุติฐานของตนนั้นผิดทั้งหมด

เขามิได้เคลือบแคลงแม้แต่น้อยว่าอักษรสามตัวนี้เป็นของจริงหรือปลอม เพราะในฐานะอาจารย์แห่งสำนักเต๋าและเป็นถึงปรมาจารย์ที่ยุทธภพให้ความเคารพนับถือ เช่นนั้นท่านจึงไร้ความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องโกหก

ศิษย์พี่ใหญ่ที่นั่งมองฟู่เสี่ยวกวนมาโดยตลอด จนกระทั่งยามที่ฟู่เสี่ยวกวนเก็บจดหมายนั้นไว้ เขาจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

“ข้าเข้าใจผิดไปเอง”

ดวงใจที่พะว้าพะวังของซูเจวี๋ยถูกสลัดออกไปในทันใด เขายิ้มออกมาได้ในที่สุด “เช่นนั้นพวกเราก็ทานให้อิ่มหมีพีมันกันไปเลย ! ”

ค่ำคืนนั้นจึงเป็นคราแรกที่ฟู่เสี่ยวกวนได้เข้ามายังสำนักเต๋า แม้มิได้พบท่านอาจารย์แต่ก็มีโอกาสได้เมาอยู่ริมทะเลสาบกับศิษย์พี่ทั้งหลาย

ในค่ำคืนเดียวกันนั่นเอง ท่านอาจารย์ก็ได้เข้าไปเยือนในถิ่นของป่ากระบี่ เพียงแค่เวลาสุราหมดหนึ่งกา ต้นหงเฟิงบนภูเขาก็โดนโค่นลงจนสิ้น ลูกศิษย์ของสำนักป่ากระบี่ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในป่าราวหนึ่งพันกว่าคนล้วนชีวีมลายสิ้น

โลหิตสีแดงฉานย้อมใบไม้สีเขียวอ่อนราวกับว่าฤดูใบไม้ร่วงนั้นได้มาเยือนแล้ว

ส่วนเจ้าสำนักลู่เสี้ยวเฟิงได้ถูกซูฉางเซิงตัดขาทั้งสองข้างทิ้ง เพียงชี้นิ้วหนึ่งคราก็สามารถทำให้จุดตันเถียนของเจ้าสำนักป่ากระบี่แหลกเป็นผุยผงได้ แต่ทว่าเขายังได้รับการไว้ชีวิตจากท่านอยู่

“กระทำความผิดย่อมมีราคาที่ต้องชดใช้ ประโยคนี้ศิษย์ก้นกุฏิของข้าได้เอ่ยไว้ และข้าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ! ”

“จงบอกข้ามาว่าเหมียหลี่เสวี่ยหงอยู่ที่ใด ? ”